พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1546 ประกาศให้รู้

กลิ่นคาวเลือดบนตัวอีกฝ่ายโผเข้าจมูก อวิ๋นจือชิวตกอยู่ในความตกตะลึงประหลาดใจ จากนั้นก็เบิกตากว้างอีก พอนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน การทำแบบนี้ไม่เท่ากับเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองที่พิภพใหญ่จนหมดเปลือกหรอกเหรอ

พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองแอบไปมาหาสู่กับคนของลัทธิมาร ถ้าทำให้เหมียวอี้ลำบากไปด้วยล่ะ ไม่ได้แล้ว!

อวิ๋นจือชิวพยายามดิ้นรนสุดชีวิตทันที ทว่าตอนนี้วรยุทธ์ของนางไม่สูงเท่าเหมียวอี้ ไม่มีทางดิ้นรนให้หลุดพ้นได้เลย

“แบบนี้มีอย่างที่ไหน? โกวเยว่และคนอื่นๆ กำลังมองอย่างตะลึงงัน ตัวเองพาลูกสาวหลานสาวของจวนท่านอ๋องมาแล้ว แต่กลับได้เห็นฉากนี้ นี่มันใช่เรื่องเหรอ?

เม่ยเหนียงที่สวมหมวกมุ้งปิดบังใบหน้ากำลังหน้าดำคร่ำเครียด ทนรับความรู้สึกนี้ไม่ไหว!

กลับเป็นหญิงสาวหลายคนที่ในสีหน้าตกตะลึงเผยความอิจฉาให้เห็นรางๆ ถ้าสักวันหนึ่งมีผู้ชายสักคนทำแบบนี้กับตนบ้างก็คงดี…

อิ๋งเยว่แอบกัดริมฝีปากขณะจ้องมองฉากที่มีเสน่ห์และอ่อนโยน นี่คือคนที่ครอบครัวบังคับให้แต่งงาน วันนี้เห็นฉากแบบนี้แล้ว ถ้าได้แต่งงานกันจริงๆ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!

“นางรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าตระกูลของนางไม่มีทางถือสาที่หนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องแบบนี้ ต่อให้ในภายหลังหนิวโหย่วเต๋อจะแต่งงานรับอนุภรรยาอีกเป็นสิบเป็นร้อยกลับบ้านก็ไม่เป็นไรอยู่ดี ที่สำคัญคือตอนสุดท้ายนางจะต้องกลายเป็นฮูหยินเอกของหนิวโหย่วเต๋อ ประทับตระกูลอิ๋งลงบนร่างกายหนิวโหย่วเต๋อให้ลึกซึ้งก็พอ อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญเลย ส่วนหน้าตาศักดิ์ศรีเล็กน้อยของนาง ตระกูลอิ๋งไม่มีทางเก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว ตระกูลอิ๋งทนได้แม้กระทั่งเรื่องที่ได้รับความอับอายที่อุทยานหลวงด้วยซ้ำ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย

ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเหวินหลานสบตากันอย่างพูดไม่ออก ในที่สุดทั้งสองก็แน่ใจเต็มร้อยแล้ว ว่าผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อเรียกว่าเจ้าของหัวใจคือผู้หญิงคนนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ยังลังเลนิดหน่อย เพราะถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็เป็นแม่หม้าย ตอนนี้หมดความสงสัยโดยสิ้นเชิงแล้ว

กำลังพลที่อยู่บนกำแพงมองฉากนี้อย่างประหลาดใจเช่นกัน

“ฮ่าๆๆ…” เหมียวอี้ที่ดื่มดำเต็มอิ่มแล้วปล่อยอวิ๋นจือชิวที่กำลังดิ้นรน แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่กับอวิ๋นจือชิวอย่างหลบซ่อนอีก ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!

อวิ๋นจือชิวที่โดนดูดปากจนหายใจหอบแววตาวูบไหว ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เหลือทางหนีทีไล่ได้อีกนิดหน่อย นั่นก็คือ…จู่ๆ นางก็โบกฝ่ามือตบหน้าเหมียวอี้อย่างแรง ตงใจจะสร้างสถานการณ์ว่าตัวเองโดนบังคับ

“ทว่าตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้ได้ข่าวว่าฉู่จื่อซานมาเกาะแกะนาง เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มีหรือที่จะยอมให้นางทำสำเร็จ เขาลงมือเร็วกว่า ออกตัวช้าแต่ถึงก่อน ยกมือคว้าข้อมือนางไว้ในชั่วพริบตาเดียว แล้วก็ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นโน้มตัวรวบต้นขาทั้งสองข้างของนาง อุ้มไว้ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วกระโดดไปยืนบนขอบกำแพงเมือง จ้องเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ บนถนนพร้อมตะโกนบอกว่า “”ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าคือผู้หญิงของข้า ยังไม่รีบนำทางอีก!”

บ้าบิ่น! แบบนี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!

ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงตั้งมากมายเท่าไรตกตะลึงอ้าปากค้าง มองดูเหมียวอี้อุ้มผู้หญิงที่กำลังดิ้นรนอย่างตะลึงงัน

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็อึ้งเช่นกัน กลุ่มคนของลัทธิมารที่อยู่ไกลๆ มองไปทางช่างหิน ถามเป็นนัยว่าต้องลงมือช่วยนางหรือไม่ ช่างหินเพียงส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากได้สติกลับมาแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบนำทางทันที เมื่อเหมียวอี้ออกคำสั่งแล้ว พวกนางก็ไม่กล้าชักช้าอีกแล้ว

เหมียวอี้อุ้มอวิ๋นจือชิวเหาะออกจากกำแพงเมืองทันที ตามพวกนางไปแล้ว

“น่าไม่อาย! ปล่อยข้า…” อวิ๋นจือชิวทั้งอับอายทั้งโมโห นางดิ้นรนพลางร้องตะโกน แต่กลับไม่มีทางหลุดพ้นได้

กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มเล็กๆ เหาะตามเหมียวอี้ไปแล้ว

“ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว!” จั่วเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

ต้วนหงมองพลางส่ายหน้า “เจ้าหมอนี่เป็นบ้าไปแล้วรึไง? ทำแบบนี้ต่อหน้าฝูงชนไม่เท่ากับพิสูจน์ความจริงว่าเขากับฉู่จื่อซานกำลังแย่งผู้หญิงกันเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัด “ยังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่กล้าทำอีกเหรอ?”

เม่ยเหนียงก็แทบจะเอ่ยปากด่าออกมาแล้ว แต่จนใจที่ต้องคำนึงถึงฐานะตัวเอง ทำได้เพียงแอบถ่ายทอดเสียงบอกโกวเยว่ “แค่แม่หม้ายคนเดียวก็เอามาเป็นสมบัติล้ำค่าได้ หน้าตาก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ตาบอดหรือไม่เคยเจอผู้หญิงกันแน่?” ในน้ำเสียงเรียกได้ว่าแค้นเคือง

โกวเยว่กลัวว่านางจะทำอะไรตามอารมณ์ จึงรีบถามว่า “หวังเฟยเปลี่ยนความตั้งใจแล้วหรือขอรับ?”

ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเม่ยเหนียงนิ่งชะงักทันที สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ! ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่มีดีสักคน ต่อให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขา แต่ถ้าจะไม่ให้เขาแตะต้องผู้หญิงคนอื่นอีกก็เป็นไปไม่ได้ แต่แม่หม้ายคนนี้มีผลกระทบรุนแรงเกินไป เก็บไว้ไม่ได้!”

“โกวเยว่กลัวที่สุดว่าตอนนี้นางจะแสดงความเจ้าอารมณ์ของผู้หญิงออกมา เมื่อเห็นนางไม่ดึงดันต่อ คำพูดที่นางด่าผูชายรวมทั้งเขาด้วย เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวชมว่า “หวังเฟยคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมอย่างที่คาดไว้! หวังเฟยวางใจได้ ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องจัดการแม่หม้ายคนนี้แน่นอน ไม่ปล่อยให้นางมาทำให้คุณหนูวุ่นวายใจแน่ เพียงแต่คุณหนูได้เห็นเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าจะคงจะ…”

เมื่อเห็นเขารับปากแล้วว่าจะกำจัดอวิ๋นจือชิวทิ้ง เม่ยเหนียงก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ล้วนต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่และคำพูดของแม่สื่อ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าย่อมโน้มน้าวนางได้อยู่แล้ว”

อิ๋งเยว่สีหน้าบูดบึ้ง โค่วเหวินลวี่และอีกสามคนมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกว่าครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ดูละครฉากเด็ดขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้พิลึกกึกกือเกินไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปอยู่ในวงสนทนากับเพื่อนสาวก็จะมีเรื่องพูดแล้ว ทำให้พวกเพื่อนสาวที่ไม่มีโอกาสได้เห็นอิจฉาให้ตายไปเลย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจก่วงเม่ยเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง คำพูดของมารดาที่บอกว่าจะให้นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อได้สร้างผลกระทบให้นางนิดหน่อย อีกทั้งวันนี้ยังได้เห็นกับตาแล้ววจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้แตกต่างกับผู้ชายคนอื่น แตกต่างกับพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยมีอำนาจที่ตนเคยเจอจริงๆ จะพูดอย่างไรดีล่ะ ลูกหลานผู้มีอำนาจพวกนั้นสามารถใช้คำว่า ‘มวลหมู่ดอกไม้สีสันแพรวราว’ มาบรรยายได้ แต่หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กลับเหมือน ‘ต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านแข็งแรง’

โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นฉากที่น่าเขินอายนั่นกับตาตัวเอง นางก็พบว่าท่านแม่พูดไว้ไม่มีผิดจริงๆ สามารถทำเพื่อแม่หม้ายคนหนึ่งได้ขนาดนี้ ไม่แยแสพื้นเพชาติกำเนิดเลย เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่ชายตาแลตนจริงๆ

ปั้ง! ประตูตึกบนกำแพงเมืองถูกเปิดออก รวบกวนอารมณ์ความคิดของทุกคนแล้ว ทำให้คนกลุ่มนี้หันขวับมองไป พบว่าคนที่บุกเข้ามาก็คือลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ

“ทหารเลือดท่วมตัวที่นำหน้ามาตะคอกถาม “พวกเจ้าเป็นใคร?”

หานตงยืนขึ้นพร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม “เป็นพ่อค้าในเมือง รองผู้บัญชาการใหญ่ฟางลี่เหิงเรียกพวกเรามาคุยธุระ!”

“ทหารคนนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “”กองทัพองครักษ์รับช่วงต่อเมืองนี้แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของพ่อค้าอย่างพวกเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

ไสหัวไป? หานตงแอบปาดเหงื่อในใจ ในใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่กล้าพูดกับบรรดาคนที่อยู่ข้างหลังตัวเองแบบนี้ เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเชิญ

“โกวเยว่ขยับตัวแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ไปกันเถอะ!”

คนกลุ่มหนึ่งทยอยกันออกจากตึกบนกำแพงเมือง พอลงจากกำแพงเมืองแล้ว ก็เดินช้าๆ อยู่บนถนนตลอดทาง ไม่กล้าเหาะเกิน ไม่ใช่ว่าไม่กล้าหรอก แต่ไม่อยากปะทะกับพวกปัญหาอ่อนของกองทัพองครักษ์

มีเสียงฆ้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง กำลังพลกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านมาบนถนนตรงหน้า ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของตลาดสวรรค์ หัวแถวและปลายแถวมีคนของกองทัพองครักษ์คุมอยู่ มีคนตะโกนเสียงดังว่า “คนในเมืองฟังไว้ให้ดี ไม่ต้องวิตกกังวล ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าต่างๆ เปิดดำเนินกิจการได้ตามปกติ…”

พวกโกวเยว่ได้ยินแล้วส่ายหน้า คาดว่าคนของร้านค้าต่างๆ คงเก็บของหนีไปหมดแล้ว นี่จะหลอกคนออกมาบริจาคสิ่งของเหรอ?

“พอคนกลุ่มนี้เดินมาถึงทางแยกตรงถนนหลัก ก็ต่างคนต่างกลับร้านของตัวเอง”

“ท่านปู่ถัง พวกเราไปหออวิ๋นฮว๋าเลยมั้ย?” โค่วเหวินหลานที่ตามอยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนถ่ายทอดเสียงถาม

ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้า “ไป! รอให้เขารู้สึกกดดันสักหน่อยก่อน ยื่นฟืนให้ท่ามกลางหิมะดีกว่า!”

หออวิ๋นฮว๋า ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เหมียวอี้เพิ่งจะวางอวิ๋นจือชิวลง อวิ๋นจือชิวก็หันตัวมายืนเท้าเอวด้วยท่าทางดุดันทันที “หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!”

“เป็นบ้าเพราะเจ้า ก็ถือว่าคุ้มค่า!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

อวิ๋นจือชิวที่ดุร้ายเหมือนแม่เสือ พอได้ยินประโยคนี้ก็พูดไม่ออกทันที นางกัดริมฝีปาก น้ำตาคลอเบ้าแดงก่ำ ขณะที่มองรอยเลือดบนตัวเหมียวอี้ นางก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากจะแสร้งทำตัวโมโหแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่มีทางกลั่นพลังอำนาจตอนโมโหโวยวายออกมาได้ นางกลั้นน้ำตาแล้วบอกว่า “ปากหวานเหมือนทาน้ำผึ้ง ต้องไปทำเรื่องสกปรกอะไรมาแน่นอน”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่เตรียมตัวไว้แล้วว่าฮูหยินจะปรี๊ดแตกโมโหร้าย ตอนนี้อึ้งทันที จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา เอามือปิดปากแอบหัวเราะ

อวิ๋นจือชิวอับอายจนโมโหทันที เข้าไปหยิกพวกนางหลายครั้ง แต่ก็ถูกเหมียวอี้ดึงแขนกลับมาอีก แล้วโอบไว้ในอ้อมกอดพร้อมก้มหน้ามอง “น้องชิว หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?”

อวิ๋นจือชิวผลักเขาออก แล้วพูดอย่างรังเกียจว่า “สกปรกจะตาย อย่ามาจับข้า” จากนั้นหันมาตะโกนสั่งเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “มัวยืนเหม่ออะไรกันอยู่ ยังไม่รีบไปเตรียมน้ำร้อนอีก? แล้วก็ไปบอกคนห้องข้างๆ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก วันๆ เอาแต่เสพสุขอยู่ในห้องตัวเองด้วย” นางหมายถึงเทพธิดาหงเฉิน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว

เหมียวอี้ยังอยากจะโอบกอดอีกสักหน่อย แต่อวิ๋นจือชิวกลับผลักหน้าอกเขา แล้วชี้ที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกใบ้ว่ายังมีคนอีก อย่าทำซี้ซั้ว จากนั้นก็โบกมือเรียกเฒ่าฟ่านออกมา

พอโผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้ที่เกราะรบเต็มไปด้วยเลือด เฒ่าฟ่านก็งงทันที แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “เถ้าแก่เนี้ย นี่คื?”

“หนิวโหย่วเต๋อ!” เหมียวอี้รายงานชื่อตัวเอง แล้วชี้ไปที่อวิ๋นจือชิว  “ฮูหยินของพวกเจ้าก็คือฮูหยินเอกของข้า หลายปีมานี้เฒ่าฟ่านปกป้องภรรยาของข้า ขอกล่าวขอบคุณตรงนี้!” ขณะที่พูดก็กุมหมัดคารวะ

“อืม…หา…หนิวโหย่วเต๋อ…ภรรยา?” ข้อมูลข่าวสารเยอะเกินไป เฒ่าฟ่านงุนงงนิดหน่อย คิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อไหน?”

“แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อของกองมังกรดำ หน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว!” เหมียวอี้กล่าว

“หา!” เฒ่าฟ่านตะลึงงัน นี่คือหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นเหรอ หันหน้าช้าๆ กลับมามองอวิ๋นจือชิว “เถ้าแก่เนี้ย เขาก็คือคนของพวกเราเหมือนกันเหรอ?”

ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกยังไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยง

“อวิ๋นจือชิวพยักหน้าถอนหายใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ออกไปก่อนเถอะ”

“อ่อ…อืม… “เฒ่าฟ่านมองมาแวบหนึ่งอย่างเหม่อๆ แล้วก็ถอยออกไปอย่างงุนงง พอเดินมาถึงประตูก็รีบเร่งฝีเท้า เรื่องนี้ต้องรีบรายงานขึ้นไป

ตอนที่เขาเพิ่งจะออกไป เทพธิดาหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงสีแดงก็เดินเนิบนาบออกมา เมื่อแห็นเหมียวอี้มีเลือดเปื้อนทั่วทั้งเกราะรบ นางก็ตะลึงงันเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม แล้วย่อเข่าทำความเคารพ “นายท่าน ฮูหยิน!”

“หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?” เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองพร้อมถามอย่างอ่อนโยน

พออวิ๋นจือชิวเห็นหงเฉินก็ส่ายหน้าทันที ทั้งชีวิตนี้เคยเจอคนที่ไร้กังวลมาก่อน แต่ไม่คยเจอใครไร้กังวลขนาดนี้เลย แม้แต่นางที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาหลายปีก็ยังเจอหน้ากันได้ยาก คนเราใช้ชีวิตจนกลายเป็นแบบนี้ก็ว่าหนักแล้ว แม้แต่สาวใช้ประจำตัวสองคนก็กลายเป็นคนจิตใจสะอาดผ่องใสไปด้วย

“มีฮูหยินดูแล ข้าสบายดีมาตลอดค่ะ” หงเฉินยืนตัวตรงแล้วตอบเสียงเบา

แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะกล่าวว่า “ข้าเตรียมจะส่งเจ้ากลับไปอยู่เป็นเพื่อนเวยเวยที่พิภพเล็ก เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”

“เหมียวอี้งงทันที แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนทะเลาะกันเหรอ?”

“ทะเลาะกันเหรอ? ข้าก็อยากจะทะเลาะกับนางจะแย่ แต่นิสัยสงบเยือกเย็นอย่างนาง ทำตัวยิ่งกว่าคนออกบวชอีก จะทะเลาะอะไรกันได้ล่ะ?” อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด “อย่ามองข้าอย่างนี้ ข้าส่งนางไปก็เพราะเจ้านั่นแหละ ตอนนี้เจ้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เจ้าวางใจปล่อยให้นางอยู่ที่พิภพใหญ่ได้เหรอ? นางอยู่ที่นี่ก็ไม่สะดวกจะเดินไปไหน แต่ถ้าไปที่พิภพเล็กก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง จะได้ไม่ต้องเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้อง”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วลองถามหงเฉินว่า “เจ้าเต็มใจจะกลับไปมั้ย?”

“แล้วแต่นายท่านกับฮูหยินจะกำชับค่ะ”” หงเฉินตอบอย่างสงบเยือกเย็น

“พอได้ยินว่าอะไรก็ได้แบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็กลอกตามองบน รอจนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ต้มน้ำร้อนเสร็จแล้ว นางก็กำชับหงเฉินทันทีว่า “เจ้าไปปรนนิบัตินายท่านตอนอาบน้ำ อีกเดี๋นยวก็จะส่งเจ้ากลับแล้ว เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset