พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1547 ผู้ชี้แนะ

จะไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้ยังไม่ทันหายเหม่อลอย ตุ้บ! อวิ๋นจือชิวก็แตะที่รองเท้ายาวของเขาหนึ่งที “ถอดเกราะรบ!”

เขาเก็บเกราะรบที่อยู่บนตัว พอหันกลับมาอีกที ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวออกไปแล้ว มีเพียงหงเฉินที่เดินเข้ามาในห้อง

ข้างถังอาบน้ำในห้อง เมื่อไม่ได้ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจมานาน เหมียวอี้ก็เขินอายเล็กน้อยที่ต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าหงเฉิน กลับเป็นหงเฉินที่ไม่ขวยอายเลยแม้แต่น้อย เป็นฝ่ายยื่นมือมาถอดเสื้อผ้าให้เขาก่อนด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ดุจน้ำ

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็เปลือยร่างแช่อยู่ในถังอาบน้ำ หงเฉินม้วนแขนเสื้อขึ้นมา แขนขาวงามดุจรากบัวสองข้างที่เผยออกมากำลังช่วยเขาอาบน้ำ

มียอดหญิงงามอยู่ข้างกายแบบนี้ เรื่องบางเรื่องก็เป็นไปตามธรรมชาติ ด้วยความที่ไม่ได้ป้องกันตัว หงเฉินถูกดึงลงไปในถังอาบน้ำแล้ว…

รอจนกระทั่งทั้งสองออกมาจากในห้องอีกครั้ง ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในศาลากำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ตอนที่ให้หงเฉินเข้าไป นางก็รู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางตั้งใจช่วยให้ทั้งสองสมปรารถนา

เหมียวอี้ไอแห้งๆ ท่าทางค่อนข้างเขินอาย ส่วนหงเฉินก็นิสัยเย็นชาสุขุม แต่ก็ถูกอวิ๋นจือชิวมองจนอึดอัดไปทั้งตัวเช่นกัน แก้มที่ยังแดงไม่หายแดงเรื่อยิ่งกว่าเดิมอีก

อวิ๋นจือชิวเดินออกจากศาลาเข้ามาหา แล้วจ้องเหมียวอี้อย่างเหยียดหยามพร้อมกล่าวว่า “สงสัยทั้งสองจะอาบน้ำด้วยกันแล้วสินะ เก็บกดมาหนึ่งพันปี ตอนนี้สบายตัวรึยังล่ะ?”

“เอ่อคือ ฮูหยิน ตอนนี้จะให้หงเฉินไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา

“เสวี่ยเอ๋อร์!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาตะโกนเรียก เสวี่ยเอ๋อร์เดินออกมาจากประตูพระจันทร์ด้านข้าง แล้วอวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาบอกเหมียวอี้อีกว่า “เจ้าให้ทหารยามที่เฝ้าประตูปล่อยเสวี่ยเอ๋อร์ออกไป ให้เสวี่ยเอ๋อร์พานางกลับพิภพเล็ก ตอนหลังยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เสวี่ยเอ๋อร์ก็ต้องอยู่ที่พิภพเล็กไปก่อนสักระยะเหมือนกัน ดูก่อนว่าสถานการณ์ทางนี้เป็นยังไงบ้าง ถ้าคุมสถานการณ์ให้สงบได้แล้ว ก็ค่อยทำตามที่เจ้าบอก ถือโอกาสพาหลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวมาที่นี่ เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” แล้วก็พูดเสริมอีกว่า “ตอนที่เจ้าตัดสินใจว่าจะให้พวกเขามาที่นี่ ในหลายปีมานี้ข้าก็ทุ่มเททรัพยากรฝึกตนเลี้ยงพวกเขาสองคนแล้ว ประวัติภูมิหลังข้าก็ช่วยเตรียมให้พวกเขาแล้วเหมือนกัน”

เหมียวอี้หันตัวมาบอกหงเฉินว่า “ที่ฮูหยินพูดมีเหตุผล ในเมื่อฮูหยินเตรียมการไว้แล้ว ก็ไปจัดการตามที่ฮูหยินบอกแล้วกัน เหยียนซิวต้องการจะไปที่พิภพเล็กพอดี ข้าจะให้เหยียนซิวคุ้มกันส่งพวกเจ้าสองคน ถ้าว่างเมื่อไรข้าจะไปหาเจ้า”

“ค่ะ!” หงเฉินเอ่ยรับเสียงเบา

อวิ๋นจือชิวโบกมือ ให้เสวี่ยเอ๋อร์ไปเก็บข้าวของเป็นเพื่อนหงเฉิน ส่วนเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทหารยามที่เฝ้าเมืองให้ดำเนินการเรื่องนี้

หลังจากเหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้ว อวิ๋นจือชิวก็แสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือยัง? เจ้าทำอะไรลงไปแล้ว ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ายุติเรื่องนี้ได้เหรอ? ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็รีบหนีกันเถอะ!”

เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ากล้าอยู่ต่อ ก็แสดงว่าเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ทุกอย่างที่ข้าทำไป ล้วนเป็นเรื่องที่มีเหตุผลและมีหลักฐาน นอกเสียจากตำหนักสวรรค์จะไม่ทำตามกฎเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ข้าบอกแล้วไงว่าข้ารับมือได้ อย่างมากข้าก็หนีไปซะให้จบๆ ข้างกายข้ามีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพปกป้อง ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก ในภายหลังข้าไม่ต้องโผล่หน้าให้คนเห็นอีกก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าลำบากอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปี มีคนฝากความหวังไว้กับเจ้ามากมายขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้? ข้าเองก็รู้แล้วว่าเจ้าเจตนาดี แต่การที่เจ้าทำอะไรตามอารมณ์แบบนี้ หนิวเอ้อร์! จะให้ข้าพูดยังไงกับเจ้าดี?”

“ยังไงข้าก็ทำเรื่องนี้ไปแล้ว!” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง ทำท่าเหมือนบอกว่าน้ำที่สาดออกไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ ไร้ยางอายมาก

“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวถลึงดวงตางาม ถกแขนเสื้อสองข้าง นางทำท่าจะลงมือแล้ว

เหมียวอี้ยกฝ่ามือห้าม “พอแล้ว! เวลากระชั้นชิด คุยธุระหลักกันก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยๆ ตีกันตอนอยู่บนเตียงก็ได้”

“อย่ามาใช้ลูกไม้นี้ เพิ่งทำเรื่องนั้นเสร็จ ยังมีหน้ามาเอ่ยถึงอีกเหรอ อย่ามาแตะต้องข้า!” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรงเตะขาเขาหนึ่งที

เหมียวอี้รับเท้านางอย่างร่าเริง ไม่ได้หลบหลีก จากนั้นก็จูงมือนางเดินเข้าไปในศาลา กดไหล่สองข้างของนางให้นั่งลง ช่วยนวดไหล่ให้นางพร้อมบอกว่า “พอแล้ว! ฮูหยิน ความผิดทุกอย่างเป็นของข้าเอง อย่าโมโหเลย คุยธุระหลักกันเถอะ ได้ข่าวเจ้ารองรึเปล่า?”

พอพูดถึงเรื่องศีลแปด อวิ๋นจือชิวก็เริ่มขมวดคิ้ว “ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว ข้าติดต่อไปทุกวัน หลายปีมานี้ติดต่อไม่เคยหยุดเลย แต่ก็ติดต่อไม่ได้”

เหมียวอี้นวดไหล่งามของเขา พร้อมค่อยๆ พูดว่า “ถ้าเรื่องที่เกาก้วนบอกข้าเป็นความจริง ถ้ามีไต้ซือศีลเจ็ดอยู่ด้วย ก็น่าจะพาศีลแปดหนีไปตอนที่ดาวเคราะห์ดวงนั้นหมดพลังสิถึงจะถูก ทำไมจนป่านนี้แล้วยังติดต่อไม่ได้อีก?”

อวิ๋นจือชิวตบมือของเขาที่วางอยู่บนบ่าตัวเองเบาๆ บอกใบ้ว่าพอได้แล้ว หลังจากชี้ตรงที่นั่งข้างๆ ให้เขานั่งลง นางถึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สามอย่าง อย่างแรกก็คือ สิ่งที่เกาก้วนบอกอาจจะเป็นเรื่องโกหก ความเป็นไปได้ที่สอง ศีลแปดยังหลบซ่อนไม่ยอมมาเจอพวกเรา ความเป็นไปได้ที่สาม ศีลแปดอาจจะยังหนีออกมาไม่ได้”

เหมียวอี้ส่ายหน้าเงียบๆ ก่อนจะบอกว่า “อย่างแรกกับอย่างที่สองไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นเพราะสิ่งที่เกาก้วนบอกตรงกับศีลแปดเกินไป ไม่เหมือนโกหก แล้วอีกอย่าง ถ้าติดต่อศีลแปดไม่ได้ แล้วทำไมถึงติดต่อไต้ซือศีลเจ็ดไม่ได้ด้วยเหมือนกัน?”

อวิ๋นจือชิวพูดว่า “ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าคิดว่าน้องชายเจ้านิสัยเป็นยังไง?”

เหมียวอี้ชะงักทันที แล้วตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “สันดานของเจ้ารองน่ะ ตอนนี้เจ้ายังต้องถามข้าอีกเหรอ?”

“ข้าหมายความว่า ถ้าไต้ซือศีลเจ็ดตกอยู่ในอันตราย เจ้าคิดว่าศีลแปดจะทิ้งเขาโดยไม่สนใจรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถาม

“เอ่อ…” เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย “ถึงแม้เจ้ารองจะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ความเป็นคนก็ยังมีขอบเขตอยู่นะ ไม่อย่างนั้นข้าคงตัดขาเขาไปตั้งนานแล้ว เรื่องตัดญาติขาดมิตรเขาน่าจะทำไม่ลงหรอก”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องนี้ก็ยุ่งยากแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขายังออกมาไม่ได้”

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้แปลกใจ

อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน “ข้าอยู่ที่พิภพเล็กมานานกว่าเจ้า รู้จักไต้ซือศีลเจ็ดดีกว่าเจ้าด้วย ถึงแม้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปจะโดนขังอยู่ แต่ก็ยังมีอันตรายมากขนากนั้น ด้วยจิตใจที่มีเมตตากรุณาของไต้ซือศีลเจ็ด เกรงว่าคงไม่ปล่อยให้พระปีศาจหนานโปก่อหายนะต่อมนุษย์อีก ต่อให้มีโอกาสหนีแต่ก็เป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะไม่หนี และเขาก็เกือบตกหลุมพรางพระปีศาจหนานโปแล้ว…” คำพูดตอนท้ายนางไม่ได้เอ่ยออกมา

เหมียวอี้ทำสายตาเหม่อลอยทันที เข้าใจความหมายที่นางสื่อแล้ว ถ้าศีลแปดไม่อยากเห็นไต้ซือศีลเจ็ดเป็นอะไรไป ต่อให้ไต้ซือศีลเจ็ดจะส่งศีลแปดออกมาจากดาวเคราะห์ดวงนั้น แต่เกรงว่าศีลแปดคงจะไม่ไปอยู่ดี ตอนนี้เขากลับหวังให้ศีลแปดเป็นคนที่ตัดญาติขาดมิตรลืมอาจารย์แล้ว ไม่อย่างนั้นความเป็นไปได้นี้ก็มีสูงมากจริงๆ

“อย่าบอกนะว่าไต้ซือศีลเจ็ดไม่รู้ว่าหลังจากส่งศีลแปดกลับมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?” เหมียวอี้ลองถาม

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “ไต้ซือศีลเจ็ดคร่ำครึกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ นั่นคือคนที่สามารถเอาร่างกายตัวเองให้เสือกินได้เลยนะ ขอเพียงเขาหนีออกไปแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้วว่าพระปีศาจหนานโปจะออกไปทำร้ายคนอีก เกรงว่าเขาคงจะไม่หนีไป”

เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก “ถ้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าเจ้ารองจะโดนอาจารย์ที่คร่ำครึนั่นวางกับดักแล้วจริงๆ ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้จริงๆ พลาดโอกาสหนีไปแล้วครั้งหนึ่ง เกรงว่าศีลแปดคงต้องรอโอกาสครั้งที่สองถึงจะหนีไปได้”

“อย่าบอกนะว่าครั้งที่สองศีลแปดจะทิ้งอาจารย์ไว้?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ

เหมียวอี้ตบต้นขาแล้วร้องอ๋อ “เจ้ารองบ้านพวกเรานะ เจ้าไม่รู้หรอก เขาไม่ได้คร่ำครึเหมือนอาจารย์ขนาดนั้น เขาทำเรื่องขาดศีลธรรมมาทุกรูปแบบตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องไร้ศีลธรรมที่เขาเคยทำมา พี่ใหญ่อย่างข้าละอายใจที่จะพูดออกมา ถ้าเขาพลาดโอกาสครั้งแรกไป แล้วยังพลาดโอกาสครั้งที่สองอีกก็แปลกแล้ว เจ้านั่นเป็นคนที่ไม่มีทางยอมเสียเปรียบเป็นครั้งที่สองหรอก ต้องทิ้งอาจารย์แล้วหนีออกมาก่อนแน่ๆ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจเลย เขาอาจจะมาขอกำลังสนับสนุน ตอนนี้ก็ทำได้แค่รอดูไปก่อนแล้วกัน แค่แน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็พอ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นจะหนีพ้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว” พอพูดถึงตรงนี้ อวิ๋นจือชิวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอีกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าสนใจที่อยู่ของเจ้ารองมาก บางทีอาจะเป็นเพราะตอนอยู่ที่พิภพเล็กขอคำชี้แนะจากหยางชิ่งจนชินแล้ว ดังนั้นก่อนหน้าที่ข้าจะรู้ว่าเจ้าจะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ กอปรกับเรื่องนี้ยืดเยื้อมานานเกินไป ข้าก็เลยเอาเรื่องนี้ไปขอคำชี้แนะจากหยางชิ่งมานิดหน่อย อยากจะดูว่าเขาจะมีความคิดอะไรที่สามารถตามหาศีลแปดพบหรือเปล่า เรื่องนี้ข้าอยากจะหาโอกาสพูดต่อหน้าเจ้า” ขณะที่พูดก็แอบมองสีหน้าเหมียวอี้เงียบๆ

“เจ้าบอกเรื่องนี้กับหยางชิ่งแล้วเหรอ?” เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “บอกเรื่องนี้กับเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เขาจะคิดหาวิธีการอะไรได้?” เขาค่อนข้างหวาดกลัวหยางชิ่งมาตลอด โดยเฉพาะตอนที่อวิ๋นจือชิวเกือบจะตายด้วยน้ำมือหยางชิ่งโดยไม่รู้ตัว

อวิ๋นจือชิวเข้ามาหาทันที นางรูดกระโปรงหย่อนก้นที่กลมกลึงนั่งบนตักเขา สวมกอดที่คอให้หน้าอกเบียดใบหน้า แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “อย่าโมโหไปเลย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของศีลแปด ไม่ได้เปิดเผยว่าเกี่ยวกับพระปีศาจหนานโปด้วย แต่ข้าเปลี่ยนวิธีการ ข้าตั้งใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เหมือนเป็นข้อสอบข้อหนึ่งแล้วขอคำชี้แนะจากเขา ถึงยังไงก็ไม่มีวิธีการแล้ว ลองรักษาม้าตายให้เหมือนรักษาม้าเป็นดูสักหน่อย เรื่องนี้เขาก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้จริง แต่เจ้าไม่ต้องพูดถึงเลย เรื่องที่พวกเรามองไม่ทะลุ พอตกไปถึงมือเขาแล้ว เขาก็จะชี้ให้เห็นได้ว่ากุญแจสำคัญอยู่ตรงไหน วิเคราะห์จนเกิดลู่ทางความคิดให้ข้าได้แล้ว!”

เหมียวอี้เอนศีรษะไปข้างหลัง หลบหน้าอกของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ลู่ทางความคิดอะไร?”

“ข้าจำที่เจ้าบอกได้ ว่ามีคนชี้แนะศีลแปดให้ไปสถานที่บ้าๆ นั่น”

“ใช่! เกาก้วนบอกอย่างนั้น ลู่ทางความคิดที่หยางชิ่งบอกก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอ? ไม่ต้องให้เขาบอกหรอก ข้าเองก็อยากตามหาคนชี้นะให้เจอเหมือนกัน ถ้าเจอเขาแล้ว ก็อาจจะหาเจอว่าศีลแปดโดนขังอยู่ที่ไหน แต่ก็ติดต่อหาศีลแปดไม่ได้อีก ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้จะลงมือจากตรงไหน”

“แล้วทำไมทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ถึงบังเอิญไปอยู่ในสถานที่เดียวกันได้ล่ะ?”

“น่าจะเป็นเพราะศีลแปดโดนขัง ตนอหลังไต้ซือศีลเจ็ดเลยหาเขาพบละมั้ง ตามที่ไต้ซือศีลเจ็ดบอก วิชาศีลของพวกเขามีความพิเศษ สามารถสัมผัสได้ว่าศีลแปดอยู่ตรงไหน ดังนั้นการที่หาพบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“เรื่องนี้ข้าก็รู้ เจ้าเคยบอกข้าแล้ว แต่กุญแจสำคัญที่หยางชิ่งเอ่ยถึงก็อยู่ตรงนี้แหละ เขาตัดความเป็นไปได้ในการใช้เคล็ดวิชาค้นหาออก สิ่งที่เขาตัดสินได้ก็คือ ถ้าอยู่ห่างกันไกลเกินไป ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่มีทางสัมผัสตำแหน่งโดยละเอียดของศีลแปดได้เลย ดังนั้นไต้ซือศีลเจ็ดถึงเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาเขา และน่าจะอยู่ในระยะที่ใกล้พอสมควรถึงจะแน่ใจตำแหน่งได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สัมผัสได้แม่นยำขนาดนั้นจริงๆ หรอก ไต้ซือศีลเจ็ดคงไม่ถึงขั้นตามหาอยู่หลายปีกว่าจะพบศีลแปด เขาอาจจะหาศีลแปดพบหลังจากนั้นหลายร้อยปี”

พอนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็จมอยู่ในการคิดไตร่ตรอง พอคิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เขายังบอกว่าอะไรอีก?”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “คนที่ชี้แนะให้ศีลแปดไปหาพระปีศาจหนานโปน่าสงสัย! จุดที่พระปีศาจหนานโปโดนขังไว้อยู่นอกอาณาเขตนะ ใครจะรู้จักที่นั่นได้ล่ะ? ถ้าอยู่นอกอาณาเขต ไม่ว่าใครจะเป็นคนชี้แนะ ศีลแปดเป็นคนฉลาดขนาดนั้น มีหรือที่จะหลับหูหลับตาไปที่นั่นโดยไม่เหลือทางหนีทีไล่เอาไว้สักหน่อย คนที่ชี้แนะคนนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่ปีศาจโลหิตเชื่อใจ ก็ต้องเป็นคนที่ศีลแปดเชื่อใจ แต่ขนาดไต้ซือศีลเจ็ดยังไปตามหาที่นั่น ดังนั้นก็ตัดความเป็นไปได้ของปีศาจโลหิตทิ้งไปได้เลย!”

เหมียวอี้พลันหรี่ตา “หยางชิ่งหมายความว่า คนที่ชี้แนะให้ไปสถานที่นั้น เป็นคนที่ทั้งศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดรู้จัก ไต้ซือศีลเจ็ดก็ถูกชี้แนะให้ไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ? จะเป็นใครได้ล่ะ?”

“คนที่สามารถทำให้ทั้งศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดเชื่อใจได้ แต่ศีลแปดกับไต้ซือศีลเจ็ดไม่เคยเจอเลยตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ ดังนั้นคนที่ทั้งสองเชื่อใจทั้งยังรู้จักเหมือนกันตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ก็น่าจะมาจากพิภพเล็ก และคนคนนี้ก็ต้องรู้จักสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปด้วย! หยางชิ่งให้ข้ามาคิดดูว่าใครตรงกับเงื่อนไขพวกนี้ อย่างอื่นเขาก็ไม่รู้แล้ว เขาช่วยย่อขอบเขตให้ข้าได้เท่านี้” อวิ๋นจือชิววกล่าว

เหมียวอี้ตบก้นนางเบาๆ บอกใบ้ให้นางลุกขึ้น แล้วตัวเองก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ เช่นกัน แล้วเอามือไขว้หลังหรี่ตายิ้ม พลางกล่าวออกมาช้าๆ ว่า “คนที่มีความเป็นได้มากที่สุดในการเติมเต็มเงื่อนไขเหล่านี้มีอยู่คนเดียว เทพพยากรณ์!”

……………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset