พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1631 จุดซ่อนสมบัติมีเงื่อนงำ

ทว่าเมื่อเหาะขึ้นเหาะลง หาไปหามา ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ถูกฝ่ามือนั่นตบไว้อย่างราบเรียบเกินไป กลายเป็นพื้นที่ราบแห่งหนึ่งแล้วจริงๆ ไม่มีวัตถุอ้างอิงใดๆ ที่นูนออกมาเลย ทำให้เหมียวอี้อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวเข้าใจประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ ผิดไปหรือเปล่าตรงไหน

แต่เขาก็คิดไม่ออกถึงคำอธิบายอื่นของประโยคนั้นแล้วจริงๆ และเมื่อดูจากประสบการณ์ในการหาสมบัติที่ผ่านมา ผู้ซ่อนสมบัติก็แค่จัดวางไว้อย่างละเอียดประณีตเท่านั้น เรื่องชี้แนะวัตถุอ้างอิงเป้าหมายกลับไม่ได้ใช้อุบายล้ำลึกอะไรนัก ไม่ได้ทำสิ่งที่คลุมเครือยากลำบากต่อการทำความเข้าใจ

หลังจากตัดสินบางอย่างได้แล้ว ก็จำเป็นต้องอิงตามความเข้าใจก่อนหน้านี้ต่อไป ค้นหาตรงนี้ต่อไป

แต่เมื่อทำซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ก็ยังหาไม่เจอว่า ‘กลาง’ อยู่ตรงไหน ภายใต้ความจนปัญญา เหมียวอี้ก็เลยต้องใช้วิธีการโง่เง่าบางอย่าง นั่นก็คือร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดฝุ่นที่ทับถมมอยู่บนพื้นดิน อยากจะดูว่าใต้กองฝุ่นได้ฝังซ่อนเบาะแสอะไรไว้หรือเปล่า เรียกได้ว่าลำบากไปยกหนึ่ง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง ยังคงหาร่องรอยวัตถุอ้างอิงใดๆ ไม่เจอ

อย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่เดิมของสำนักอู๋เหมิน? เหมียวอี้รู้สึกว่าตัวเองอาจจะเปลืองความคิดกับสิ่งที่ไม่สำคัญ เขาถึงได้ตัดสินใจจะค้นหาทั้งดาวหนานอู๋ให้ดีอีกสักรอบ

เมื่อถลันตัวเหาะไปอยู่กลางท้องฟ้า ขณะที่พุ่งตรงไปยังเมฆหมอก จิตใต้สำนึกของเหมียวอี้ก็สั่งให้เขาก้มหน้ามองสถานที่ข้างล่างที่ตัวเองค้นหาซ้ำไปซ้ำมาจนเหนื่อยอีกรอบ

ตอนยังไม่มองก็ยังไม่มีอะไร แต่พอได้มองแล้ว เขาก็เหาะไม่ไปแล้ว ร่างกายพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ถลึงตามองด้านล่างอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ ในซากวัตถุปรากฏเครื่องหมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อยู่บนพื้นที่ว่างนอกตำหนักหลักนี้เอง เป็นเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ ขนาดใหญ่ที่ปรากฏชัดเจนในสายตา ราวกับเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่เบ่งบานอยู่บนพื้นดิน มันถูกฝุ่นกลบเอาไว้ตลอด จนกระทั่งกำจัดฝุ่นออกไปแล้วถึงได้ปรากฏออกมา

ตัวอักษระ ‘สวัสดิกะ’ ตัวนี้ก็ใหญ่มากจริงๆ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้กำจัดฝุ่นบนพื้นแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็น เมื่อเหาะมาอยู่บนฟ้าแล้วมองจากข้างบนลงมาถึงจะเห็น เครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ นี้ถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์มาก จะเห็นได้ว่าบนลานกว้างนอกตำหนักหลักเดิมยังคงอยู่  จนกระทั่งหลังจากทั้งลานกว้างถูกฝ่ามือตบให้จมลง ตัวอักษร ‘สวัสดิกะ’ รวมทั้งลานกว้างก็ล้วนถูกรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ถึงแม้ลักษณะทางกายภาพจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็ถูกอัดแน่นไว้ตรงนั้นเช่นเดียวกัน

ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้คำจำกัดความว่า ‘กลาง’ อยู่ตรงไหน เช่นนั้นหลังจากภาพ ‘สวัสดิกะ’ ปรากฏออกมาแล้ว สายตาของเหมียวอี้ก็ไปหยุดอยู่บนจุดตรงกลางของ ‘สวัสดิกะ’ ทันที จุดที่ตะขอหักสี่อันมาไขว้รวมกันอยู่ตรงกลางจริงๆ กลางจนไม่รู้จะกลางอย่างไรแล้ว ทำให้คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิธีการอื่นอีก

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” เหมียวอี้หัวเราะหึหึ หลังจากเล็งจุดตรงกลางแม่นยำแล้ว เขาก็ถลันตัวลงไป ไปเหยียบลงตรงกลางเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ จากนั้นมองไปรอบๆ พบว่าใต้เท้าตัวเองน่าจะเป็นประตูใหญ่ของตำหนักหลักสำนักอู๋เหมิน เกรงว่าจะเป็นจุดที่ถูกรักษาไว้อย่างครบสมบูรณ์ที่สุดของทั้งสำนักอู๋เหมิน เพียงแต่ถูกตีให้จมลงก็เท่านั้นเอง ยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังคบคิดถึงความหมายของคำว่ากลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋จริงๆ

เหมียวอี้หลับตาลงช้าๆ ในหัวปรากฏภาพของคนคนหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าในปีนั้นผู้ที่ซ่อนสมบัติเคยยืนเงียบอยู่ตรงจุดนี้หรือเปล่า…

เมื่อลืมตาขึ้น เห็นสีของท้องฟ้า พบว่าฟ้าก็ยังไม่มืด กว่าจะรอให้ฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ก็ยังเหลือระยะเวลาอีกช่วงหนึ่ง เขาจึงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม

เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อรู้สึกว่าท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างเล็กน้อยแล้ว เหมียวอี้หยุดฝึกวิชาแล้วยืนขึ้นมองสีของท้องฟ้าโดยรอบ เขาเริ่มขมวดคิ้ว กระแสเมฆหลายชั้นบนท้องฟ้าที่เหมือนวันฟ้าครึ้ม จะทำให้มองเห็นเงาแสงมหัศจรรย์ตอนที่ตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันอย่างราบรื่นได้ด้วยเหรอ?

เขากระโจนตัวขึ้นมา ทยานขึ้นบนท้องฟ้าในแนวตรง เมื่อคำนวณได้ระยะความสูงหกพันจั้งแล้วหยุด ตัวเขาก็อยู่ท่ามกลางกระแสเมฆแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะแอบบ่นว่าโชคไม่ดี เมื่อวานสีของท้องฟ้าฝั่งนี้ยังดูดีอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าแค่ผ่านไปคืนเดียวก็กลายเป็นครึ้มฟ้าครึ้มฝนเสียแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาใช้ตาทิพย์ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าภาพเงาสะท้อนไม่ปรากฏบนพื้นดิน ตาทิพย์ของเขาก็มองไม่ออกอยู่ดี

เมื่อเราไปได้สักระยะ รอจนโอกาสดียามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นเมฆหมอกสลายไปเลย

เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หนึ่งวัน เหมียวอี้ทำได้เพียงกลับลงมานั่งสมาธิอยู่บนพื้นอีกครั้ง ก็รอโอกาสต่อไป พอถึงตอนบ่าย เมฆครึ้มบนท้องฟ้าสลายไปแล้ว ดวงอาทิตย์ที่สว่างสดใส เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองท้องฟ้ากลอกตามองบน แล้วนั่งขัดสมาธิต่อไป

เช้าตรู่วันถัดมา เหมียวอี้เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วปวดประสาทนิดหน่อย ถึงแม้บนฟ้าจะไม่มีเมฆครึ้มซ้อนกันหลายชั้นเหมือนเมื่อวาน แต่ก็ยังมีกระแสเมฆลอยล่อง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งผลกระทบต่อปรากฏการณ์ภาพเงาสะท้อนหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ต้องลองดู

เขาทะยานขึ้นบนฟ้าสูงตรงตำแหน่งหกพันจั้งอีกครั้ง แล้วมองดูกระแสเมฆไหลผ่านไป เฝ้าคอยอย่างเงียบๆ

รอจนกระทั่งเวลาที่ตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็หันตัวมาอย่างช้าๆ แล้วมองสำรวจแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่กึ่งมืดกึ่งสว่าง

ตอนที่ลำแสงยามรุ่งอรุณค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้น ร่างของเหมียวอี้ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ แล้วทอดสายตามองไปยังแผ่นดินใหญ่ที่ปลายนิ้วของ ‘รอยฝ่ามือ’ ชี้ไป ภาพคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งปรากฏออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ปรากฏอยู่บนพื้นดินที่สูงต่ำไม่เสมอกัน เป็นภาพสตรีทะยานฟ้าที่เขาคุ้นเคยที่สุด

กระแสเมฆล่องลอยไม่ขาดสาย ภาพของสตรีทะยานฟ้าปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ อยู่ท่ามกลางลายเงาแสง เรากลับมีม่านบางบังไว้ชั้นหนึ่ง เพิ่มความลี้ลับได้หลายส่วน

สายตาของเหมียวอี้รีบทอดมองไปไกล มองไปยังตำแหน่งที่สตรีทะยานฟ้ายกฝ่ามือรอง เห็นรางๆ ว่าตรงนั้นมีเสาควันสีดำสลับเหลืองต้นหนึ่ง ลอยขึ้นมา

ในที่สุดก็หาเจอแล้ว! เหมียวอี้แอบหลับลืมในใจ ก่อนจะพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายแล้ว

“ศิษย์พี่หง เหมือนจะมีคนมา”

ระหว่างแนวภูเขายาวติดกัน ขณะที่คนสามคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายประหลาดสีดำ สวมแว่นผลึกโปร่งแสงกำลังค้นหาไปทั่ว จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็ต้องไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไปพลางตะโกนบอก

อีกสองคนหันกลับไปมองพร้อมกัน  มองไปยังทิศทางที่คนนั้นมอง แต่กลับไม่เห็นอะไร

ผู้ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หงกระพริบตาอยู่หลังกรอบกระจก หันกลับมาถามอีกคนว่า “ศิษย์น้องลั่ว เจ้าเห็นหรือเปล่า?”

ศิษย์น้องลั่วส่ายหน้า แล้วมองไปยังคนที่ตะโกนก่อนหน้านี้ “ศิษย์น้องอวี่ ไหนล่ะ? จะตาลายหรือเปล่า?”

ศิษย์น้องอวี่โบกมือชี้ “เปล่านะ ข้าเห็นชัดเจนเลย เขาคลุมผ้าดำทั้งตัวเหมือนกัน  แฉลบผ่านไปทางนั้นแล้ว”

อีกสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ศิษย์พี่หงกล่าวอย่างลังเลว่า “คนของพวกเราน่าจะยังไปไม่ถึงข้างหน้า จะมีคนได้ยังไง หรือว่ามีคนอยากจะขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว?”

ศิษย์น้องลั่วเดินมาข้างกายนาง “ศิษย์พี่หง หมอกพิษนี้กัดกร่อนรุนแรงมาก ถ้าไม่มีชุดป้องกันใยแมงมุมไหมดำก็อยู่ที่นี่ได้ไม่นานเลย และชุดใยแมงมุมไหมดำก็ถูกควบคุมดูแล มีจำนวนจำกัด ปีนี้ถึงคราวที่สำนักของพวกเรามาเก็บเมิ่งถัวหลัว ตามหลักการแล้วไม่น่าจะมีคนอื่นสิ  ทำไมถึงมีคนโผล่มาขโมยเก็บได้?”

ศิษย์พี่หงจึงบอกว่า “ติดต่อคนอื่นเดี๋ยวนี้ ถามว่ามีใครอยู่ข้างหน้าหรือเปล่า” อีกสองคนปฏิบัติตามทันที

หลังจากนั้นครู่เดียว ทั้งสามคนก็เก็บระฆังดาราในมือ ได้รับการยืนยันตำแหน่งของศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ข้างหน้า ศิษย์พี่หงจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ถึงแม้ชุดใยแมงมุมไหมดำจะถูกควบคุม แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะใช้วิธีการอื่นได้มา แต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญเลย กลัวก็แต่จะมีคนขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวไปก่อกรรมทำชั่ว ไปกันเถอะ ไปดูว่าเป็นใครกันแน่”

จากนั้นทั้งสามคนก็ทะยานขึ้นท้องฟ้า ไล่ตามไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไป ระวังทางตอนที่ผ่านซากสำนักหนานอู๋  ทั้งสามก็หยุดอยู่บนท้องฟ้า  แล้วจ้องไปข้างล่างอย่างระแวงสงสัย จากนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกนางไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก สภาพข้างล่างเป็นอย่างไร ต่อให้พวกนางไม่รู้ชัดเจนแต่ก็เคยเห็นมาก่อน เห็นได้ชัดว่ามีคนมาแตะต้องข้างล่าง

ทั้งสามรีบเหาะลงไปตรวจดู พบว่าร่องรอยการเก็บกวาดยังสดใหม่มาก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกแตะต้องไปได้ไม่นาน เท่ากับเป็นการพิสูจน์คำพูดของศิษย์น้องอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย มีคนอื่นมาที่นี่แล้วจริงๆ

“ไป!” ศิษย์พี่หงโบกมือเรียก ทั้งสามเหาะไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไปอีกครั้ง

และในตอนนี้เหมียวอี้กลับยืนอยู่บนปากภูเขาไฟแห่งหนึ่ง ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ เป็นทะเลสาบภูเขาไฟแห่งหนึ่ง ผิวทะเลสาบหินหนืดที่ร้อนระอุมีรัศมีอย่างน้อยหลายสิบลี้ ทะเลสาบภูเขาไฟประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อยที่ดาวหนานอู๋ ว่ากันว่าเกิดขึ้นเพราะถูกพระปีศาจหนานโปโจมตีทะลุเปลือกโลก โฉมหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่ทราบ ค้นพบเพียงว่าหมอกควันที่ลอยขึ้นบนทะเลสาบหินหนืดค่อนข้างแปลกประหลาด ถ้าเป็นควันดำก็ว่าไปอย่าง แต่เป็นสีดำสลับเหลืองแบบนี้หมายความว่าอะไร?

เอาเป็นว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือสิ่งนี้มีพิษแน่นอน

มองสำรวจไปรอบด้านรอบหนึ่ง เพราะว่าไม่มีทางเลือก กอปรกับภาพสตรีทะยานฟ้าก็ชี้มาทางนี้เช่นกัน เหมียวอี้จึงกระโจนตัวขึ้นมา แล้วใช้ฝ่ามือเบิกทาง พุ่งตัวเข้าไปในหินหนืดที่ร้อนฉ่า

ตอนที่เขากระโดดลงในทะเลสาบหินหนืดได้ไม่นาน เงาคนสามคนก็กวาดมองมาเบื้องล่างตลอดทาง แล้วออกจากท้องฟ้าเข้าไป

ส่วนเหมียวอี้ที่ดำลงในทะเลสาบหินหนืดได้ไม่นานก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ยันหินหนืดรอบๆ ร่างกายออกไป ทำให้เกิดช่องว่างที่เพียงพอ รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก ดวงตางามสีสันแวบวับเผยออกมา ทั้งยังปล่อยเสาแสงที่มีสีรุ้งลอยวนเวียนด้วย เสาแสงกวาดมองสภาพภายในหินหนืด วัตถุเหลวไม่สามารถขัดขวางการมองทะลุของตาทิพย์ได้

ส่วนทะเลสาบหินหนืดแห่งนี้ก็มีพื้นที่กว้างใหญ่จริงๆ เขาไม่รู้ว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ลึกขนาดไหนกันแน่ ถ้าให้หาทีละจุดก็เปลืองแรงจริงๆ

ผ่านไปไม่นาน ตรงด้านข้างก้นทะเลสาบหินหนืดรูปกรวยที่ลึกลงไปหมื่นจั้ง ตาทิพย์ก็หยุดอยู่ที่โพรงถ้ำโพรงหนึ่งบนผนังหิน เหมียวอี้รีบดำลงไป มุ่งตรงสู่โพรงนั้น

พอมาถึงโพรง เขาก็รีบเข้าไปอย่างรวดเร็ว เข้าไปในช่องทางที่ถูกหินหนืดเทกรอก เขาครึ่งเฉียงไปด้านบน

เดินไปตามช่องทางหินหนืดได้พันจั้ง เขาถึงได้หนีพ้นหินหนืด จากนั้นเหยียบไปบนช่องว่างของทางเดินที่มีหมอกควันลอยวนเวียน หมอกควันยังคงมีที่มาจากหินหนืด แต่เหมียวอี้กลับรู้สึกได้ถึงคลื่นที่ฉุดดึงกระแสอากาศ แต่ดูจากช่องทางนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ อย่าบอกนะว่าผู้ซ่อนสมบัติขุดเส้นทางเชื่อมไปถึงพื้นดินโดยตรง?

เหมียวอี้รีบเดินไปข้างหน้า เส้นทางในตอนนี้ไม่ลาดเอียงขึ้นไปอีกแล้ว แต่เป็นทางตรงไปข้างหน้า เมื่อเดินไปได้สิบลี้กว่า ก็ออกจากโพรงถ้ำมาดู เหมียวอี้รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าปลายทางจะเป็นแม่น้ำใต้ดินที่อยู่ลึกลงไป ไม่ใช่ห้องหินเหมือนอย่างที่เคยผ่านมา

ตั้งแต่ค้นหาสมบัติมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นว่าผู้ซ่อนสมบัติขุดทางใต้ดินระยะไกลขนาดมาก ถ้ายาวเฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่แม่น้ำใต้ดินตรงหน้าโผล่มาจากไหนอีกล่ะ เขาลองคาดคะเนดูนิดหน่อยก็ได้คำตอบแล้ว ว่าแม่น้ำใต้ดินสายนี้อยู่ในตำแหน่งที่ลึกลงไปใต้ดินอย่างน้อยเก้าพันจั้ง ต่อให้เป็นคนที่วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ก็อาจไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบเจอตำแหน่งที่ลึกขนาดนี้ได้ เป็นเพราะอุปสรรคหนาแน่นเกินไปหน่อย

พอเดินออกมาจากโพรงถ้ำ เขาก็มองซ้ายมองขวา พบว่าแม่น้ำที่ไหลจากปากถ้ำไหลจากด้านซ้ายไปด้านขวา ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสิ้นสุดตรงไหน รอบด้านไม่มีเค้าส่อให้เห็นว่าจะมีห้องหินอยู่เลย ตอนที่ผ่านช่องทางนั้นมา อย่าบอกนะว่าตัวเองมองข้ามห้องหินที่ซ่อนตัวอยู่ไปแล้ว? ตามหลักการแล้วไม่น่าจะใช่สิ ระหว่างทางตัวเองมองดูอย่างละเอียดแล้ว แล้วอีกอย่าง ผู้ซ่อนสมบัติก็คงไม่ว่างขนาดนั้นหรอกมั้ง หลังจากขุดจุดซ่อนสมบัติออกมาแล้ว จะยังขุดเล่นต่อไปข้างหน้าอีกเหรอ?

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset