พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1639 อำนาจการตัดสินใจด้วยตัวเอง

ถังเฮ่อเหนียนตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้กล่าวอะไรเช่นนี้ออกมา ย้ายสายตาจากบนหน้าเหมียวอี้ไปที่หน้าโค่วหลิงซวี อยากจะดูปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวี

ด้านนอกตำหนัก โค่วเจิงกลับมาจากการไปส่งขบวนเดินทางของพระโพธิสัตว์หลันเย่ ตอนที่มาถึงประตูก็ได้ยินคำพูดตอนท้ายของเหมียวอี้เช่นกัน เขาเดินเข้ามายื่นอยู่อีกข้างในตำหนักอย่างเงียบๆ กำลังสังเกตปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวี

บนใบหน้าโค่วหลิงซวีไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เพียงจ้องมองเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าเตรียมจะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบยังไง?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำ โดยเฉพาะการรอให้พวกเขามาหาเรื่องข้า ไม่สู้ให้ข้าไปหาเรื่องพวกเขาก่อนดีกว่า ลงมือกับฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผี กดดันให้พวกเขาอึดอัดทุกข์ใจ กดดันจนพวกเขาร่วมแรงกัน ถึงจะกดดันให้ฝ่าบาทตอบตกลงที่จะปล่อยข้าออกจากตลาดผี แบบนั้นข้าถึงจะกลับมาทำงานรับใช้ที่ทัพเหนือให้ท่านพ่อบุญธรรมได้!”

โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนสบตากันอย่างรู้สึกผิดคาดอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากงัดข้อกับตระกูลอื่นโดยตรง

โค่วเจิงชำเลืองมองเหมียวอี้พลางแอบเดาะลิ้น คิดในใจว่าช่างกล้า คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ!

ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้ว “ท่านเขย เรื่องนี้เวลาพูดน่ะพูดง่าย ขนาดตระกูลเรายังไม่ค่อยรู้เรื่องฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผีเลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผีเจอหรือไม่ ลำพังแค่ความเสี่ยงที่อยู่ในนั้น ท่านเคยคิดบ้างรึเปล่า ถ้ากดดันจนพวกเขาจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพง แล้วลงมือสังหารท่านโดยตรง เกรงว่าต่อให้เป็นตึกศาลาสัตยพรตก็ปกป้องท่านลำบากมาก”

เหมียวอี้อธิบายอย่างใจเย็น “ท่านอาถัง ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วพวกเขาจะปล่อยข้าไปเชียวเหรอ? ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ ก็แสดงว่าไม่มีอันตรายใช่มั้ย? ฝ่าบาทไม่ความคิดยังไง ท่านพ่อบุญธรรมกับท่านอาถังก็รู้แจ่มชัดกว่าข้า ตราบใดที่ข้าไม่ทรยศท่านพ่อบุญธรรม ก็เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะปล่อยข้าออกจากตลาดผี จะกดดันให้ข้าอยู่ในสถานที่อันตรายตลอด และถ้าข้าทรยศท่านพ่อบุญธรรมเมื่อไร ก็จะต้องแบกรับคำครหาว่าคนทรยศอกตัญญู ไร้ศีลธรรมจรรยาไปตลอดชีวิต ท่านอาถังข้าไม่มีทางให้ถอยแล้ว จะเป็นเป้านิ่งรอให้พวกเขาลงมือกับข้าไม่ได้!”

ถังเฮ่อเหนียนมอบโค่วหลิงซวีที่เงียบไปแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ “ท่านเขย ข่าวเข้าใจความกังวลของท่าน แต่ในบ้านมีงานมากมาย ต้องเกี่ยวข้องกับหลายด้านมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะให้บุคลากรสำคัญวนรอบตลาดผีอยู่ตลอด หวังว่าท่านจะเข้าใจ”

เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านอาถัง ข้าเองก็ไม่อยากก่อเรื่องหรอก แต่ต่อให้ต้นไม้อยากจะอยู่นิ่งๆ แต่ลมกลับพัดไม่หยุด! เริ่มตั้งแต่ตอนที่ข้าบริหารร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์ สถานการณ์ของข้าก็ไม่เคยปลอดภัยอย่างแท้จริงเลย ข้าเดินผ่านมาโดยมีอันตรายแฝงอยู่รอบตัวตลอด แต่ข้าไม่กลัวหรอก ข้าชินมาตั้งนานแล้ว ข้าก็เลยกล้าล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ กล้านำกำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง อนาคตดีๆ ที่ได้มาไม่ใช่เพราะอดทน แต่เป็นเพราะต่อสู้มาทั้งนั้น! ส่วนเรื่องกำลังคน…ท่านอาถัง ข้าคุมตลาดสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ เพื่อที่จะปกป้องตัวเองจากอันตรายรอบตัว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่เตรียมคนไว้เลย ตอนที่ในมือข้ากุมอำนาจการซื้อขายของร้านค้าจำนวนมากเอาไว้ ข้าก็ต้องคบหาสหายไว้บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ และลูกน้องคนสนิทของข้าก็ถูกผลักดันให้ขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์หลายแห่งทั้งแบบโจ่งแจ้งและแบบลับ ข้าควบคุมช่องทางทรัพยากรได้จำนวนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงคบหาสหายไว้หลายวงการ ข้ามั่นใจว่าข้าหาคนมาช่วยได้แน่นอน ขนาดในปีนั้นที่ข้าไม่มีที่พึ่งพา ข้ายังไม่กลัวเลย ตอนนี้มีตระกูลสนับสนุนแล้ว ข้าก็ยิ่งไม่กลัว!”

ในดวงตาถังเฮ่อเหนียนฉายแววตกตะลึง ที่แท้เจ้าหนุ่มนี่ก็ขยายอำนาจตัวเองตั้งแต่ตอนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว

โค่วเจิงก็ทำสายตาตกตะลึงเช่นกัน

โค่วหลิงซวีหลับตาเล็กน้อย พร้อมถามเสียงเรียบ “บอกรายละเอียดมา เจ้าเตรียมจะลงมือยังไง?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าถูกดดันให้หดหัวอยู่ในจวนแม่ทัพภาคมาตลอด ไม่รู้สถานการณ์เกี่ยวกับฐานลับของแต่ละตระกูลในตลาดผีเลย ถ้าจะให้บอกรายะละเอียดตอนนี้ก็ถือว่าเร็วไปหน่อย เรื่องวางแผนให้รอบคอบและมองการณ์ไกลน่ะข้าทำไม่ไหวหรอก ข้าชินกับการพลิกแพลงตามสถานการณ์มากกว่า ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านพ่อบุญธรรมให้อำนาจตัดสินใจกับข้าในระดับหนึ่ง”

โค่วหลิงซวีหลุบตาต่ำลง แล้วถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา “เจ้ารู้สึกว่าตระกูลโค่วจำกัดอิสระของเจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อบุญธรรมเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่หวังให้ท่านพ่อบุญธรรมให้โอกาสข้าตัดสินเองตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป”

นี่ก็คือข้อเสียของการเข้ามาอยู่ในตระกูลโค่ว ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องขอคำชี้แนะจากตระกูลโค่วก่อนตลอด มีเรื่องมากมายที่เขาไม่สามารถทำเองได้เลย เรียกได้ว่าถูกจำกัดอิสระไว้เข้มงวดมาก หลายวันก่อนหลังจากถังเฮ่อเหนียนพูดคุยกับเขาในเชิงลึกไปครั้งหนึ่ง เขาก็ไตร่ตรองมาเยอะมาก นอกจากนอนกับอวิ๋นจือชิวอย่างเอาเป็นเอาตายทุกวันเพราะห่างกันไปนาน เขาก็ไตร่ตรองเรื่องนี้มาตลอด ไม่ต้องพูดถึงการหลุดพ้นจากตระกูลโค่วโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยเขาก็ต้องคิดหาทางช่วงชิงทางหนีทีไล่ในการถอยหลับบ้างสักนิด ไม่อย่างนั้นการทำแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีการที่ดี

เรื่องที่ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ เขารู้สึกว่าอาจจะมีโอกาสนี้ แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลองดู

โค่วหลิงซวียังไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งนี้ ยังคงกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “เจ้าเป็นคนของตระกูลโค่วแล้ว ที่ให้เจ้ารายงานขึ้นมาทุกเรื่องก็เพราะมีหลายเรื่องที่ดึงขนเส้นเดียวสะท้านทั้งร่างกาย[1] และสถานการณ์เบื้องล่างของเจ้าก็ไม่ชัดเจน ทางนี้สามารถช่วยเจ้าพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวมได้มากขึ้น ทำให้เจ้าเสียเปรียบน้อยลง ทั้งเป็นการหวังดีต่อตระกูลโค่ว และหวังดีต่อเจ้า”

เหมียวอี้จึงกล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้าทราบว่าท่านพ่อบุญธรรมหวังดีกับข้า หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจเหตุผลเช่นกัน ย่อมรู้จักบันยะบันยัง ไม่ได้บอกว่าตัวเองจะตัดสินใจซี้ซั้ว เพียงหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรม ให้โอกาสข้าตัดสินใจเองตามสถานการณ์ที่พบเจอ ไม่ได้แปลว่าจะไม่บอกอะไรกับตระกูลเลย แต่เรื่องบางเรื่องนั้นเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ถ้ามีอำนาจรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการแสดงความสามารถของข้า หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะช่วยให้สมปรารถนา?”

“เจ้าคิดว่าเจ้างัดข้อกับตระกูลพวกนั้นไหวจริงๆ เหรอ?” โค่วหลิงซวีเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ข้าย่อมไม่มศักยภาพนั้น ก็เลยหวังจะได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรม หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะช่วยข้าแก้ไขปัญหาจุกจิกใจในภายหลังให้” เหมียวอี้ตอบ

โค่วหลิงซวีร้องอ๋อ แล้วเดินผ่านข้างกายเหมียวอี้อย่างช้าๆ หลังจากหยุดยืนนิ่งแล้ว ก็เอามือไขว้หลังมองออกไปนอกประตูตำหนัก แล้วพูดกับเขาในขณะที่หันหลังให้ว่า “ปัญหาจุกจิกใจในภายหลังอะไรบ้าง? ลองพูดมาก่อน”

เหมียวอี้ตามไปข้างหลังเขา “ประการแรกคือการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรมในการประชุมราชสำนัก ไม่อย่างนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์โดยรวม หนิวโหย่วเต๋อก็ต้านรับไม่ไหวเลย”

“นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าช่วยได้ก็ย่อมต้องช่วย” โค่วหลิงซวีกล่าว

เหมียวอี้บอกต่อว่า “พวกทหารยศต่ำในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไร้ความหวังที่จะได้เลื่อนขั้น กลายเป็นปลิ้นปล้อนแก่ประสบการณ์ไปหมดแล้ว คาดว่าคงถูกอำนาจแต่ละฝ่ายแทรกซึมเข้ามา ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็เก็บเป็นความลับไม่ได้เลย ข้าหวังว่าจะเปลี่ยนคนชุดใหม่ หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะส่งกำลังคนที่มีฝีมือมาให้ข้าสักชุดหนึ่ง เป็มกลุ่มคนที่เชื่อฟังคำสั่งข้าอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ในที่สุดโค่วหลิงซวีก็ทำสีหน้ามีเมตตากรุณาแล้ว ยังนึกว่าเหมียวอี้ต้องการจะตัดสินใจเองโดยสิ้นเชิง การให้เขาส่งคนทางนี้ไปให้ ก็แปลว่าเหมียวอี้ยังไม่ได้คิดจะปลีกตัวออกจากการควบคุมของตระกูลโค่ว โค่วหลิงซวีจึงหันกลับไปมองถังเฮ่อเหนียน “ผู้เฒ่าถัง เจ้าไปจัดการเรื่องนี้เถอะ”

โค่วเจิงตกใจทันที แต่ถังเฮ่อเหนียนกลับกล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “นายท่าน เกรงว่าเรื่องนี้คงจะจัดการลำบาก ประการแรกคือตลาดผีไม่ได้อยู่ในเขตปกครองของทัพเหนือ แต่อยู่ในการควบคุมของราชินีสวรรค์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการไปตลาดผีนั้นยุ่งยาก ในภายหลังถ้าจะย้ายออกจากตลาดผีก็ยุ่งยากเช่นกัน เกรงว่าจะไม่มีใครอยากไป”

โค่วหลิงซวีบอกว่า “เรื่องทางวังหลังน่ะ ข้าจะให้สนมอวี้ไปคุยกับราชินีสวรรค์ให้ ตอนนี้ราชินีสวรรค์กับลังพบเจอเรื่องมงคล ตระกูลโค่วของข้าออกแรงช่วยเยอะขนาดนี้ เป็นเวลาที่คุยง่ายพอดี ตระกูลเซี่ยโห้วต้องตอบแทนน้ำใจที่ติดหนี้พวกเราเอาไว้ ไม่มีทางมาขัดขวางเรื่องเล็กน้อยในเวลานี้ น่าจะไม่ยากมาก ส่วนเรื่องความกังวลของกำลังพลเบื้องล่าง ถ้าทุ่มเททำงานรับใช้ข้า ข้าจะดูแลพวกเขาไม่ดีเชียวหรือ?”

โค่วเจิงยังคงฟังอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับเข้าใจ ว่าการที่ท่านพ่อพูดแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าตอบรับคำขอของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว

“ขอรับ! บ่าวจะกลับไปแจ้งให้สนมอวี้ทราบเดี๋ยวนี้ เร่งให้สนมอวี้รีบจัดการเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด” ถังเฮ่อเหนียนย่อตัว

โค่วหลิงซวีบอกอีกว่า “ยังมีอะไรอีกก็บอกมาพร้อมกันเลย” ประโยคนี้ย่อมใช้ถามเหมียวอี้อยู่แล้ว

เหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ท่านพ่อบุญธรรม หลังจากได้คนมาแล้ว มอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาทุกคนด้วยได้หรือเปล่า?”

โค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “เดิมทีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีไว้แต่ในนามอยู่แล้ว ไม่มีสิทธิ์ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ข้าส่งคนให้เจ้าได้ แต่ย้ายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของทัพเหนือไปไม่ได้ ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจนี้เช่นกัน เรื่องนี้ไม่มีทางช่วยเจ้าได้”

เดิมทีเหมียวอี้อยากจะถามว่า ถ้าตัวเองจะหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาเองได้หรือไม่ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ได้ถาม จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นขอร้อง “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าอยากจะได้หัวของคนคนหนึ่ง!”

“ว่ามา!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ดูไม่สะทกสะท้าน

“ข้าอยากจะลงดาบแรกที่หัวของอิ๋งหยางก่อน!” เหมียวอี้กล่าว

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนก็รีบหันมามองพร้อมกัน โค่วหลิงซวีก็หันตัวมาเช่นกัน แล้วกล่าวด้วยแววตตาที่วูบไหว “หลายชายของอิ๋งจิ่วกวงเหรอ?”

“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น “อิ๋งหยางวางแผนสังหารข้าที่แดนสุขาวดี ข้าต้องคิดบัญชีนี้กับเขา”

โค่วเจิงอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “น้องเขย อิ๋งหยางจะสั่งคนที่แดนสุขาวดีได้ยังไง ในใจเจ้าน่าจะรู้ชัดนะ เบื้องหลังคือตระกูลอิ๋ง”

“แต่ข้าทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ ทำได้เพียงลงดาบกับอิ๋งหยางก่อน” เหมียวอี้ตอบอย่างซื่อสัตย์มาก

โค่วเจิงกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าช่างซื่อสัตย์จริงๆ หลานชายของตระกูลอิ๋งตายเพราะเจ้าทั้งทางตรงทางอ้อมไปสองคนแล้ว ถ้าเจ้าฆ่าอีกคน จะให้ตระกูลอิ๋งทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง?”

“แต่ก็ไม่เร็วเท่าการให้กำเนิดของพวกเขาหรอก แต่ได้ยินว่าตายไปสองก็เกิดใหม่อีกสอง” เหมียวอี้ตอบอย่างเย็นชา แล้วกล่าวอย่างแน่วแน่อีก “ตระกูลอิ๋งลงมือกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้ากลับทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายยื่นมือมาข้างหนึ่ง ข้าก็ทำได้เพียงตัดทิ้งข้างหนึ่ง! ไม่ใช่แค่คั้รงนี้ ในภายหลังหากตระกูลอิ๋งลงมือกับข้าอีก ข้าก็จะไประบายอารมณ์กับลูกหลานของตระกูลอิ๋ง ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะให้กำเนิดเร็วกว่า หรือข้าจะสังหารทิ้งเร็วกว่า ประการต่อมา ข้าต้องกดดันให้ฐานลับของตระกูลอิ๋งทางตลาดผีมีปฏิกิริยาโต้ตอบ จะได้หาเบาะแสเจอแล้วกำจัดทิ้งสะดวก!”

โค่วเจิงอ้าปากค้าง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นี่เจ้ากำลังล่วงเกินตระกูลอิ๋งแบบถึงตายแล้ว!”

“พี่ใหญ่ ต่อให้ข้าไม่ลงมือ แล้วพวกเขาจะเลิกรางั้นเหรอ พวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ

โค่วเจิงพูดไม่ออก เขามองดูปฏิกิริยาของบิดา แม้แต่ถังเฮ่อเหนียนก็อดไม่ได้ที่จะเกาศีรษะ

โค่วหลิงซวีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ทางนี้ไม่มีทางช่วยเจ้าฆ่าลูกหลานตระกูลอิ๋ง ถ้าเจ้ามีความสามารถเจ้าก็จัดการเอาเอง”

“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าต้องการรู้แค่ความเคลื่อนไหวและทิศทางของเขา” เหมียวอี้กล่าว

“ผู้เฒ่าถัง เจ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าเด็กตระกูลอิ๋งนั่นหน่อยก็แล้วกัน” โค่วหลิงซวีสั่ง

ผู้เฒ่าถังยิ้มเจื่อน “นายท่าน ทางตระกูลอิ๋งแสดงท่าทีแล้ว ว่ายินดีจะปล่อยตำแหน่งหัวหน้าภาคให้สองตำแหน่งกับเรื่องที่แดนสุขาวดี”

โค่วหลิงซวีตอบว่า “ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถ้ามีวิธีการทำให้ตระกูลโค่วไม่รู้ว่าใครทำ นั่นก็เป็นความสามารถของตระกูลอิ๋ง! เป็นฝั่งตระกูลอิ๋งที่ทำผิดธรรมเนียมก่อน เอาแค่ที่เห็นอย่างชัดเจน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ตระกูลอิ๋งลงมือกับโหย่วเต๋อ? ควรจะทำให้ตระกูลอิ๋งได้สติสักหน่อย คืนตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งนั่นไปเถอะ ไปจัดการตามที่โหย่วเต๋อบอก”

“ขอรับ!” ผู้เฒ่าถังยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้าเอ่ยรับ เพียงแต่ไม่รู้ว่าตระกูลอิ๋งจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้เห็นท่าทีของตระกูลโค่ว ไม่รู้ว่าหลานชายคนนั้นของตระกูลอิ๋งจะกลัวหรือเปล่า

…………………………

[1] ดึงขนเส้นเดียวสะท้านทั้งร่างกาย 牵一发而动全身 หมายถึง การเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่ส่งผลกระทบต่อส่วนรวม

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset