พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 957 สุนัขรับใช้ของราชันสวรรค์

บทที่ 957 สุนัขรับใช้ของราชันสวรรค์

พอพูดถึงตรงนี้ มีเรื่องหนึ่งที่หมิงจ้าวไม่ถามไม่ได้ หมิงจ้าวยังพอเข้าใจเรื่องปีศาจโลหิต แต่เรื่องที่สมาคมวีรชนสู้กับเหมียวอี้อย่างโจ่งแจ้ง เขาไม่เข้าใจแล้ว “จากที่ข้ารู้มา สำนักลมปราณมีคนที่เป็นขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ เจ้าอยู่ที่สำนักลมปราณแล้ว ทำไมไม่เข้าร่วมเป็นคนของสำนักลมปราณ แต่เป็นแค่ฆราวาสที่มาเป็นแขก ถ้าเจ้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักลมปราณ สมาคมวีรชนก็ไม่กล้าสู้กับเจ้าอย่างโจ่งแจ้งหรอก”

เรื่องแบบนี้เหมียวอี้ไม่มีทางอธิบายกับหมิงจ้าวได้ อวี้หลิงเจินเหรินมาหาเขาด้วยเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ถ้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักลมปราณ ข้างบนก็ยังมีอาจารย์คอยคุ้มครอง แต่ด้วยคุณธรรมประจำสำนักลมปราณ ไม่ช้าก็เร็วที่เขาจะได้กลายเป็นศิษย์ทรยศ ฐานะศิษย์กับอาจารย์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นั่นคือฐานะที่ต้องเป็นไปตลอดชีวิต ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือกจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ทำได้เพียงพูดเอาตัวรอดไปว่า “ผู้น้อยมีอาจารย์ของตัวเองแล้ว คงไม่ดีที่จะไปพึงพาสำนักอื่นขอรับ”

นี่ก็คือหลักการหนึ่งเหมือนกัน หมิงจ้าวไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ทำได้เพียงกล่าวอำลาผู้อาวุโสมู่เซินอีกครั้ง จากนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนก็คุ้มกันเหมียวอี้พุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกันทันที ออกจากท้องฟ้ามาถึงอวกาศ เหาะออกไปไกลอย่างรวดเร็วราวกับไล่คว้าดวงดาวดวงจันทร์

บนดาวเคราะห์ที่เงียบสงัดดวงหนึ่งที่โคจรตามดาวแมกไม้ นักพรตห้าคนทยอยกันยืนขึ้นและมองหน้ากันเลิกลั่ก ได้แต่มองคนอื่นพาตัวเหมียวอี้ไปโดยไม่กล้าขัดขวาง…

หลังจากมาถึงปราสาทดำเนินนภา เหมียวอี้ก็ตามพวกหมิงจ้าวไปรายงานผลการปฏิบัติงานต่อรองเจ้าสำนักฝูเสี่ยน ไปแสดงความขอบคุณ

แน่นอน หลังจากขอบคุณแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่ลืมเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของตัวเอง กล่าวขอร้องว่า “รองเจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าแผนที่ซ่อนสมบัติที่จงหลีค่วยได้มายังอยู่หรือเปล่า?”

เมื่อกล่าวถามแบบนี้ หมิงจ้าวและคนอื่นๆ ก็มองมาหาเขาทันที ไม่รู้ว่าทำเขาถึงถามแบบนี้

“ยังอยู่!” ฝูเสี่ยนยกมือลูบเคราเบาๆ จ้องมองมาด้วยแววตาเป็นประกาย ถามกลับว่า “หรือว่าฆราวาสยังไม่ยอมแพ้?”

เหมียวอี้ตอบอย่างลังเลว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน เป็นไปได้มั้นว่าพวกเราไปผิดสถานที่ ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล อาจจะมีสถานที่ที่คล้ายคลึงกันก็ได้ ไม่ทราบว่าสำนักของท่านแน่ใจได้อย่างไร ว่าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่กลุ่มดาวคือบริเวณดาวแมกไม้?”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ฝูเสี่ยนยังนึกว่าเขาพบอะไรอย่างอื่น จึงหันมายิ้มให้หมิงจ้าวพร้อมบอกว่า “ศิษย์น้องห้า ข้ายังมีธุระอย่างอื่น เจ้าพาฆราวาสไปพักผ่อนก่อน แล้วถือโอกาสคลายความสงสัยให้ฆราวาสด้วย”

“ขอรับ!” หมิงจ้าวเอ่ยรับคำสั่ง เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ศิษย์พี่เป็นรองเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภา ถ้าให้มาคุยเรื่องนี้กับเหมียวอี้ก็จะเป็นการลดเกียรติไปหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกเหมียวอี้ เพียงแต่ไม่อยากให้มีคนอื่นมาดูถูกปราสาทดำเนินนภา ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็มีฐานะเป็นรองเจ้าสำนัก เป็นหน้าเป็นตาให้กับปราสาทดำเนินนภา

หลักการนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน แต่ก็ยังทำตัวไม่รู้กาลเทศะ

เมื่อออกจากตำหนักคุมงานมาแล้ว หมิงจ้าวก็กำชับให้ศิษย์ระดับล่างจัดหาเรือนพักเดี่ยวให้เหมียวอี้ เห็นแก่ที่ทั้งสองมีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง เขาจึงไม่ได้แสดงความหงุดหงิดใส่เหมียวอี้เท่าไรนัก สำเนาแผนที่ที่เหมือนจะหมดประโยชน์แล้วถูกนำออกมาอีกครั้ง เขาเปิดกางไว้บนโต๊ะ พร้อมอธิบายให้เหมียวอี้ฟังว่า “การไขปริศนาแผนที่นี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก เพียงแต่ตอนแรกพวกเราต่างก็เดินไปผิดที่ ตามหาแผนที่กลุ่มดาวจากทั่วโลกมาเปรียบเทียบกัน จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนั้น ทำเอาพวกเราลำบากแทบแย่ แต่ตอนหลังก็พบว่าแผนที่กลุ่มดาวมีขนาดจำกัด ถึงแม้จะมีขอบเขตให้วาดใหญ่มาก แต่เหมือนจะไม่พอให้วาดดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนพวกนั้น พวกเราถึงได้เข้าใจกระจ่างในทันที ว่าผู้ที่สร้างแผนที่ไม่วาดดาวเคราะห์เล็กน้อยที่ไม่จำเป็นเข้าไปด้วยเลย เป็นแค่แผนที่โดยสังเขป ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพวกเขาไม่ได้วาดอาณาเขตที่ยังไม่ค้นพบลงไปด้วย พอรู้แบบนี้แล้วพวกเราก็ย่อมหาได้ง่ายขึ้น”

หมิงจ้าวชี้ไปบนจุดสีแดงจุดหนึ่ง “หาดวงดาวหลักอย่างพวกดวงอาทิตย์ก่อน แล้วค่อยหาดาวรองที่โคจรอยู่รอบๆ มัน สุดท้ายก็หาดาวเสริมที่โคจรอยู่รอบดาวรองอีกที เทียบจำนวนดาวรองที่อยู่ใกล้ดาวหลัก แล้วเทียบจำนวนดาวเสริมที่อยู่รอบดาวรองอีกที เมื่อมีภาพให้ดูเทียบชัดเจนแบบนี้แล้ว ขอบเขตการค้นหาก็หดเล็กลงหลายเท่าทันที” จากนั้นนิ้วก็ย้ายไปที่ตำแหน่งของดาวแมกไม้ “ดังนั้นพวกเราจึงเจอเป้าหมายเร็วมาก ที่แท้สถานที่ซ่อนสมบัติก็คือดาวแมกไม้ของสถานที่ไร้ระเบียบ! ตอนนี้เจ้าเข้าใจรึยัง?”

“อย่างนี้เองเหรอ! เข้าใจแล้ว…” เหมียวอี้พยักหน้า เขาฟังเข้าใจแล้ว นับว่าได้เพิ่มพูนความรู้มากมาย แต่ก็ยังแอบปาดเหงื่อนิดหน่อย ถึงแม้วิธีการแบบนี้จะเรียบง่ายกว่าการหาจากดวงดาวเต็มท้องฟ้าในจักรวาลอันกว้างใหญ่กลายเท่า แต่ก็ยังยากมากสำหรับเขาอยู่ดี เขาไม่มีอำนาจอะไรที่พิภพใหญ่ ดวงอาทิตย์ในจักรวาลไม่ได้มีน้อยๆ แผนที่ซ่อนสมบัติฉบับนี้กำลังกดดันให้เขาทำความเข้าใจพิภพใหญ่ให้มากขึ้น!

หมิงจ้าวยิ้มบางๆ ถ้าเทียบฐานะและวรยุทธ์ของทั้งสอง เขานับว่าทำดีกับเหมียวอี้มากพอแล้ว จะมัวมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนเหมียวอี้ตลอดไม่ได้ ทั้งสองไม่ได้มีหัวข้อสนทนาที่เหมือนกัน เขาพับเก็บแผนที่บนโต๊ะ พลางบอกว่า “สมาคมวีรชนไม่กล้ามาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่หรอก ปราสาทดำเนินนภาให้ที่อยู่ที่กินกับฆราวาสได้ ฆราวาสอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวล ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกจงหลีค่วย ข้ายังมีธุระอีก”

ด้วยตำแหน่งฐานะของอีกฝ่าย เท่านี้ก็นับว่ารบกวนมากแล้ว เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นไม่เจียมตัวขนาดนั้น กุมหมัดขอบคุณทันที แต่สายตาเหลือบไปเห็นฉากกั้นบานหนึ่งตรงห้องโถงด้านข้าง เขาอึ้งทันที พบว่าภาพที่อยู่บนฉากกั้นค่อนข้างคุ้นตา

หมิงจ้าวหันมองตามเขา แล้วบอกพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “นี่คือแผนที่บริเวณปราสาทดำเนินนภา เอาไว้ให้แขกที่เข้ามาพักดู แขกจะได้เดินเล่นที่นี่แบบมีเป้าหมาย เจ้าดูสิว่ามีที่ไหนอยากไปเดินเล่นบ้าง จะได้ให้จงหลีค่วยไปเป็นเพื่อน”

เหมียวอี้รีบเก็บสายตากลับมาแล้วกุมหมัดคารวะ “ได้โปรดอภัยที่ผู้น้อยหน้าด้านไร้ยางอาย ถ้ายังหาสมบัติที่ซ่อนไว้ไม่พบ ผู้น้อยก็ตัดใจไม่ลง ผู้น้อยจึงยากจะขอให้ผู้อาวุโสทิ้งแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับสำเนาไว้ให้ผู้น้อยศึกษาให้ละเอียดสักหน่อย ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”

หมิงจ้าวลังเลนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกมุม ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ถึงได้หยิบแผนที่ออกมาวางไว้บนโต๊ะ

พอเดินออกประตูมา หมิงจ้าวก็แอบส่ายหน้า เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ เดิมทีปราสาทดำเนินนภารับปากไว้แล้วว่าถ้าเจอสมบัติจะแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง พอหาไม่พบเขาก็ตัดใจไม่ลงเป็นธรรมดา ความรู้สึกที่ยังกอดความหวังเอาไว้ ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจ

เหมียวอี้ออกมาส่งเขาที่ประตูด้วยตัวเอง แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินกลับมาทันที เหมือนมีธุระด่วนอะไร แต่ใครจะไปคาดคิด จงหลีค่วยที่รออยู่ข้างนอกนานแล้ว พอเห็นหมิงจ้าวเดินออกมาก็ถลันตัวเข้ามาขวางเหมียวอี้ทันที “หนิวโหย่วเต๋อ ทำไมเจ้ากลับไปที่ดาวแมกไม้อีกแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าตัดใจไม่ลงเลยกลับไปหาสมบัติอีกรอบหรอกใช่มั้ย?”

เขาเดาไม่ผิดหรอก แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมรับ ยอมบอกเหมือนที่เล่าให้หมิงจ้าวฟังอยู่แล้ว บอกว่าโดนสมาคมวีรชนกดดันให้กลับไป

“สงสัยสมาคมวีรชนจะลงมือแล้วจริงๆ!” จงหลีค่วยเอามือลูบหนวดพลางขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้าเกิดปัญหาใหญ่แล้วล่ะ ถ้าสมาคมวีรชนได้ลงมือ ถ้าทำไม่สำเร็จก็เกรงว่าจะไม่วางมือ สมาคมนี้มีอำนาจมาก เหมือนปลาและมังกรอยู่รวมกัน คนจากสามลัทธิเก้านิกายในแดนฝึกตนล้วนมีหมด เกรงว่าจะเป็นการรวมกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในแดนฝึกตน ยังดีที่เป็นการรวมกลุ่มแบบหละหลวม ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่ปราสาทดำเนินนภาของพวกเราเลย ต่อให้เป็นตำหนักสวรรค์ก็ต้องหวั่นเกรงสามส่วน”

พูดจนเหมียวอี้กลุ้มใจเลย! ได้แต่ยิ้มขื่นขมไม่หยุด “ตำหนักสวรรค์ปล่อยให้มีการรวมกลุ่มแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมาจริงๆ ไม่กลัวว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อตำหนักสวรรค์เหรอ?”

จงหลีค่วยเอาสองมือไขว้หลัง เดินมาข้างๆ แล้วก้มตัวดมดอกไม้ที่กำลังบานได้ที่ ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “นอกเสียจากตระกูลหวงฝู่จะโดนน้ำเข้าสมองเท่านั้นแหละ ถึงจะทำอย่างนั้น ถ้าเจ้าเก่งนักก็ลองให้พวกเขาร่วมมือกันดูสิ เกรงว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนไหวไปถึงไหน ตำหนักสวรรค์ที่รู้ข่าวก็ส่งทหารสวรรค์มาถอนรากถอนโคนตระกูลหวงฝู่แล้ว ฆ่าสุนัขรับใช้ไม่ให้เหลือสักตัว!”

เหมียวอี้กะพริบตา เดินมาอยู่ข้างกายเขาและถามอย่างสงสัย “ลุงหนวด ท่านหมายความว่า ในสมาคมวีรชนมีสายลับของตำหนักสวรรค์เหรอ?”

จงหลีค่วยตอบกลั้วหัวเราะว่า “ยังต้องพูดอีกเหรอ? คนจากร้อยพ่อพันแม่มารวมกลุ่มใหญ่ขนาดนั้น สมาชิกเยอะและมีที่มาซับซ้อน ตำหนักสวรรค์ไม่แทรกคนเข้ามาก็แปลกแล้ว เกรงว่าตระกูลหวงฝู่เองก็ยังไม่กล้าฟันธงด้วยซ้ำว่าใครบ้างที่เป็นคนของตำหนักสวรรค์ ต่อให้รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ไม่กล้าตรวจสอบ ถ้ากำจัดสายลับของตำหนักสวรรค์ออกจากสมาคมวีรชน เจ้าคิดว่าตำหนักสวรรค์ยังจะปล่อยพวกเขาไว้อีกเหรอ? ว่ากันตามจริงนะ ถ้ามองจากอีกด้านหนึ่ง สมาคมวีรชนก็เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์เหมือนกัน พิภพใหญ่ขนาดนี้ อาศัยทหารสวรรค์อย่างเดียวก็ควบคุมไม่ไหว ตำหนักสวรรค์จำเป็นต้องมีกลุ่มที่สามารถยื่นมือเข้าไปถึงซอกมุมต่างๆ ที่ตำหนักสวรรค์เข้าไม่ถึงอย่างสมาคมวีรชนเอาไว้ ที่จริงตระกูลหวงฝู่ก็เป็นสุนัขรับใช้ลับๆ ของราชันสวรรค์ ถ้าไม่มีตำหนักสวรรค์ให้ท้าย ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่สมาคมวีรชนจะขยายอำนาจได้ใหญ่โตขนาดนี้ สรุปก็คือตำหนักสวรรค์จะทำเรื่องที่โจ่งแจ้งเปิดเผย ส่วนเรื่องชั่วช้าน่าอับอาย ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของสุนัขรับใช้ที่ชั่วช้าน่าอับอายอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ เหมียวอี้ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง มิน่าล่ะเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานที่ดูเหมือนมีภูมิหลังใหญ่โต ถึงแม้ทั้งคู่จะชอบหวงฝู่จวินโหรวมาก แต่กลับไม่มีใครกล้าใช้ไม้แข็งกับหวงฝู่จวินโหรว ที่แท้ก็เกรงกลัวราชันสวรรค์ที่หนุนหลังตระกูลหวงฝู่นี่เอง!

ได้ยินจงหลีค่วยบอกอีกว่า “เจ้ารู้จักผู้หญิงคนหนึ่งของตระกูลหวงฝู่ไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าไม่เคยได้ยินนางพูดถึงกฎข้อหนึ่งของตระกูลหวงฝู่ ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ไม่เคยแต่งงานออก มีเพียงให้ผู้ชายแต่งงานเข้าบ้านเท่านั้น”

“เคยได้ยินมาบ้าง อย่าบอกนะว่ามีเรื่องราวเบื้องลึกอะไร?” เหมียวอี้พยักหน้าถาม

จงหลีค่วยเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “พูดไปเยอะขนาดนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ตระกูลหวงฝู่ก็คือสุนัขรับใช้ของราชันสวรรค์ ถ้าราชันสวรรค์ไม่อนุญาต ใครจะกล้าแก้เชือกที่คอตัวเองแล้วหนีไปล่ะ? ถ้าความลับน่าอับอายที่ราชันสวรรค์แอบสั่งให้พวกเขาไปทำเกิดรั่วไหลขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนใจลอย กระจ่างแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหวงฝู่จวินโหรวนอนกับเขาแต่ไม่ยอมแต่งงานกับเขา ต้องให้เขาแต่งงานเข้าตระกูลนางเท่านั้น ที่แท้หวงฝู่จวินโหรวก็ตัดสินใจเองไม่ได้เหมือนกัน!

เมื่อได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ในเมื่อสมาคมวีรชนมีอำนาจมากขนาดนี้ ทำไมปราสาทดำเนินนภาของพวกท่านยังกล้าปกป้องข้าอีกล่ะ ไม่กลัวฝั่งราชันสวรรค์เหรอ?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรพูด” จงหลีค่วยตอบ

“แล้วท่านรู้เบื้องลึกของราชันสวรรค์กับสมาคมวีรชนได้อย่างไร?” เหมียวอี้มองสำรวจเขาแวบหนึ่ง “ท่านรู้เรื่องพวกนี้ตั้งนานแล้วเหรอ? ทำไมไม่เห็นท่านเตือนข้าล่วงหน้าเลย? ทำไมต้องรอให้ข้าก่อเรื่องใหญ่โตแล้วค่อยมาเตือน!”

จงหลีค่วยเงียบไป และสุดท้ายก็อธิบายอย่างลำบากใจ “หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ข้าก็ยังไม่รู้หรอก ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์เพิ่งบอกข้า ให้ข้ามาบอกเจ้าต่อ ให้ข้ามาแนะนำเจ้าสักหน่อย ว่าหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง เจ้ารักษาไว้ไม่ได้หรอก! ถึงแม้ปราสาทดำเนินนภาจะไม่กลัวสมาคมวีรชน แต่อาจารย์ข้าที่เป็นรองเจ้าสำนักก็ต้องพิจารณาเพื่อส่วนรวมของปราสาทดำเนินนภา ปกป้องเจ้าได้แต่ชั่วคราวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับสมาคมวีรชนเพื่อเจ้าไปตลอด ถึงอย่างไรสมาคมวีรชนก็ไว้หน้าปราสาทดำเนินนภาเต็มที่แล้ว แค่นี้ก็ถ่อมตัวไม่กล้าล่วงเกินมากพอแล้ว ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าจะให้พวกเขาคุกเข่าอีกก็คงเป็นไปไม่ได้ เจ้าต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ!”

คำพูดนี้ชัดเจนมากแล้ว เหมียวอี้เองก็ฟังเข้าใจ ปราสาทดำเนินนภาก็มีจุดที่ลำบากเหมือนกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับจงหลีค่วย แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับปราสาทดำเนินนภา แค่ส่งยอดฝีมือบงกชรุ้งสามคนไปคุ้มกันเขากลับมาก็นับว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ปราสาทดำเนินนภาจะสู้กันเอาเป็นเอาตายกับสมาคมวีรชนโดยไม่สนใจชีวิตของลูกศิษย์ในสำนัก

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset