พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 888

หนึ่งเดียวไม่มีสอง

หลังจากออกจากห้องอาบน้ำ เมื่อมองดูสีของท้องฟ้า อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “ฟ้าสว่างแล้ว ไม่ต้องนอนแล้วล่ะ แต่งตัวสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะไปทดลองใช้เครื่องมือชุดนั้น”

ก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง ก็ถือโอกาสเรียกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาแต่งตัวให้ แต่เรื่องจัดแต่งทรงผมให้เหมียวอี้ กลับไม่ได้ยืมมือของพวกนางสองคน อวิ๋นจือชิวดึงเหมียวอี้มานั่งลงตรงหน้ากระโต๊ะเครื่องแป้งด้วยตัวเอง ผมนางยังยาวปร่าบ่าลงมา แต่กลับช่วยจัดแต่งทรงผมให้เหมียวอี้อย่างเอาใจใส่ อากัปกิริยาสงบเยือกเย็น บนใบหน้ามีระลอกคลื่นแห่งความสุข

การที่สตรีผู้วางมาดเถ้าแก่เนี้ยมาตลอดสามารถใช้มาดของหญิงผู้ต่ำต้อยมาปรนนิบัติตนได้ เหมียวอี้เสพสุขกับสิ่งนี้มาก ถึงแม้จะปรนนิบัติได้ไม่คล่องมือเท่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ แต่ความพึงพอใจแบบนี้เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากตัวของเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่เก็บที่นอนอดไม่ได้ที่จะสบตากันแวบหนึ่ง บนเตียงที่ยับเยินไร้ระเบียบได้พิสูจน์ถึงความบ้าระห่ำของกิจกรรมเมื่อคืนแล้ว ในฐานะคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ก็ย่อมรู้ว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองหน้าแดงเล็กน้อย รีบม้วนผ้าปูออกมา ถ้าไม่ซักให้สะอาดก็คงใช่ต่อไม่ได้

อวิ๋นจือชิวที่เหลือบมองผ่านกระจกแวบหนึ่งหัวเราะคิกคัก “พวกเจ้าสองคนจะเขินอายอะไรกันนักหนา? อย่าบอกนะว่าไม่เคยมีประสบการณ์ ข้าจะอนุญาตให้นายท่านผ่อนคลายสามวัน ในสามวันนี้ถ้านายท่านอยากจะให้พวกเจ้าปรนนบัติ ข้าก็จะไม่ว่าอะไร หนิวเอ้อร์ เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ!”

หญิงรับใช้ทั้งสองหน้าแดงก่ำทันที ก้มหน้าก้มตาจัดเก็บที่นอนของตัวเองต่อไป

เหมียวอี้แสร้งทำสีหน้าจริงจัง แต่สายตากลับชำเลืองมองสองสาวผ่านกระจกหลายครั้ง ในใจรุ่มร้อนทันที สามวันเหรอ! จะปล่อยทิ้งให้เสียเปล่าไม่ได้…

เมื่อช่วยจัดแต่งทรงผมให้เขาเสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีก ครั้งนี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาจัดแต่งทรงผมให้นาง แต่งหน้ทาปากย่อมไม่ต้องพูดถึง หวีเกล้ามวยผมขึ้นอย่างเรียบร้อย วางมงกุฎหงส์ลงบนศีรษะ แล้วปักปิ่นให้ไว้ให้มั่นคง จากนั้นก็สวมชุดคลุมยาวที่ดูมีพลังอำนาจ เผยความน่าเกรงขามของมารดาแห่งใต้หล้าอย่างไม่ต้องสงสัย

เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังยืนดูอยู่ข้างๆ รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย รู้สึกว่าอาศัยพลังอำนาจแค่นี้ก็ข่มตนได้แล้ว จึงพูดอย่างไม่สบายใจว่า “ทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ด้วย ไม่เหนื่อยเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวมองดูผู้ชายในกระจกพลางยิ้มบางๆ “เครื่องแต่งกายพวกนี้ มู่ฝานจวินประทานให้ข้าทั้งนั้น ตอนที่เจ้าไม่อยู่ ในฐานะที่ข้าเป็นฮูหยินของประมุขปราสาท จึงออกคำสั่งต่อกำลังพลของปราสาทดำเนินสุริยันได้ไม่สะดวกราบรื่น มีหนังเสือที่มู่ฝานจวินประทานให้แบบนี้ก็ดูเข้าท่าเหมือนกัน ใส่แล้วมีข้อดี แบบนี้ ทำไมข้าจะใส่ไม่ได้ล่ะ?”

“นางจะประทานเสื้อผ้าพวกนี้ให้เจ้าทำไม?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม

“ขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงอย่างไรทุกครั้งที่ไปแดนโพ้นสวรรค์ นางก็จะคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวทุกรอบ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็จะชี้สั่งให้ข้าไปหวีผมให้ตลอด คงมีความคิดลำพองใจว่าแม้แต่หลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังต้องปรนนบัตินางกระมัง อาจจะอยากฉวยโอกาสกู้หน้ากลับมาสักนิดสักหน่อย แต่ทุกครั้งหลังจากทำแบบนั้น นางก็จะประทานเครื่องแต่งกายพวกนี้ให้ข้าเสมอ ล้วนเป็นของที่คุณภาพดีที่สุด ไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าอย่างขาดความยุติธรรม” อวิ๋นจือชิวตอบ

“เป็นบ้าละมั้ง! ในอนาคตถ้ามีโอกาส ข้าจะจับนางมาหวีผมให้เจ้าบ้าง” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่พอใจ

อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วหัวเราะคิกคัก “ดี! ข้าจะรอให้วันนั้นมาถึง!” นางเหลือบตาขึ้นมองผู้ชายที่อยู่ในกระจก “แต่ว่าหนิวเอ้อร์ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้า น้องสาวเจ้าคนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่? ทุกครั้งที่ข้าไปแดนโพ้นสวรรค์ นอกจากจะไม่เรียกข้าว่าพี่สะใภ้ ยังเอาแต่อารมณ์เสียใส่ข้าโดยไร้เหตุผล ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงโดนข้าตบไปแล้ว ข้าเองก็ไม่เคยทำอะไรให้นางเคืองใจ มีสิทธิ์อะไรมาทำกับข้าแบบนี้?”

“เอ่อคือ…” เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออกพูดไม่ออก ในใจพอจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่กลับไม่มีทางพูดออกมาได้ เพียงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “เจ้าอย่าไปถือสาคนไม่รู้ประสาอย่างนางเลย เจ้ารองกับเจ้าสามลำบากกับข้ามาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของพวกเขารับเลี้ยงข้าไว้ ข้าคงไม่มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ เจ้าช่วยทนเอาหน่อยเพื่อเห็นแก่หน้าข้า”

“ทน? ก็เพราะเห็นแก่หน้าเจ้านี่แหละ ข้าถึงทนมาตลอด หนิวเอ้อร์ ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนเลยนะ ถ้านางทำเกินไปเมื่อไร ข้าก็ต้องวางมาดน่าเกรงขามของ ‘พี่สะใภ้ใหญ่เสมือนมารดา’ บ้างสักหน่อยเหมือนกัน!” อวิ๋นจือชิวกล่าวเตือน

“เฮ้อ! เดี๋ยวครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้เจอนาง ข้าจะต้องตำหนินางสักหน่อยแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างจนใจมาก

หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย อวิ๋นจือชิวก็เดินลากชายกระโปรงออกไปนอกตำหนักพร้อมกับเหมียวอี้ ตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว

ตอนที่ทั้งสองเดินเคียงคู่กันขึ้นดาดฟ้าสังเกตการณ์ เหมียวอี้ก็แอบมองนางหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวองอาจผึ่งผาย ตัวเองยืนอยู่ข้างกายแล้วทำไมรู้สึกเหมือนขับให้นางเด่นขึ้น เสียงพึมพำในใจเหล่านี้ มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ ถึงอย่างไรก็คงไม่ดีที่จะพูดออกไป ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ เขาจะต้องได้ส้นเท้ากลับมาแน่นอน

ทั้งสองยืนสูงโดดเด่นอยู่บนดาดฟ้าสังเกตการณ์ ก้มมองสิ่งปลูกสร้างตรงแนวเทือกเขารอบๆ ของทั้งปราสาทดำเนินสุริยัน เมื่อเลือกขอบเขตในการวางค่ายกลได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็สะบัดมือยิงลำแสงสีแดงออกมาสิบสาย แบ่งปักไปบริเวณรอบๆ ตำหนักหลัง เจาะทะลวงเข้าไปใต้ดินโดยตรง

ธงอิทธิฤทธิ์สามอันตกอยู่ในมือของอวิ๋นจือชิว เมื่อโบกธงอันหนึ่ง ค่ายกลแปดทิศก็เริ่มทำงาน แท่นดูดาวโคลงเคลงทันที ทั้งตำหนักหลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย มีเสียงดันครั่นครืนอยู่พักหนึ่ง ราวกับมีมังกรขยับพลิกตัวอยู่ใต้ดิน

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ตอนวางค่ายกลด้วยยาเจี๋ยตันขั้นห้า มีการเคลื่อนไหวรุนแรงกว่าใช้ยาเจี๋ยตันขั้นสามเยอะมาก

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้คนใต้ตำหนักตระหนกและมองมาพร้อมกันทันที สะเทือนจนคนในตึกรามบ้านช่องตรงแนวเขารอบๆ มองมาเช่นกัน มีบางคนถึงขั้นเหาะขึ้นฟ้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรกันแน่ รวมทั้งพวกหยางชิ่งด้วย

“ถอยไปให้หมด! ใครเข้ามาสอดแนมโดยพลการ ประหาร!” เสียงเตือนที่เย็นเยียบของอวิ๋นจือชิวดังก้องไปทั่วบริเวณ

เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง คนที่เหาะเข้ามาดูแยกย้ายกันไปทันที ทุกคนหดหัวกลับเข้าไปแล้ว

สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เหาะขึ้นฟ้าพร้อมกัน ปรากฏว่าพอเหาะสูงถึงระดับร้อยเมตร ก็โดนพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งผนึกไว้ทันที ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ฝ่าออกไปไม่ได้ อวิ๋นจือชิวถึงขั้นใช้วรยุทธ์ทั้งหมดฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ค่ายกลสะเทือนเลยแม้แต่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าพลังอันแข็งแกร่งของฝ่ามือจะถูกการไหลเชี่ยวของพลังประหลาดพิศวงกลุ่มนี้ดูดกลืนไป

ทั้งสองเหยียบลงพื้นพร้อมกัน อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจมาก “พอจะมีหนทางจริงๆ ด้วย”

“เจ้าคิดว่าของที่สามีหามาเพื่อปกป้องเจ้าจะเป็นของกระจอกๆ รึไงล่ะ?” เหมียวอี้พูดหยอกล้อ แล้วทำท่าจะจูงมือนาง

ปรากฏว่าโดนอวิ๋นจือชิวโบกมือห้าม แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าขอเตือนเจ้านะ เมื่ออยู่กันสองคนเจ้าจะรังแกข้าอย่างไรก็ได้ ต่อไปนี้ยามอยู่ท่ามกลางสายตาประชาชี เจ้าต้องทำตัวเรียบร้อยซื่อสัตย์หน่อย ระมัดระวังฐานะของตัวเอง มีลูกชายมากมายมองอยู่นะ!”

ตอนนี้เขาไม่รู้จักฐานะของตัวเองงั้นเหรอ? เหมียวอี้หันมามองผู้หญิงคนนี้ พบว่าเมื่ออยู่ข้างนอกก็เปลี่ยนเป็นคนละคนจริงๆ ด้วย ภูมิฐานสง่าผ่าเผย ต่างกับผู้หญิงปากร้ายก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน ทำให้เขาพูดไม่ออกมาก

หลังจากทั้งสองเดินลงจากดาดฟ้าสังเกตการณ์ ก็เดินมาที่หน้าประตูใหญ่ของตำหนักหลังอีก

บัณฑิตที่นอนหลับตาถือหนังสืออยู่บนเก้าอี้พลันลืมตา แล้วรีบยืนขึ้นกุมหมัดคาระว่า “นายท่าน ฮูหยิน”

อวิ๋นจือชิวนำธงอิทธิฤทธิ์อันหนึ่งมอบให้ แล้วสอนวิธีใช้งานให้บัณฑิต ต่อไปนี้ประตูนี้ก็คือประตูที่มีชีวิต โดยมีบัณฑิตเป็นคนเฝ้า หากไม่ใช่คนที่ได้รับอนุญาต และบัณฑิตไม่เปิดทางเข้าออก คนนอกก็เข้ามาไม่ได้ คนในก็ออกไม่ได้เช่นกัน ค่ายกลแปดทิศเรียกได้ว่าพิทักษ์ทั้งตำหนักหลังได้อย่างเต็มที่แล้ว

“ไปเรียกพวกพ่อครัวมา พวกเจ้าสี่คนมาหาข้าสักเที่ยว” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งท้าย แล้วเดินกลับไปพร้อมกับเหมียวอี้

ผ่านไปไม่นาน พวกพ่อครัวทั้งสี่ก็มาอยู่ในตำหนักหลังแล้ว อวิ๋นจือชิวนั่งสง่าอยู่ตรงหัวโต๊ะต่อไป แต่เหมียวอี้กลับยืนขึ้น นำแหวนเก็บสมบัติสี่วงมามอบให้ทั้งสี่ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในปีนั้นที่ข้าฝากฝังให้พวกเจ้าปกป้องเถ้าแก่เนี้ย ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าหลังจากเรื่องราวเรียบร้อยจะขอบคุณอย่างดี ก่อนหน้านี้ติดธุระกลับมาไม่ได้ ให้รางวัลขอบคุณพวกนี้ช้าไปหน่อย วันนี้นับว่าทำตามสัญญาแล้ว!”

ของอะไร? พอทั้งสี่ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูของในแหวนเก็บสมบัติ ก็พากันตะลึงงันทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นยาแก่นเซียน พอร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองอย่างหยาบๆ เพื่อนับจำนวน ก็เกรงว่าจะมีเกือบล้านเม็ด! ทั้งสี่สูดหายใจอย่างตกตะลึง แล้วมองไปที่อวิ๋นจือชิวพร้อมกันโดยจิตใต้สำนึก ช่างไม้เอ่ยถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย ตบรางวัลหนักไปหน่อบรึเปล่า?”

เมื่อไม่มีคนนอก พวกเขาก็กลับมาเรียกขานด้วยสรรพนามเดิม นี่คือสิ่งที่อวิ๋นจือชิวอนุญาต ชัดเจนว่าไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นคนนอก

“บนตัวหนิวเอ้อร์ก็มีอยู่ไม่เยอะเช่นกัน ล้วนเป็นสิ่งที่เขาทุ่มกำลังความคิดและเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อแลกมา ข้าเองก็เคยเกลี้ยล่อมให้เขาเก็บไว้ใช้เอง…ไม่ปิดบังพวกเจ้าหรอกนะ เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุระดับบงชทอง มันมีประโยชน์ให้เขาใช้งานจริงๆ แต่เขาแน่วแน่ที่จะรักษาสัญญา ในเมื่อเป็นน้ำใจของเขา ทั้งยังมอบให้พวกเจ้าสี่คนด้วย ไม่ถือว่าเป็นคนนอก ข้าก็เลยไม่ว่าอะไร พวกเจ้าเก็บไว้เถอะ ระหว่างพวกเราไม่ต้องมาพูดจาเกรงใจกันหรอก ก็อย่างที่ข้าเคยบอก ตราบใดที่พวกเราสองสามีภรรยามีข้าวกิน ก็จะไม่ปฏิบัติกับพวกเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน เก็บไปไว้เถอะ!” อวิ๋นจือชิวกล่าว

ทั้งสี่หัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าทะเล้น พ่อครัวถือแหวนเก็บสมบัติโบกไปมาตรงหน้าเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ งั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”

พออวิ๋นจือชิวโบกมือ พวกเขาทั้งสี่ก็เดินออกไปอย่างหน้าชื่นตาบาน เหมียวอี้กางแขนสองข้างบิดขี้เกียจ แล้วบอกว่า “ฮูหยิน ข้าไม่ได้กลับมานานแล้ว จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย จะไปหาพวกเยารั่วเซียนด้วย”

“เป็นอะไรไป? อยู่ข้างๆ ข้าไม่ไหวแล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองแวบหนึ่ง

“ข้าว่านะเถ้าแก่เนี้ย เจ้าเลิกวางมาดนี้สักหน่อยได้มั้ย?” น้ำเสียงเหมียวอี้เจือด้วยความไม่พอใจ

“งั้นเจ้าไปต้องไปหาเยารั่วเซียนแล้ว พวกเขากำลังหลอมสร้างของวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่ง กำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญแล้ว ไม่อนุญาตให้ใครรบกวน”

“หลอมสร้างของวิเศษอะไร?”

“ของวิเศษที่จะเอาไปล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตร! เพื่อสิ่งนี้ ข้าทุ่มเททรัพยากรไปไม่น้อยเลย”

“อ้อ!” เหมียวอี้ลูบคาง อยากจะสัมผัสสักหน่อยว่าเยารั่วเซียนทำของวิเศษอะไรเพื่อล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตร

อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “เขียนหนังสือสอบถามกิจวัตรส่งไปให้แต่ละตำหนักเถอะ”

“เรื่องนี้เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย!” เหมียวอี้โบกมือแล้วทำท่าจะเดินออกไป ตราบใดที่มีคนที่วางใจได้ทำให้ เขาก็ไม่เคยไปกังวลเรื่องนั้นเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีตำแหน่งผู้การใหญ่อย่างหยางชิ่งโผล่ออกมาหรอก

“เจ้าก็ลองออกไปดูสิ! เจ้าไม่กลับมาที่นี่หลายร้อยปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องพิสูจน์ให้ลูกน้อง้ห็นว่าตัวเองยังมีตัวตนไม่ใช่เหรอ? ไม่อย่างนั้นพวกลูกน้องคงนึกว่าฮูหยินคนนี้วางแผนปล้นอำนาจสามีตัวเอง! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ใช่ว่าเบื้องล่างจะไม่มีข่าวลือนี้ ให้เจ้าเขียนหนังสือสอบถามกิจวัตรสักฉบับ จะทำให้เจ้าเสียเวลาสักเท่าไรเชียว?”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะเขียนก็ได้ จบมั้ย?” เหมียวอี้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ  หยิบแผ่นหยกออกมาเขียนทีละแผ่น

อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นและเดินเข้ามา หยิบแผ่นหยกที่เขาเขียนขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด แต่พออ่านแล้วกลับคิ้วขมวดขึ้นมา

หลังจากเหมียวอี้เขียนเสร็จแล้ว ก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของนางดไม่ชอบมาพากล จึงถามว่า “ทำไมล่ะ? หรือว่าที่ข้าเขียนมีปัญหาอะไร”

อวิ๋นจือชิวสั่งให้เสวี่ยเอ๋อร์มานำแผ่นหยกไปส่งให้ตำหนักต่างๆ จากนั้นก็ดึงเหมียวอี้ให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พาไปที่ห้องหนังสือ และให้เชียนเอ๋อร์เตรียมเครื่องเขียนเอาไว้ เหมียวอี้ถ่มอย่างแปลกใจว่า “ทำอะไร?”

“เขียนตัวอักษรให้ข้าดูสักสองสามตัว” อวิ๋นจือชิวกล่าว

การ…เขียนตัวอักษรคือจุดอ่อนของเหมียวอี้จริงๆ เขาไม่เคยได้เรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเขียนตัวอักษรเลย เขากล่าวอย่างเขินอายทันที “อยู่ดีๆ จะให้เขียนตัวอักษรทำไม”

“ให้เจ้าเขียนตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัวก็ทำให้เจ้าลำบากแล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม

คำพูดของนางทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก เพียงหยิบพู่กันขึ้นมาอย่างไม่รู้ว่าควรจะลงมือเขียนอย่างไร แล้วถามอย่างตะกุกตะกัก “เจ้าอยากจะให้ข้าเขียนตัวอักษรอะไรล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวดึงพู่กันจากมือเขามาไว้ในมือตัวเอง จากนั้นจุ่มน้ำหมึก แล้วยกแขนเสื้อขึ้นพลางเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ที่งดงามทรงพลังไว้บนกระดาษว่า : หนึ่งไม่มีสอง![1]

จากนั้นก็ให้เหมียวอี้เขียนตาม เขียนแค่อักษรสี่ตัวนี้

เมื่อมองพู่กันที่ถูกยัดกลับเข้ามาในมือ แล้วมองตัวอักษรงดงามตัวใหญ่บนกระดาษ เหมียวอี้ก็รู้สึกเหงื่อแตก จุ่มพู่กันคาน้ำหมึก ชักช้าไม่กล้าลงมือเขียนสักที

“ทำไมให้เขียนตัวอักษรแค่ไม่กี่คำ ยังลำบากยิ่งกว่าฆ่าเจ้าทิ้งเสียอีก? เจ้าจะเขียนหรือไม่เขียน จะกดดันให้ข้าโมโหให้ได้เลยใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวพูดเร่งเร้า

เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ไม่สนใจอะไรแล้ว ต่อให้อับอายขายหน้าก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรตรงนี้ก็ไม่มีคนนอก เขาให้กำลังใจตัวเองเพื่อสร้างความฮึกเหิม

หลังจากเขียนตัวอักษรสี่ตัวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเก้อเขิน

อวิ๋นจือชิวจ้องตัวอักษรบนกระดาษ เบิกตากว้างยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ ทำท่าเหมือนตกตะลึง จ้องอยู่นานมาก ยากที่จะละสายตาออกไปได้

เหมียวอี้เองก็หน้าแดงเพราะความอับอายเช่นกัน เขาไม่ได้หน้าแดงแบบนี้มาหลายปีแล้ว เป็นเพราะเมื่อนำตัวอักษรที่ตัวเองเขียนมาเทียบกับตัวอักษรต้นฉบับ ก็บรรยายความแตกต่างออกมาเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ ขนาดตัวเองเห็นแล้วยังอาย คงไม่ต้องบอกว่าขี้เหร่ขนาดไหน ถ้าใช้ความพยายามก็พอจะอ่านออกอยู่บ้าง ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านตัวอักษรบนแผ่นหยก ก็ย่อมอ่านออกได้ง่ายกว่าเดิมอยู่แล้ว เมื่อใช้พลังอิทธิฤทธิ์ก็จะควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายตามอำเภอใจ

เชียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเหลือบไปเห็นตัวอักษรที่น่าเวทนาสี่ตัวนั้น ก็ยังต้องเบี่ยงหน้าหันไปมองทางอื่น ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนายท่านไม่เคยใช้งานห้องหนังสือเลย มีสาเหตุจริงๆ ด้วย แอบร้องในใจว่า : นายท่านแย่แล้ว!

เหมียวอี้หน้าแดง แต่อวิ๋นจือชิวกลับหน้าเขียว หันกลับมามองเขาอย่างช้าๆ แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคว่า “เขียนได้ไม่เลวนี่ ตัวอักษรของท่านสามีคู่ควรกับสี่คำนี้จริงๆ ด้วย หนึ่งเดียวไม่มีสอง! ถ้าให้ท่านปู่ข้าเห็นล่ะก็ รับรองว่าตีเจ้าตายคามือแน่!”

“อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าพูดเกินไปนักเลย อย่างมากต่อไปนี้ข้าก็จะยกห้องหนังสือให้เจ้าใช้ ข้าแค่ไม่เข้ามาก็สิ้นเรื่องแล้ว!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายพร้อมทิ้งพู่กัน แล้วหันหน้าเดินออกไป ไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อแล้วจริงๆ

อวิ๋นจือชิวกลับดึงมือเขาไว้ พยายามเจียดรอยยิ้มทั้งๆ ที่โมโห “หม่อมฉันพูดผิดเองค่ะ ท่านสามีอย่าโมโหเลยนะ ที่จริงการเขียนตัวอักษรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฝึกเขียนเยอะๆ ก็พอแล้ว มาสิคะ! หม่อมฉันจะอยู่เล่นด้วยเอง!” พูดจบก็ยัดพู่กันกลับเข้าไปในมือเขา แล้วใช้มือตัวเองจับประคองมือเขาให้นำพู่กันไปจุ่มน้ำหมึก จากนั้นก็วาดตัวอักษรสี่ตัวนั้นลงบนกระดาษทีละขีดอย่างใกล้ชิดและเอาใจใส่

เมื่อมีนางคอยประคับประคองช่วยเหลือ ตัวอักษรสี่ตัวที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ก็มีสภาพเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย อวิ๋นจือชิวให้กำลังใจเขาเหมือนปะเหลาะเด็กน้อยทันที “ท่านสามีมีพรสวรรค์จริงๆ ด้วย ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็ก้าวหน้าได้เยอะขนาดนี้!”

เชียนเอ๋อร์รีบเข้ามายืนฝนหมึกข้างๆ หวังว่านายท่านจะสามารถคงอารมณ์อันสุนทรีนี้ต่อไป

แต่ประเด็นสำคัญก็คือ นายท่านเหมียวไม่ได้มีอารมณ์อันสุนทรีกับด้านนี้เลย เขียนไปได้แค่สิบกว่าตัวก็ดึงมืออวิ๋นจือชิวออกแล้ว เขาวางพู่กันลง แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “มีฮูหยินอยู่แล้ว ต่อไปให้ฮูหยินช่วยทำเรื่องนี้แทนก็ได้”

อวิ๋นจือชิวดึงเขากลับมาอีกครั้ง ยังคงพูดออดอ้อนเขา “ท่านสามีอยู่เล่นกับข้าอีกสักหน่อยสิ พวกเราเขียนต่ออีกหน่อยดีมั้ย? ไม่เยอะหรอกค่ะ เขียนอีกร้อยตัวเอง!”

ร้อยตัวไม่เยอะตรงไหน? เหมียวอี้หัวเราะบางบอกว่า “เขียนหนังสือมีอะไรน่าสนุก ไปเถอะ! ข้าจะสอนเจ้าเล่นหมากล้อม!”

ตอนยังไม่พูดถึงหมากล้อมก็ยังดีๆ อยู่ คนที่เล่นหมากล้อมด้วยนิสัยแย่ๆ อย่างเขา ยังจะมีหน้ามาสอนคนอื่นอีกเหรอ? อวิ๋นจือชิวทำหน้าเข้มทันที บวกกับนิสัยเจ้าอารมณ์ของนาง ทำให้แสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มต่อไปไม่ไหวแล้ว นางถามอย่างเย็นเยียบว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าจะเขียนหรือไม่เขียน?”

“ไม่เขียนแล้ว! กะอีแค่ไม่จับพู่กันเขียนหนังสือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะเป็นประมุขปราสาทต่อไปไม่ได้ ตอนนี้ข้ายังใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ เหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหว

“ถ้าเจ้าจะหดหัวเป็นประมุขปราสาทอยู่ที่นี่ไปทั้งชาติ ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ตอนที่เจ้าเป็นประมุขถ้ำ คนที่ได้เห็นตัวอักษรของเจ้าแล้วหัวเราะเยาะเจ้าก็มีแค่กำลังคนของหนึ่งถ้ำ ตอนที่เจ้าเป็นประมุขขุนเขา จำนวนคนที่หัวเราะเยาะเจ้าก็มีแค่หนึ่งขุนเขา ประมุขจวน ประมุขตำหนัก ประมุขปราสาท เจ้าเดินขึ้นตำแหน่งสูงไปเรื่อยๆ ยิ่งลูกน้องเจ้ามีเยอะเท่าไร คนที่หัวเราะเยาะเจ้าก็ยิ่งเยอะเท่านั้น สิ่งที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมก็คือบารมีชื่อเสียงของเจ้า หนิวเอ้อร์ ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าคำเดียว เจ้าคิดจะหยุดความก้าวหน้าไว้แค่นี้ใช่มั้ย เจ้าจะหดหัวอยู่ที่ปราสาทดำเนินสุริยันไปทั้งชาติหรือเปล่า ถ้าใช่ ข้าก็จะไม่ว่าอะไรแล้ว แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข[2] ข้าจะหดหัวอยู่กับเจ้าที่นี่ไปทั้งชาติก็แล้วกัน จะไม่พร่ำบ่นอะไรทั้งนั้น!” อวิ๋นจือชิวกดดัน “ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่!”

“พูดเรื่องไร้ประโยชน์แบบนี้ทำไม ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าตอนนี้ข้ากำลังทำอะไรอยู่!” เหมียวอี้กล่าวอย่างปวดประสาท

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็เขียนให้ข้าดูสิ!” อวิ๋นจือชิวคว้ามือเขาเอาไว้ หนังสือเล่มหนึ่งที่จัดวางไว้บนโต๊ะก็ลอยขึ้นมา นางพลิกเปิดแล้ววางไว้ข้างๆ เขา จากนั้นก็ชี้ที่ตัวอักษรบนนั้นพร้อมบอกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อไรที่เจ้าว่าง ก็ต้องเจียดเวลาทุกวันเพื่อเขียนอักษรตามข้าหนึ่งร้อยตัว ข้าจะมาตรวจทุกวัน! ไม่ได้ขอให้เจ้าฝึกจนเก่งขนาดนั้นหรอก ขอแค่พอดูได้ก็พอแล้ว แบบนี้ไม่ถือว่าทำให้เจ้าลำบากหรอกใช่มั้ย?”

“ทุกวัน?” เหมียวอี้ถามอย่างหงุดหงิดทันที “อวิ๋นจือชิว นี่เจ้าจะหาเรื่องข้าไม่เลิกเลยใช่มั้ย? ถ้าทำแบบนี้ซ้ำทุกปี เจ้ารู้มั้ยว่าเสียเวลาฝึกตนข้าขนาดไหน?”

“เขียนวันละสองร้อยตัวให้ข้าตรวจทุกวัน ถ้าขาดไปแม้แต่ตัวเดียว เจ้าก็คอยดูแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวเกิดมีน้ำโห เพิ่มให้อีกหนึ่งเท่าแล้ว

พอเสวี่ยเอ๋อร์ที่เพิ่งกลับมาเห็นภาพนี้ ก็มายืนอยู่ข้างเชียนเอ๋อร์เงียบๆ ทั้งสองแอบเดาะลิ้นในใจ คนที่กล้าท้าชนกับนายท่านแบบนี้ ในปราสาทดำเนินสุริยันคงมีแค่ฮูหยินคนเดียวแล้ว

“ไม่เขียน! ข้าทนมามากพอแล้ว!” เหมียวอี้คำราม แล้วหันหน้าเดินจากไป

อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้าไป ใช้มือข้างหนึ่งกระชากมวยผมของเหมียวอี้ แล้วดึงเขากลับมา

เหมียวอี้เจ็บจนบิดตัว พลางตวาดอย่างโมโห “เมียปากร้าย! เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือตอบโต้นะ!”

ถ้าอวิ๋นจือชิวกลัวเขาก็แปลกแล้ว นางจับไว้ไม่ยอมปล่อย พลางแสยะยิ้มใส่เขา “เจ้ากล้าตอบโต้อยู่แล้ว! เจ้าก็เก่งแต่รังแกเมียตัวเองนั่นแหละ ถ้ามีความสามารถนัก แล้วทำไมไม่เอาไปใช้กับฝาแฝดคู่นั้นล่ะ? มาวางมาดวีรบุรุษต่อหน้าข้าจะถือว่าเก่งกาจอะไร!”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกทันที เผชิญหน้ากับนางด้วยความเงียบ

ฝาแฝดอะไรกัน? เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองหน้ากันเลิกลั่ก นึกอะไรไม่ออกเหมือนมีหมอกลงในสมอง

“หนิวเอ้อร์ จะให้ข้าพูดเรื่องของเจ้ากับฝาแฝดคู่นั้นให้พวกลูกน้องฟังหน่อยมั้ยล่ะ?”

“ตามใจเจ้าเถอะ! เจ้าจะได้เพิ่มสง่าราศีให้ตัวเองไง!” เหมียวอี้ตอบนางอย่างไร้ความมั่นใจ

“เจ้าก็คอยดูแล้วกันว่าข้ากล้ามั้ย ข้าเป็นรองเท้าขาด[3]ที่มาจากทะเลทรายม่านเมฆา ถึงอย่างไรชื่อเสียงก็ฉาวโฉ่มาตั้งนานแล้ว!” อวิ๋นจือชิวปล่อยมือทันที ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขาแล้ว หันตัวแล้วเดินก้าวยาวออกไปข้างนอกเสียเลย

เหมียวอี้ที่กำลังเอามือลูบมวยผมทำท่าเหมือนโดนตะคริวกินใบหน้า เอ๋อแดกนิดหน่อย จู่ๆ ก็ถลันตัวออกจากห้องหนังสือไป และไม่นานก็ดึงตัวอวิ๋นจือชิวกลับมาได้ เขาชี้หน้าอวิ๋นจือชิวพลางตะคอกด่าเสียงดัง “ขนาดความตายข้ายังไม่กลัว จะกลัวอะไรกับอีแค่เขียนตัวอักษรเส็งเคร็งพวกนี้ เขียนก็เขียนโว้ย คิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว ไม่ต่อต้านเขาอย่างรุนแรงอีก นางหันไปมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พร้อมสั่งว่า  “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใช้เวลาวันละหนึ่งชั่วยาม หากนายท่านมีเวลาว่าง พวกเจ้าก็ผลัดกันมาเฝ้านายท่านฝึกคัดอักษร ถ้านายท่านคัดไม่ครบสองร้อยตัว ข้าจะลงโทษพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยลงโทษนายท่าน! ถ้ากล้าช่วยเขาโกง ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะได้เสียใจไปทั้งชาติ!”

“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก

“อีกสามวันค่อยเริ่ม เจ้าบอกแล้วว่าสามวันนี้จะให้ข้าพักผ่อน เจ้าอย่ากลับคำพูดสิ!” เหมียวอี้เหมือนรู้สึกยอมไม่ได้

“ข้ากลับคำแล้ว! ข้าพูดจาไม่เป็นคำพูดแล้วจะทำไม ถ้าเจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ!” อวิ๋นจือชิวพลันตบวางมีดสั้นลงบนโต๊ะ ชี้ไปที่มีดพร้อมบอกว่า “เจ้าเองก็เคยเห็น ท่านปู่มอบให้ข้าไว้ ตอนที่เฟิงอวิ๋นจะมารับตัวข้าเป็นเจ้าสาว ข้าก็เตรียมตัวเอาไว้แล้ว ว่าถ้าสุดท้ายเจ้าไม่ปรากฏตัว ข้าก็จะใช้มีดสั้นเล่มนี้ฆ่าตัวตาย ข้าเตรียมตัวตายเพื่อเจ้าแล้ว ข้าจะไม่โต้ตอบหรอก ถ้าเจ้ากล้านักก็ใช้มีดเล่มนี้สังหารข้าเลย!”

เหมียวอี้ยืนเหม่อจ้องมีดสั้นครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกเศร้าสลด สุดท้ายก็หันตัวอย่างช้าๆ จับพู่กันขึ้นมาแต่โดยดี…

…………………………

[1] หนึ่งเดียวไม่มีสอง หมายถึง 举世无双 มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ไม่มีใครเทียบได้

[2] แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข 嫁鸡随鸡,嫁狗随狗 หมายความว่า สตรีเมื่อแต่งงานแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องรู้จักปรับตัวอยู่กับสามีและครอบครัวสามีให้ได้

[3] รองเท้าขาด 破鞋 เปรียบเปรยถึงผู้ที่เคยผ่านผู้ชายมาแล้ว หญิงสำส่อน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset