พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1698 ดาบของเกาก้วน

เกาก้วนเองก็ยกมือเล็กน้อย กำลังพลข้างหลังที่ถือดาบและทวนวางห้อยลงแล้วเช่นกัน

หลังจากทั้งสามเดินลงบันไดได้ไม่กี่ก้าว เกาก้วนก็นำคนเดินมาถึงตรงหน้าแล้ว ทั้งสองหยุดอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งจั้ง

ทั้งสองคนกำลังยืนคุมเชิงกัน คนหนึ่งสวมหมวกทรงสูงและผ้าคลุมบ่า อีกคนสวมชุดอ๋องสวรรค์หลอมดาวเก้าชั้นฟ้า คนหนึ่งยืนโดดเด่นลำพัง อีกคนมีลักษณะน่าเกรงขาม

ทั้งสองสบตากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง สุดท้ายโค่วหลิงซวีก็กล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น “จู่ๆ ทูตขวาเกาก็ให้เกียรติมาเยือนถึงที่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”

เขานับถือในความกล้าหาญของเกาก้วนจริงๆ ในเวลาแบบนี้ยังกล้าถ่อมาถึงจุดที่มีกำลังทหารล้อมไว้มากมายอย่างที่นี่ ทั้งยังกล้าลงมือฆ่าคน ราวกับเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ

“ท่านอ๋องรู้อยู่แก่ใจแล้วเหตุใดจึงถาม ทัพเหนือจับคนของหน่วยตรวจการขวาเอาไว้ หน่วยตรวจการขวาแสดงเจตนาชัดเจนว่าให้ปล่อยคน แต่ทัพเหนือไม่สนใจเลย ก็ช่วยไม่ได้ ทูตขวาผู้นี้ทำได้เพียงมาด้วยตัวเอง หวังว่าท่านอ๋องจะใจกว้างไม่ถือสา ปล่อยคนของข้าไปซะ!” เกาก้วนกล่าว

โค่วหลิงซวีถามว่า “นี่ก็คือเหตุผลให้เจ้าฆ่าคนของตระกูลโค่วงั้นเหรอ? หรือคนหน่วยตรวจการขวาของเจ้าเท่านั้นที่เป็นคน แต่คนตระกูลโค่วของข้าไม่ใช่คน?”

เกาก้วนตอบว่า “คนที่ภักดีทำงานรับใช้ฝ่าบาทควรจะมีชีวิตอยู่ดีๆ มีเพียงคนเห็นแก้ประโยชน์ส่วนตน จาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ สมควรตาย!”

“ข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูบ้านขอให้ทูตขวาเกาหยุดก่อนเพื่อรอรายงาน ทำไมจึงกลายเป็นจาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ไปเสียแล้ว มีคนเฝ้าประตูบ้านไหนบ้างที่ปล่อยให้คนบุกรุกได้ตามอำเภอใจ?” โค่วหลิงซวีถามกลับ

เกาก้วนตอบว่า “ตอนข้าอยู่บนฟ้าข้างนอกก็เผยป้ายคำสั่งของฝ่าบาทแล้ว จวนอ๋องสวรรค์โค่วจะไม่รู้เชียวหรือ? ยังมาขวางข้าเหมือนเดิม ถ้าไม่ใช้การจาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์แล้วเรียกว่าอะไร? ฝ่าบาทเคยมีคำสั่ง ข้าเป็นคือถือป้ายคำสั่ง หากมีคดีต้องสืบเมื่อใด นอกจากวังสรรค์แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็ไปได้ทั้งนั้น หรือท่านอ๋องรู้สึกว่าจวนอ๋องสวรรค์โค่วค่อนข้างพิเศษ จึงสามารถอยู่เหนือบัญชาสวรรค์ได้?”

โค่วหลิงซวีจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “คำสั่งนี้เป็นคำพูดปากเปล่าของทูตขวาเกาเอง ใครจะไปรู้ว่าจริงหรือปลอม? ถึงยังไงข้าก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์แล้วได้ยินคำสั่งนี้ของฝ่าบาท”

“ในเมื่อท่านอ๋องแกล้งเลอะเลือน เช่นนั้นก็คุยง่ายแล้ว ตอนนี้ลองติดต่อฝ่าบาทด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ก็ได้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ

โค่วหลิงซวีไม่สนใจประเด็นนั้น “คนหน่วยตรวจการขวาของเจ้าถ่อมาทำลับๆ ล่อๆ ที่ทัพเหนือ จะจับตัวไม่ได้เชียวเหรอ?”

เกาก้วนตอบว่า “ท่านอ๋องระดมทัพใหญ่ เจตนาไม่แน่ชัด หน่วยตรวจการขวาตัดสินลงโทษคนในใต้หล้า มีหน้าที่ตรวจสอบหาหลักฐาน ท่านอ๋องกลับคุมตัวคนของหน่วยตรวจการขวาไว้ หรือว่ามีเรื่องอะไรที่เป็นความลับจนหน่วยตรวจการขวารู้ไม่ได้?”

“ข้าไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เป็นความลับ” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม

“ข้าสงสัยว่าท่านอ๋องคิดจะก่อกบฏ!” เกาก้วนพูดกระแทกเสียงแข็งอย่างไม่เกรงใจ

ประโยคนี้ทำให้ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสีหน้าเย็นเยียบทันที โค่วหลิงซวีเลิกคิ้ว ดวงตาพยัคฆ์คมกริบเป็นประกาย “ทูตขวาเกา เจ้าจะมาพูดซี้ซั้วอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าข้าจะก่อกบฏ เจ้ายังจะรอดมายืนพูดอยู่ตรงนี้ได้อีกเหรอ?”

เกาก้วนกล่าวว่า “ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบ หน่วยตรวจการขวาถึงได้ส่งคนมาตรวจสอบหาหลักฐานอย่างลับๆ ถ้าท่านอ๋องไม่ใช่วัวสันหลังหวะ ทำไมต้องกักตัวสายลับของหน่วยตรวจการขวาไม่ยอมปล่อยด้วยล่ะ? ปล่อยคนมา หลังจากข้านำตัวกลับไปตรวจสอบความจริงแล้ว ก็ย่อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านอ๋องได้ ท่านอ๋อง ท่านคิดว่ายังไง?”

“สมกับเป็นทูตขวาเกาที่ใช้วิธีทรมานสอบสวนนักโทษมายาวนาน ช่างฝีปากไหลลื่นจริงๆ” โค่วหลิงซวีกล่าว

“ฝีปากไหลลื่นจะเป็นคำชมหรือคำด่าก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยพูดจาเหลวไหล! ท่านอ๋อง ปล่อยคนเถอะ” เกาก้วนกล่าว

โค่วหลิงซวีเอียงหน้าเล็กน้อยมองถังเฮ่อเหนียน “ถามดูหน่อยว่าคนยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”

คำพูดนี้มีความล้ำลึก ถังเฮ่อเหนียนตาเป็นประกาย รู้ว่าท่านอ๋องต้องการจะส่งคนตายให้เกาก้วน

ทว่าเกาก้วนเป็นใครล่ะ ก็เป็นอย่างที่โค่วหลิงซวีบอก เกาก้วนใช้วิธีการทรมานเพื่อสอบสวนนักโ?มานาน ตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นเบาะแสเร็วมา ไม่รอให้ถังเฮ่อเหนียนตอบ ก็ชิงพูดสอดขึ้นมาแล้ว “ทางที่ดีส่งคนเป็นกลับมาให้ข้า ไม่อย่างนั้นเกรงว่าวันนี้จวนอ๋องสวรรค์โค่วอาจจะวุ่นวาย”

ถ้ารอให้ถังเฮ่อเหนียนตอบ คำตอบก็จะเป็นตายแล้วแน่นอน ต่อให้ยังไม่ตายแต่ก็ไม่สะดวกจะแก้ไขคำพูด มีแต่ต้องส่งมอบคนตายให้เท่านั้น

โค่วหลิงซวีจึงกล่าวว่า “คำพูดของทูตขวาเกาช่างไร้เหตุผลเสียจริง จับคนมาได้แล้วก็ย่อมต้องสอบสวน ถ้าสอบสวนแล้วไม่ระวังมือทำคนตาย ข้าก็มีไม่วิชาฟื้นชีพคนตายหรอก บุกเข้ามาในเขตสำคัญของทัพเหนือ ไม่ระวังตัวจนตายไปก็เป็นเรื่องปกติ ทูตขวาเกาบังคับใจคนอื่นไปก็ไม่มีความหมาย ถ้ามีความเห็นแย้งอะไรก็ไปแจ้งเอาผิดข้าต่อฝ่าบาทได้เลย”

“หรือว่าท่านอ๋องอยากจะก่อกบฏ?” เกาก้วนถามโดยตรง

การกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าฝูงชนนั้นอ่อนไหวเกินไป คนที่ได้ยินพากันอกสั่นขวัญแขวน

“ทูตขวาเกา ข้อหาบางอย่างจะมากล่าวหากันซี้ซั้วไม่ได้หรอก” โค่วหลิงซวีกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

“ข้าเพียงถามเท่านั้นเอง ท่านอ๋องจะส่งคนเป็นให้ข้ากลับไปหรือไม่?” เกาก้วนถาม

“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ?” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม

เกาก้วนใช้แขนสองข้างเลิกผ้าคลุมบ่าข้างหลัง สองมือสะบัดขึ้นฟ้า คว้าดาบยาวสองข้างไว้ในมือแล้ว ปลายดาบชี้ขึ้นฟ้า แล้วไข้วกันตรงหน้าอก

ดาบยาวสองด้ามนี้ต่างจากดาบยาวที่เห็นกันทั่วไป ดาบยาวเกินครึ่งจั้ง ตัวดาบยาวแคบ เป็นกระบี่ยาวสองด้าม แต่ก็จัดอยู่ในประเภทดาบ ตัวดาบมีลักษณะโบราณเรียบง่าย แต่กลับเป็นสีแดง โปร่งแสง บนตัวดาบด้ามหนึ่งเต็มไปด้วยลวดลายสลักคลื่นคลั่งโหมซัดสาด ส่วนบนดาบอีกด้ามสลักลายพายุฝนฟ้าคะนอง

ตัวดาบเผยสีแดงสดภายใต้แสงอาทิตย์ สะท้อนแสงเล็กน้อย ราวกับเปล่งแสงรัศมีสีแดงได้

“ชวิ้งๆ…” คมดาบคู่ที่ประสานกันตรงหน้าอกเสียดสีกัน ส่งเสียงต่ำทว่าดังก้องชัดเจน เป็นเสียงที่เสนาะหู

เกาก้วนใช้แขนสองข้างกางดาบคู่ ดาบด้ามหนึ่งส่งเสียง “ติง” คมดาบแตะพื้นเบาๆ ดาบอีกด้ามชี้ไปด้านหน้านอย่างช้าๆ คมดาบชี้ไปตรงหว่างคิ้วของโค่วหลิงซวีแล้ว ผ้าคลุมบ่าข้างหลังสะบัดเองโดยไร้ลม ลอยกระเพื่อมขึ้นมาเบาๆ

กำลังพลหน่วยตรวจการขวาจำนวนหนึ่งร้อยข้างหลังเขาชูอาวุธขึ้นทันที ภายนอกทำสีหน้าเย็นเยียบ แต่ที่จริงทุกคนแอบตกใจ นี่ท่านทูตขวากำลังจะลงมือกับโค่วหลิงซวีเหรอ?

เกาก้วนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเผยอาวุธง่ายๆ ก็เผยอาวุธแล้ว! สมาชิกตระกูลโค่วที่มองอยู่ไกลๆ แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยน จะเดินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ แล้วเหรอ?

พอชูเจี้ยนโบกมือ กำลังพลกลุ่มก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้ามาทันที มาล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้แล้ว ส่วนบนบันไดด้านบนก็มีกำลังพลสวมเกราะกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอีก แต่ละคนดึงสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เล็งไปทางพวกเกาก้วนเบื้องล่าง

ขณะจ้องคมดาบเกาก้วนที่ชี้เข้ามา โค่วหลิงซวีก็หรี่ตาเล็กน้อย ดาบของเกาก้วน!

ถังเฮ่อเหนียนที่ยืนอยู่ข้างหลังโค่วหลิงซวีกำหมัดแน่นโดนจิตใต้สำนึก จ้องคมดาบของเกาก้วนไม่ละสายตา

กระบี่ของซือหม่าเวิ่นเทียน ดาบของเกาก้วน บางทีคนรุ่นหลังอาจไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร แต่สำหรับคนที่เคยเห็นแย่งชิงความเป็นจ้าวแห่งใต้หล้าในปีนั้นมากับตาตัวเอง กลับรู้ว่าสองคนนี้ที่ติดตามประมุขชิงน่ากลัวขนาดไหน พวกเขาถูกขนานนามว่า  ‘คู่ดาบกระบี่ไร้เทียมทาน’ วิญญาณที่ตายด้วยดาบกระบี่คู่นี้มีไม่รู้ตั้งเท่าไร สร้างผลงานใหญ่กรีธาทัพออกปราบใต้หล้าเพื่อประมุขชิง

หลังจากตำหนักสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมา เนื่องจากหน้าที่รับผิดชอบ ดาบของเกาก้วนเผยออกมาน้อยมาก ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่ในเหตุการณ์ พวกเขาเพิ่งเคยเห็นดาบของเกาก้วนเป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาวุธของเกาก้วน

ตรงจุดที่คมดาบชี้ไป เกาก้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้หัวใจ “ก่อนที่หน่วยตรวจการขวาจะส่งสายลับคนนี้มา พวกเราเคยได้รับรายงานแล้ว บอกว่าท่านอ๋องมีเจตนาวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ และก่อนที่สายลับจะตกอยู่ในมือท่านอ๋อง ก็เคยส่งข่าวกลับมาที่หน่วยตรวจการขวาแล้วเช่นกัน บอกว่าค้นพบบางอย่างที่สำคัญ ให้ข้านำคนเป็นๆ กลับไป จะได้ถามได้สะดวกว่าจะค้นพบข้อมูลสำคัญอะไร ถึงตอนนั้นย่อมพิสูจน์ได้ว่าท่านอ๋องบริสุทธิ์หรือไม่ หากท่านอ๋องดึงดันจะส่งคนตายให้หน่วยตรวจการขวา เช่นนั้นข้าก็มีเหตุผลให้สงสัยว่าท่านอ๋องฆ่าคนปิดปาก! รู้จักท่านอ๋องมาหลายปี ท่านอ๋องย่อมรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเกาก้วนทำงานตามหน้าที่ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ทางเลือก ทำได้เพียงเชิญให้ท่านอ๋องตามข้าไปช่วยให้ปากคำที่หน่วยตรวจการขวาสักเที่ยว! ดาบข้าไม่เจอเลือดมานานแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะไม่กดดัน!”

แม้แต่ดาบที่ไม่เคยเจอคนมานานก็เผยออกมาแล้ว ท่าทีของเขาชัดเจนมาก ไม่มีทางเหลือให้ถอยกลับ

โค่วหลิงซวีจ้องเขานานมาก ทั้งสองสบตากัน ไม่มีใครหลีกทางให้ใคร

ในขณะนี้ ทุกคนที่อยู่รอบข้างเริ่มตึงเครียดแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเกาก้วนต้องการคนเท่านั้น อย่างอื่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่ทูตตรวจการขวาก็โหดอย่างนี้ สามารถนำข้ออ้างมาทำให้เป็นเรื่องจริงได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ เดิมทีผู้พิพากษาหน้านิ่งคนนี้ก็ไม่ใช่คนมีเหตุผลอะไรอยู่แล้ว เป็นหมาบ้าที่ประมุขชิงเลี้ยงไว้กัดคน!

เมื่อเจอกับคนที่สามารถดึงหนังสือมาทำธงได้ทุกเมื่ออย่างเกาก้วน ไม่ว่าใครคุยกับเขาด้วยเหตุผลก็ล้วนเสียเปรียบทั้งนั้น! สุดท้ายโค่วหลิงซวีจึงยอมถอยแล้ว กล่าวช้าๆ ว่า “ช่างยัดข้อหาเก่งจริงๆ! ดาบคู่ของทูตขวาเกาช่างสมคำร่ำลือ…เฒ่าถัง ส่งคนให้เขา!”

เกาก้วนเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดเหน็บแนม ปักคมดาบกับพื้นทันที แล้วยืนรอ

ผ่านไปไม่นาน ทหารสวมเกราะสองคนก็ลากคนคนหนึ่งออกมาจากนอกจวนอ๋องสวรรค์โค่ว คนคนนี้เสื้อผ้าขาดรุ่ย ถูกทรมานจนเลือดท่วมตัว ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเผยโม่ คนที่ลงมือฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยตัวเอง ตอนนี้สองเท้าเผยกระดูกขาวจนยืนเองไม่ได้ แต่ยังมีชีวิตอยู่

เผยโม่ที่สภาพสะบักสะบอมเงยหน้ามองเกาก้วน โดยเฉพาะเมื่อเห็นดาบคู่ในมือเกาก้วน ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเผยดาบเพื่อเขา ดาบของทูตขวาเกาคือตำนานของหน่วยตรวจการขวา เผยโม่แสดงสีหน้าซาบซึ้งใจ

เกาก้วนหันกลับมาแวบหนึ่ง แล้วเอียงหน้าเล็กน้อย มีคนสองคนเข้าไปหาเผยโม่ทันที

ซวบ! ดาบสองดาบพลิกขึ้นมา เก็บดาบแล้ว เกาก้วนกุมหมัดคารวะโค่วหลิงซวี “รบกวนมากไปหน่อย หวังว่าท่านอ๋องจะใจกว้างไม่ถือสา! ข้ามีธุระต้องจัดการ ขอกล่าวอำลาตรงนี้!”

“ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “หวังว่าทูตขวาเกาจะให้คำตอบข้าได้ว่าค้นพบข้อมูลสำคัญอะไร”

“แน่นอน” เกาก้วนเอ่ยรับ จากนั้นสะบัดชายผ้าคลุม หันตัวนำกลุ่มคนเดินก้าวยาวจากไป

โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังมองเงาหลังเกาก้วนจากไป มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เขาย่อมรู้ว่าเกาก้วนไม่มีทางสืบเจอว่าเขาก่อกบฏ เพียงแต่เรื่องในวันนี้ทำให้เขาเสียหน้านิดหน่อย เพราะข้ารับใช้รวมทั้งลูกหลานของตระกูลโค่วล้วนกำลังดูอยู่ ต่างก็เห็นแล้วว่าเขาถูกเกาก้วนกดดันให้ก้มหัว

แต่เขากลัวเกาก้วนจริงๆ น่ะเหรอ? ถ้าจะลงมือขึ้นมา เขารับรองได้ว่าเกาก้วนรวมทั้งลูกน้องของเกาก้วนจะไม่ได้รอดกลับไปสักคน แต่สุดท้ายเขาก็ยังอดทนไว้

ถ้าเป็นยามปกติ เขาก็จะไม่ไว้หน้าเกาก้วนเลยจริงๆ วางอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้ มาฆ่าคนของตนถึงในจวนอ๋องสวรรค์แล้ว! แต่สถานการณ์ในตอนนี้อ่อนไหวมาก ถ้าเขากำจัดเกาก้วนจริงๆ ต่อให้เขาไม่อยากโดนข้อหาก่อกบฏแต่ก็จะต้องแบกข้อหาก่อกบฏ ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้เรื่องราวสงบลงได้ ถ้าจะให้เกิดคลื่นลมอีกนั้นไม่คุ้ม!

คิดไปคิดมาแม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกทอดถอนใจ สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกับตระกูลเซี่ยโห้วเล่นตุกติก กดดันจนประมุขชิงต้องยอมถอย เพื่อที่จะทำให้สถานการณ์โดยรวมของใต้หล้าสงบ ประมุขชิงจะไม่ถอยก็ไม่ได้ แต่ยามโค่วหลิงซวีเจอกับหมาบ้าอย่างเกาก้วน ก็ถูกเกาก้วนกดดันให้ต้องถอยอีกเช่นกัน เขาเองก็ต้องยอมถอยเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของตระกูลโค่วเหมือนกันมิใช่หรือ

เขาไม่อยากไปถือสาเรื่องที่มีเข้ามาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน หันตัวเอามือไขว้หลังเดินจากไปแล้ว

………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset