พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1705 ไม่ทราบว่าอุดมการณ์ของนายท่านเป็นอย่างไร

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น แล้วพยักหน้าบอกว่า “รู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะบอกต่อนายท่านให้ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะแล้วออกไป

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เหมียวอี้ฝึกตนทันที คนอื่นถ้าไม่มีธุระสำคัญก็ไม่สะดวกจะไปรบกวนง่ายๆ แต่นางย่อมมีเรื่องอื่นจะคุย

ในห้องสมาธิ เหมียวอี้หยุดฝึกวิชา แล้วถามอวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่ช้าก็เร็วที่กำลังพลของตระกูลโค่วจะถอนกลับไป เป็นไปไม่ได้ที่จะยื้อเอาไว้ตลอด แต่คนของโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่ได้เพิ่มขึ้นได้ในรวดเดียวเช่นกัน ต้องคัดเลือกให้ดีสักหน่อย เรื่องนี้ต้องใช้เวลา เจ้าคิดยังไงกับคนของจวนแม่ทัพภาคกันแน่ หรือจะรับกำลังพลที่ตำหนักสวรรค์แบ่งสรรมาให้ก็พอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สถานการณ์ของพวกเรา ซ่อนความลับเอาไว้เยอะขนาดนี้ แถมข้ายังเคยล่วงเกินคนไว้ตั้งมากมาย พอได้คนมาแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามีสายลับปนอยู่เท่าไร พวกเราจะกล้าใช้งานคนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาเหรอ? มิหนำซ้ำเจ้ารู้สวัสดิการของตลาดผี จะมีใครมาทำงานให้เจ้าอย่างจริงใจบ้างล่ะ ที่ข้าสร้างโถงชุมนุมอัจฉริยะขึ้นมา ก็เพราะพยายามจะหลีกเลี่ยงจุดนี้ไง”

อวิ๋นจือชิวไตร่ตรองเล็งเล็กน้อย แล้วถามว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ นายท่านได้ถามหยางชิ่งสักหน่อยมั้ยว่ามีวิธีการดีๆ อะไร?”

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “โถงชุมนุมอัจฉริยะติดประกาศ ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ หกลัทธิมีหูมีตาที่ตลาดผี หยางชิ่งก็ต้องรู้อยู่แล้ว มีวิธีการอะไรก็ย่อมบอกอยู่แล้ว”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “หนิวเอ้อร์ จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ตอนแรกหยางชิ่งถูกนายท่านข่มไว้เพราะอะไร ในใจเขาจะไม่รู้ชัดเชียวหรือ? เขาเป็นคนฉลาดขนาดนั้น ในใจเขารู้ดีมากอยู่แล้ว เป็นเพราะเขาแสดงความสามารถเด่นชัดเกินไปไง! นายท่านมอบหน้าที่สำคัญให้ดูแลหกลัทธิในแดนอเวจี แน่นอนว่าเป็นความเชื่อใจ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์คับขันไร้ทางเลือก เขาก็ไม่สะดวกจะแทรกแซงไปซะทุกเรื่องหรอก เพราะกลัวว่าจะทำผิดข้อห้าม แน่นอน นายท่านดูแลเขาดีขนาดนี้ ถ้าเจียมเนื้อเจียมตัวขอคำชี้แนะ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขาปกปิดความสามารถตัวเองอีกก็แสดงว่าไม่จริงใจต่อนายท่านแล้ว ถึงยังไงตรงกลางก็ยังมีเวยเวยอยู่อีกชั้นหนึ่ง อย่างนี้ตอนนี้เขาก็ยังหวังดีต่อนายท่าน เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เจ้าหมายความว่า ตอนนี้จะให้ข้าถามเขาเหรอว่ามีวิธีการอะไร?”

อวิ๋นจือชิวคว้ามือเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  “จะมีวิธีการหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องฟังความเห็นคนให้แพร่หลาย ถ้าเจอความเห็นที่ตรงใจก็รับไว้ ถ้าไม่ตรงใจก็ไม่ต้องสน ไม่ได้ทำให้เจ้าเสียหายอะไรนี่”

“ก็ได้ ก็ได้ อย่าทำท่าทางจริงจังอย่างนั้น ข้าเชื่อฟังฮูหยินก็ได้” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งตรงนั้นเลย

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยางชิ่งตอนนี้นับว่าไม่เลว เหมียวอี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง หลังจากติดต่อได้แล้ว ก็บอกไปตรงๆ เลยว่า : คาดว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะมาแล้ว

หยางชิ่งในตอนนี้กำลังดื่มสุราเป็นเพื่อนจินม่าน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือจินม่านเข้าครัวทำกลับแกล้มด้วยตัวเอง แล้วได้กาสุราสองสามไหจากมือนักพรตของพิภพเล็ก ทั้งสองนั่งอยู่ในศาลาเล็กงดงามมีเอกลักษณ์ที่สร้างขึ้นใหม่บนเกาะ ทิวทัศน์งดงามแปลกใหม่ ฟังเสียงคลื่นมองฟ้าครามน้ำทะเลมรกต อาบลมทะเลเบาๆ นั่งดื่มสุราพูดคุยกันตรงนี้ สบายอกสบายใจอย่างแท้จริง

ขณะที่กินดื่มได้ครึ่งทาง หยางชิ่งก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เพราะเหมียวอี้ส่งข่าวมาทางระฆังดาราแล้ว

หลังจากเขากับหยางเจาชิงคุยกันได้สักพัก ก็รู้ว่าเหมียวอี้เก็บตัวฝึกวิชาแล้ว เขารู้ว่าหยางเจาชิงบอกต่อสิ่งที่เขาพูดให้อวิ๋นจือชิวรู้ เป็นเพราะความจงรักภักดีที่หยางเจาชิงและเหยียนซิวมีต่อสามีภรรยาคู่นี้อยู่ในระดับที่ไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงรอข่าวมาตลอด รอมาหลายวันในที่สุดก็ได้ข่าวแล้ว

“ราชาปราชญ์ส่งข่าวมา” หยางชิ่งวางจอกสุราแล้วหยิบระฆังดารา จากนั้นลุกยืนพิงระเบียงแล้วหันหลังให้นาง

ช่างส่งข่าวมาได้ถูกเวลาจริงๆ เร็วกว่านี้ก็ไม่ส่ง ช้ากว่านี้ก็ไม่ส่ง! จินม่านมองดูสุราอาหารที่ตัวเองทุ่มเทกำลังความคิดทำขึ้นมา รู้สึกเหมือนถูกทำให้เสียบรรยากาศ นางโยนตะเกียบลงบนโต๊ะ แล้วตัวเองก็ยกจอกสุราดื่มย้อมใจ ใบหน้างามดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

เมื่อฟังคำถามเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งก็ตอบว่า : ได้ยินแล้วขอรับ

เหมียวอี้ : เจ้ารู้สึกว่าข้าสร้างโถงชุมนุมอัจฉริยะขึ้นมาเป็นยังไงบ้าง?

หยางชิ่ง : วิธีการไม่เลว เพียงแต่ถ้าอยากจะเห็นผลลัพธ์ เกรงว่าภายในเวลาสั้นๆ อาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย อีกทั้งถ้ากำลังพลของตระกูลโค่วอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคไปนานๆ เกรงว่าตระกูลโค่วเองก็จะชี้แจงต่อตระกูลอื่นลำบากเช่นกัน สาเหตุที่ตอนนี้กำลังพลยังไม่ออกไป ก็เพราะตระกูลโค่วยังคำนึงถึงหน้าตาศักดิ์ศรี แต่ถึงยังไงก็อยู่ที่นี่ในระยะยาวไม่ได้ ถ้าถอนกำลังพลออกไป เกรงว่านายท่านจะต้องเจออุปสรรคมากมายแน่นอน

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว! หลุดพ้นจากการจับตาดูของตระกูลโค่วเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่เรื่องกำลังคนในขั้นต่อไปทำให้ข้าปวดหัว หลายปีที่ทำงานในระบบตำหนักสวรรค์มา การที่ในมือไม่มีคนของตัวเองถือเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่มาก เกรงว่าภายในเวลาสั้นๆ นี้จะออกจากตลาดผีได้ยาก ข้าก็เลยอยากฉวยโอกาสแก้ไขปัญหานี้

หยางชิ่ง : หรือพูดได้อีกอย่างว่า นายท่านอยากจะมีกำลังพลของตัวเองที่ใช้งานได้อย่างเปิดเผยในขอบเขตตำหนักสวรรค์ จะได้สะดวกให้ทำงานให้ในภายหลัง

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว ตอนนี้ยังแสดงตัวกำลังพลของหกลัทธิไม่ได้ ที่ข้าคิดหาวิธีการในด้านนี้ ก็แค่เพราะช่วงนี้ไม่มีคนให้ใช้งาน ทั้งยังจนปัญญา ไม่รู้ว่าเจ้ามีวิธีการดีๆ อะไรหรือเปล่า?

หยางชิ่ง : ก็อพอจะมีวิธีการอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอุดมการณ์ของนายท่านเป็นอย่างไร? ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้า การแก้ปัญหาก็ไม่ถือว่ายาก

ครั้งนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะฮึกเหิมบ้างแล้ว : ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้าแล้วยังไง?

เมื่อเห็นเขาเผยอุดมการณ์ที่ชัดเจนขนาดนี้ หยางชิ่งก็สั่นสะท้านทั้งตัวและหัวใจ รู้สึกฮึกเหิมเช่นเดียวกัน เจ้าเด็กที่ยอมแพ้ที่ถ้ำล่องนิภาคนนั้น อย่าบอกนะว่าในวันนี้จะเดินไปไกลถึงขั้นสู้ตัดสินแพ้ชนะกับวีรบุรุษในใต้หล้าแล้วจริงๆ? อุดมการณ์นี้ทำให้คนร้องเพลงก็ได้ ร้องไห้ก็ได้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าลิขิตในชาตินี้ไม่สูญเปล่า กอปรกับกำลังของฝ่ายตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่มีดีเลยสักนิด รู้สึกทันทีว่าอนาคตและทิศทางกระจ่างชัดเจนไร้ที่เปรียบ รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมไม่หยุด ควรค่าแก่การดื่มฉลองสามร้อยจอก

จู่ๆ เขาก็เดินก้าวยาวกลับมา คว้ากาสุรากรอกปากอย่างถึงอกถึงใจ ดื่มจนสุราหยกกระเด็นออกจากมุมปาก ไม่รักษาภาพลักษณ์เลยสักนิด

เมื่อดื่มสุราชั้นดีจนหมดกา เขาก็โยนกาสุราลงทะเล แล้วยกมือเช็ดเคราที่เปียกน้ำ ดวงตาเปล่งประกายสดใส รีบเขย่าระฆังดาราในมือ : ถ้านายท่านมีอุดมการณ์ต่อใต้หล้า แล้วเหตุใดจึงประเมินวีรบุรุษในใต้หล้าต่ำ?

จินม่านนั่งยกจอกสุราอยู่ตรงข้าม จู่ๆ ก็ได้เห็นอีกด้านที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาของหยางชิ่ง กอปรกับลักษณะที่องอาจผึ่งผายอย่างนั้น ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมองจนตกตะลึง

เหมียวอี้ : พูดแบบนี้ได้ยังไง ข้าเคยประเมินวีรบุรุษในใต้หล้าต่ำตั้งแต่เมื่อไรกัน?

หยางชิ่ง : ในเมื่อนายท่านไม่ได้ประเมินต่ำ ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ มีวีรบุรุษนับไม่ถ้วน ขอเพียงนายท่านมีปณิธานที่จะรับสมัคร แค่ชั่วโบกมือก็รับวีรบุรุษได้เป็นแสนแล้ว ยังกังวลว่าจะไม่มีคนให้ใช้งานอีกเหรอ?

เหมียวอี้มองไม่เห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นของหยางชิ่งในตอนนี้ แต่กลับรู้สึกได้ว่าหยางชิ่งดูองอาจผึ่งผายอย่างที่พบเห็นได้ยาก จึงถามว่า : วีรบุรุษนับแสนอยู่ที่ใด? ท่านบุรุษโปรดชี้แนะข้า!

หยางชิ่ง : ถึงแม้จะพิจารณาเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะได้ แต่ก็เห็นผลช้าเกินไป อีกทั้งยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องชอบธรรม กองทัพของราชันผู้สง่าผ่าเผยจะเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกรได้ยังไง ถ้าดึงเข้ามาก็มีแต่จะเพิ่มเสียงหัวเราะเยาะ ดังนั้นจึงใช้เป็นกำลังพลสำรองได้ แต่ใช้เป็นกำลังพลหลักไม่ได้ หลักการนี้ก็เหมือนสมาคมวีรชนในมือตำหนักสวรรค์ ดังนั้นไม่รู้รับกำลังพลชุดหนึ่งจากตำหนักสวรรค์ดีกว่า ถ้าทำแบบนี้ยังสามารถประหยัดค่าจ้างพื้นฐานได้บางส่วน ไม่อย่างนั้นทรัพยากรที่สิ้นเปลืองกับทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ

เหมียวอี้ : ที่พูดก็มีเหตุผล เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่เต็มใจมาอยู่ที่ตลาดผี อยู่ที่นี่ไร้อิทธิพลไร้อำนาจ ไม่มีทรัพยากรให้ตักตวง ไม่มีอนาคต เกรงว่ามาแล้วคงจะไม่ต่างอะไรกับพวกคนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคก่อนหน้านี้ ทำงานเช้าชามเย็นชาม เรียกใช้ไม่สะดวก

หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก พวกที่มีอุดมการณ์ก็ยังมีอยู่

เหมียวอี้ : ต่อให้ตำหนักสวรรค์ยินดีจะแบ่งสรรกำลังพลให้ข้า แต่เกรงว่าคงจะไม่แบ่งคนที่ใช้งานได้เรื่องสักเท่าไร

หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก ก็ต้องดูว่านายท่านจะหามาได้ยังไง

เหมียวอี้ : ต่อให้ได้คนมากแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าในนั้นจะมีทรายปนอยู่เยอะขนาดไหน ไม่รู้ว่ามีสายลับปนอยู่เท่าไร ถึงตอนนั้นคงถูกคนอื่นจับตาดูทุกอากัปกิริยา ตอนนี้ยังมีแค่ตระกูลโค่วจับตาดู ครั้งหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีสายลับจากอีกกี่ตระกูล

หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก ยังไม่ต้องพูดถึงการตัดขาดสายลับไปเลย แต่ส่วนใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงได้

พูดคำว่า ‘ไม่แน่หรอก’ ติดกันสามครั้ง ทำให้เหมียวอี้ประหลาดใจมาก เขารู้ว่าหยางชิ่งไม่ใช่คนคุยโวโอ้อวดอย่างนั้น ในเมื่อพูดแล้วก็แสดงว่าต้องยิงธนูโดยมีเป้าแน่นอน จึงรีบถามว่า : เป็นไปได้เหรอ?

หยางชิ่ง : ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ ไม่รู้ว่ามีนักพรตตั้งเท่าไรที่วรยุทธ์ไม่อ่อนแอแต่กลับกลุ้มใจที่ไร้โอกาสแสดงความสามารถ เป็นนักพรตระดับบงกชทองกับบงกชรุ้งแท้ๆ แต่กลับถูกจัดให้เป็นเทพแห่งภูผา เทพคงคา เทพเจ้าเฝ้าประตูไม่รู้ตั้งเท่าไร นายท่านไม่เคยได้ยินมาก่อนเชียวเหรอ? คนพวกนี้เข้ามาอยู่ระบบตำหนักสวรรค์แล้วไม่มีเส้นสายภูมิหลัง ทั้งยังอยู่ไม่เป็น ดังนั้นจึงไม่มีวันได้ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสามารถใช้งานคนพวกนี้ได้ ในจำนวนนั้นไม่ขาดคนที่มีอุดมการณ์อยู่แล้ว ถามหน่อยว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นสายลับของคนอื่นได้ยังไง ตำหนักสวรรค์มีคนช่วยนายท่านซาวล้างจนสะอาดเพื่อรอให้นายท่านไปฉกฉวยตั้งนานแล้ว นายท่านจะพลาดความปรารถนาดีที่ตำหนักสวรรค์รอคอยมานานแล้วได้ยังไง? ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ไร้อำนาจอิทธิพล ไร้ทรัพยากรให้ตักตวงอยู่แล้ว อนาคตก็ไม่มี ต่างอะไรกับมาตลาดผีล่ะ หลังจากรวมตัวกันติดตามนายท่านแล้ว อย่างน้อยก็ยังพอมองเห็นความหวังบ้าง บางครั้งชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่จุกจิกน่ารำคาญ แต่บางครั้งก็เป็นแรงช่วยสนับสนุนได้ ต้องดูว่านายท่านจะใช้งานยังไง  ขอเพียงเป็นคนที่มีอุดมการณ์ พวกเขาจะเมินเฉยชื่อเสียงบารมีบนสนามรบของนายท่านได้เหรอ? แค่รอให้นายท่านยืนประกาศจากที่สูง ก็ย่อมมุ่งหน้ามาขอพึ่งพาทำงานรับใช้อยู่แล้ว!

ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็เลือดร้อนพุ่งพล่าน เขาที่เดิมทีนั่งสมาธิพลันกระโดดพรวดลงจากเตียง แล้วเดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ ใช่แล้ว ทำไมตนนึกไม่ถึงว่ายังมีคนพวกนี้อยู่?

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันงงทันที ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นบ้าอะไรอีกแล้ว แต่พอเห็นเขามีท่าทางร้อนรนตื่นเต้น ก็เดาออกแล้วว่าหยางชิ่งอาจจะมีความคิดดีๆ อะไรสักอย่าง นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเบาๆ

หลังจากตื่นเต้นดีใจเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็สงบสติอารมณ์อีก ถามว่า : มีคนเป็นแสนเลยเหรอ?

หยางชิ่ง : อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย คนตำแหน่งต่ำที่ไม่ประสบความสำเร็จมีเยอะมาก หนึ่งล้านก็ยิ่งสบายมาก แน่นอน ถ้านายท่านตั้งเงื่อนไขสูงเกินไปก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำให้ไม่เจอคนที่เหมาะสม แล้วนายท่านก็จะใช้งานทุกคนไม่ได้ด้วย ต้องเลือกคนให้ดี แต่คนประเภทนี้ก็เลือกง่าย ยกตัวอย่างเช่นเทพแห่งภูผาคนไหนที่อยู่ในตำแหน่งนานๆ แค่ไปสืบมาก็ยืนยันได้แล้ว สิ่งนี้ปลอมแปลงไม่ได้ง่ายๆ หกลัทธิยังมีความสามารถด้านนี้อยู่บ้าง ดังนั้นหนึ่งล้านไม่เอาหรอก ต้องการแค่คนที่เหมาะสมที่สุด หนึ่งแสนกำลังดี!

เหมียวอี้ : จำนวนจำกัดของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมีเพียงหนึ่งพันคน ตำหนักสวรรค์จะให้ข้าหนึ่งแสนคนได้ยังไง?

หยางชิ่ง : ขอเพียงนายท่านต้องการจริงๆ ข้าน้อยวางแผนนิดหน่อยก็ช่วยให้นายท่านได้มาง่ายๆ แล้ว ก็ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!

เหมียวอี้ : ทำไมจะไม่กล้าล่ะ ข้าจะล้างหูรอฟังแผนเด็ดของท่านบุรุษ!

หยางชิ่ง : ง่ายมากเลย ไม่ต้องให้นายท่านไปเสี่ยงชีวิต นายท่านแค่ต้องทำอย่างนี้…

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ถือระฆังดาราเงียบอยู่นานมาก สุดท้ายก็เงยหน้าถอนหายใจยาวด้วยความอัดอั้น แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอยู่อย่างนั้นไม่หยุด

อวิ๋นจือชิวเห็นเขาดีใจแล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างหดหู่อีก จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาถาม “เป็นอะไรไป?”

“หยางชิ่งมอบแผนเด็ดให้ข้าแผนหนึ่ง…” เหมียวอี้เล่าสิ่งที่หยางชิ่งบอกให้นางฟังค่ร่าวๆ

หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็เงียบไปนานมาก สุดท้ายก็กล่าวอย่างตกใจว่า “นายท่านได้หยางชิ่งคนเดียวก็เท่ากับได้กองทัพเกรียงไกรนับล้าน!”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset