พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1709 ที่แขกที่มาไม่บ่อยถูกสายตาขับไล่

ในเมื่อความขัดแย้งระหว่างคู่รักถูกแก้ไขแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่กลับทั้งๆ ที่เพิ่งมาถึง อยู่พักต่อสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล สถานที่พักก็เป็นบ้านต้นไม้ที่เฟยหงเคยพักอยู่สวนกลางเขียวขจีในตอนแรก เพียงแต่แม่เฒ่าลวี่กำชับไว้ก่อนแล้ว ว่างานเลี้ยงวันเกิดของท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วกำลังจะมาถึง ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ล้วนมาเยือนอุทยานหลวงด้วยตัวเอง จึงบอกให้คู่รักคู่นี้อยู่ที่สวนกลางเขียวขจี อย่าเพ่นพ่านไปไหน จะได้ไม่เกิดปัญหาอะไรโดยไม่จำเป็น

รับปากก็ส่วนปาก ส่วนเหมียวอี้จะรักษาสัญญาหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

วันต่อมา กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาตรวจสอบในสวนกลางเขียวขจี ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์กำลังจะเสด็จมาที่อุทยานหลวงด้วยตัวเอง การตรวจสอบประเภทนี้ถือเป็นธรรมเนียม ตรวจดูว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่

ผู้ที่นำกลุ่มมาเป็นชายหนุ่มร่างผอม ชื่อว่าถงเยว่ เป็นผู้บัญชาการคนหนึ่งใต้สังกัดแม่ทัพภาคอุทยานหลวง เหมียวอี้อาจจะจำเขาไม่ได้สักเท่าไร แต่เขาย่อมจดจำเหมียวอี้ได้อยู่แล้ว เพราะเขาคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตของธงพยัคฆ์จากศึกน่านฟ้าระกาติง

หลังจากกองมังกรดำถูกสลายไปแล้ว ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ของธงพยัคฆ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงกันหมด ยกตัวอย่างเช่นถงเยว่ เดิมทีเป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งเท่านั้น ทุกวันนี้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการแล้ว ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็เลื่อนตำแหน่งต่อเนื่องกันสองขั้น

เหมียวอี้กับเฟยหงถูกค้นตัว จะบอกว่ามีปัญหาอะไรก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยการที่ทั้งสองรากฏตัวที่สวนกลางเขียวขจีก็นับว่าแปลกแล้ว

แสงแดดส่องทะลุป่าไม้ที่หนาทึบ ทิ้งเงาที่ลายพร้อยและเงียบสงัดไว้ในป่า ถงเยว่ที่เดินตามหลังทั้งสองคนเดินออกมาจากเงาลายพร้อยที่ให้ความรู้สึกลี้ลับ มายืนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างเงียบๆ

ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย เหมียวอี้รู้สึกเพียงว่าคนคนนี้คุ้นหน้า รู้ว่าเคยเจอมาก่อน แต่ในปีนั้นมีลูกน้องเยอะมาก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจดจำทุกคน แต่เขาก็รู้ว่าชายร่างผอมตรงหน้าก็คือถงเยว่

ลูกน้องกลุ่มหนึ่งของถงเยว่กำลังมองเขา ต่างก็รู้ว่าเขาคือกำลังพลเก่าของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นผู้รอดชีวิตจากธงพยัคฆ์ที่นำโดยหนิวโหย่วเต๋อ และเป็นเพราะศึกนั้นเช่นกันที่ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งไวขนาดนี้ เมื่อได้เจอผู้บังคับบัญชาเก่าอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการท่านนี้จะรู้สึกอย่างไร

ส่วนคนกลุ่มนี้ที่ได้เจอเหมียวอี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร ท่านนี้คือแม่ทัพภาคกองมังกรดำคนก่อน สร้างศิลาจารึกอันสูงใหญ่ที่กองทัพองครักษ์ยากจะทำให้เหนือกว่าได้ แต่ตอนนี้กลับมีข่าวลือว่ากลายเป็นคนหดหู่หมดอาลัยตายอยากแล้ว ดูถูกตัวเองและยอมล้าหลัง ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ

“ถงเยว่!” ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็ถามพร้อมยิ้มเรียบๆ

ทุกคนแอบประหลาดใจ ในปีนั้นคนของกองมังกรดำมเยอะมาก ส่วนถงเยว่ก็เป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ยังจำชื่อถงเยว่ได้ สิ่งนี้ไม่ง่ายเลย

เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง ถงเยว่ก็เรียกได้ว่าแอบสะเทือนอารมณ์ ในหัวฉายภาพศึกน่านฟ้าระกาติงฉากแล้วฉากเล่า ฝังลึกตราตรึงอยู่ในใจ ถึงแม้จะรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจ แต่กลับพยายามควบคุมสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนแปลง กุมหมัดคารวะ “นายท่าน!”

แม่เฒ่าลวี่ที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอจะมองออกแล้วว่าเป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ในกองทัพองครักษ์

“ไม่ต้องมากพิธี” เหมียวอี้ผายมือ

“พวกเขาสองคนมาที่นี่ผ่านรายงานบันทึกไว้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” แม่เฒ่าลวี่เอ่ย

ถงเยว่มองแม่เฒ่าลวี่แวบหนึ่ง แล้วก็มองเหมียวอี้อีก “ถงเยว่อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องแยกงานออกจากเรื่องส่วนตัว นายท่านได้โปรดให้อภัย ให้ถงเยว่ตรวจสอบสักหน่อยขอรับ”

“ได้อยู่แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า

ถงเยว่หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง หลังจากรอสักครู่จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็พยักหน้าให้ลูกน้อง กำลังพลที่ล้อมเหมียวอี้กับเฟยหงถึงได้ถอนตัวออกไป

จากนั้นถงเยว่ก็ให้พวกลูกน้องแยกย้ายกันไปตรวจค้นต่อ ส่วนเขาก็ติดตามทักทายอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ฉวยโอกาสตอนที่คนไม่ทันสังเกตแลกระฆังดาราติดต่อกับเหมียวอี้

หลังจากรอจนพวกลูกน้องทยอยกลับมาแล้ว ถงเยว่ก็กล่าวอำลา แล้วนำกำลังพลออกไป

เหมียวอี้หรี่ตามองส่ง เขาต้องการรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวคร่าวๆ ในอุทยานหลวง แต่ทางอุทยานหลวงไม่มีใครช่วยเขา ตอนหลังสืบพบว่าถงเยว่ที่เป็นลูกน้องเก่าในกองมังกรดำกำลังเข้าเวรที่อุทยานหลวงพอดี อวิ๋นจือชิวจึงให้คนติดต่อกับถงเยว่ ให้เขาให้ความร่วมมือกับเหมียวอี้

สำหรับลูกน้องเก่าพวกนี้ เมื่อเทียบกันแล้วเหมียวอี้ค่อนข้างวางใจ อวิ๋นจือชิววางแผนจัดการมาตลอด ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ อย่างน้อยก็ดึงทั้งหมดลงน้ำด้วยกันแล้ว ทุกคนขึ้นเรือโจรของเหมียวอี้แล้ว ถ้าให้กองทัพองครักษ์รู้ว่าคนพวกนี้แอบรับทรัพยากรจากคนอื่นเป็นเวลานาน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว

เหมียวอี้เคยคิดว่าในอนาคตอาจจะใช้งานคนพวกนี้ได้ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้งานเร็วขนาดนี้

สองวันหลังจากนั้น ในวันที่จัดงานเลี้ยง ขุนนางที่สามารถเข้าประชุมในราชสำนักได้ทยอยกันมาถึงเรือนพักในอุทยานหลวง

พอทางนั้นมีความเคลื่อนไหว เหมียวอี้ก็ให้เฟยหงไปเกาะแกะแม่เฒ่าลวี่ทันที จะพูดว่าเกาะแกะไม่ได้หรอก แค่ไปคุยเล่นกับแม่เฒ่าลวี่ ตัดแต่งต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้นเอง ส่วนเขาก็กำเดินเล่นที่สวนกลางเขียวขจี แต่สุดท้ายกลับจากไปเงียบๆ

รอจนกระทั่งเกี้ยวมังกรกับเกี้ยวหงส์เหาะลงจากฟ้า ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์มาถึงพระตำหนักอุทยาน พระตำหนักอุทยานก็เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูยืนแยกเป็นสองฝั่ง เซี่ยโห้วลิ่งนำคนของตระกูลเซี่ยโห้วรับแขกอยู่ตรงประตู

ในเรือนพักโดยรอบมีเงาคนกลุ่มใหญ่ทยอยเหาะออกมาทันที กลุ่มขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์นำครอบครัวมาถึงแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม ส่วนแขกที่มาก็ทยอยกันมอบของขวัญและเข้าไปด้านใน

พอพระตำหนักอุทยานเริ่มรับแขก เหมียวอี้ที่คำนวณเวลาไว้แม่นยำแล้วก็เหาะเข้ามาจากฟ้าที่อยู่ไกลๆ มาเหยียบลงข้างหลังกลุ่มคนนอกพระตำหนัก แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

“หนิวโหย่วเต๋อ…” หลังจากทุกคนเห็นเหมียวอี้แล้ว ก็ส่งเสียงอุทานอย่างประหลาดใจ

มีบางคนมองเขา มีบางคนมองตามสายตาเขา เห็นเหมียวอี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉยกำลังเดินตามหลังกลุ่มคนอย่างช้าๆ

ผ่านไปไม่นาน นอกประตูใหญ่ของพระตำหนักอุทยานก็เงียบกริบไร้เสียง คนที่กำลังเข้าประตูหยุดเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนพากันมองมาทางเหมียวอี้

กลุ่มคนของตระกูลอิ๋ง ฮ่าว ก่วง โค่วที่เข้าไปก่อนแล้ว พอได้ยินข่าวก็รู้สึกงงงัน ทุกคนหันตัวลอยขึ้นฟ้า แล้วมองไปนอกประตูตำหนัก เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ข้างหลังจริงๆ ด้วย

เม่ยเหนียงกับก่วงเม่ยเอ๋อร์สบตากันเลิกลั่ก ในดวงตาก่วงเม่ยเอ๋อร์ฉายแววตื่นเต้นดีใจ ขระเดียวกันก็ฉายแววกังวลอีก

อิงอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ ก่วงจวินอัน โค่วเจิง สี่คนที่ได้ขึ้นเป็นท่านโหว ถึงแม้ตอนประชุมราชสำนักจะไม่มีสิทธิ์ยืนแถวหน้า ทำได้เพียงยืนแถวหลัง แต่ทั้งสี่ก็เป็นตัวแทนของสี่อ๋องสวรรค์ ทุกการกระทำคำพูดสามารถเป็นตัวแทนท่าทีของสี่อ๋องสวรรค์ในราชสำนักได้

ถึงแม้สี่อ๋องสวรรค์จะไม่ได้มาเข้าร่วมอวยพรวันเกิด แต่การที่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักให้ทั้งสี่นำครอบครัวเข้าไปก่อน ก็พอจะมองอะไรบางอย่างออกแล้วนิดหน่อย

อิงอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อกับก่วงจวินอันสบตากันอย่างแปลกใจ แต่โค่วเจิงกลับสีดำมืดลงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้แปลกใจว่าเหมียวอี้มาโผล่ที่อุทยานหลวงได้อย่างไร ทำไมนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเข้ามาประสมโรงในงานวันเกิดด้วย

เซี่ยโห้วลิ่งจ้องประเมินเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วก็ลอยเหยียบลงพื้นอีกครั้ง ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังคงรอยยิ้มสดใสมีมารยาทเอาไว้ แล้วกุมหมัดคารวะต่อทุกคนที่กำลังถ่ายทอดเสียงคุยกันอยู่ “เชิญ! เชิญข้างใน!”

จนกระทั่งตอนนี้ ทุกคนที่ยืนออกันตรงหน้าประตูเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองขวางประตูอยู่ จึงทยอยกันมอบของขวัญให้แล้วเดินเข้าไป เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง หลังจากเข้ามาแล้วส่วนใหญ่ก็หยุดอยู่กับที่ ไม่ได้เข้าไปต่อ ต่างก็กำลังมองจากข้างใจ

รอจนกระทั่งเหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็มองสำรวจศีรษะจดเท้าพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพภาคหนิวให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีอะรจะชี้แนพ?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “หนิวบังเอิญอยู่ที่อุทยานหลวงพอดี บังเอิญตรงกับงานวันเกิดท่านปู่สวรรค์ หนิวกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นสหายรู้ใจ สนิทกันเหมือนพี่น้อง ตอนนี้เป็นงานวันเกิดของผู้ใหญ่บ้านพี่น้อง ในเมื่อผู้น้อยมาถึงแล้ว มีหรือที่จะไม่มาอวยพรวันเกิด แต่ดูท่าแล้ว หนิวเหมือนจะไม่ได้รับการต้อนรับนะ หนิวเองก็รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง มอบน้ำใจเล็กน้อยเป็นการอวยพร หวังว่าจะไม่รังเกียจ มอบให้แล้วก็จะไป ไม่กล้ารบกวน” พูดจบก็พลิกมือมอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้

“ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก แขกที่นำของขวัญเข้ามาประตูมาด้วย มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยินดีต้อนรับ” เซี่ยโห้วลิ่งรับของขวัญอย่างร่าเริง แล้วยื่นมือเชิญเข้าข้างใน กล่าวเสียงดังว่า “แม่ทัพภาคหนิว เชิญด้านใน”

เหมียวอี้เหลือบตามองสายตาแต่ละคู่ข้างในที่กำลังจ้องขับไล่เขา เหมือนจะลังเลนิดหน่อยว่าจะเข้าไปดีหรือไม่

“เชิญ!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวอย่างใจกว้างตรงไปตรงมาอีกครั้ง

เหมียวอี้สูดหายใจลึก แล้วกุมหมัดคารวะ ทำท่าเหมือนแข็งใจดินเข้าไป

ที่จริงเขาเองก็รู้ ขอเพียงคำนวณเวลาปรากฏตัวตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่น่าจะปฏิเสธแขกที่มาร่วมอวยพรงานมงคลท่ามกลางสายตาฝูงชน เพราะเส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่กลัวว่าเหมียวอี้จะทำอะไร เมื่อมีความมั่นใจก็มีน้ำใจ!

ถ้าถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าข้างในจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงเดินหมากอันตรายตัวอื่น

เซี่ยโห้วลิ่งหันกลับมามอง เห็นทุกคนมีท่าทีกระซิบกระซาบต่อเหมียวอี้ที่เดินช้าๆ เข้ามา ความรู้สึกขับไล่แบบนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว ราวกับกันเหมียวอี้ไว้อีกโลกหนึ่ง เหมียวอี้ถูกลิขิตให้เป็นคนโดดเดี่ยวเมื่อปรากฏตัวที่นี่

เขายิ้มเรียบๆ แล้วหันกลับมารับแขกต่อไป

เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่คอยวิ่งเต้นเดินเข้ามาแล้ว เข้ามากุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “พี่หนิว เชิญทางนี้”

เป็นท่าทีที่ทุกคนมีต่อเหมียวอี้ชัดเจนเกินไป เขากังวลว่าเหมียวอี้จะรับไม่ไหวแล้วก่อเรื่อง วันนี้เป็นงานวันเกิดบรรพชน กอปรกับเหมียวอี้เอ่ยถึงเซี่ยโห้วหลงเฉิงผู้เป็นพี่ชายทำให้เขาค่อนข้างซาบซึ้ง เขาถึงได้วิ่งมานำทางให้ กลัวว่าเหมียวอี้จะเข้ากับกลุ่มคนไม่ได้ หมายจะพาไปพักผ่อนตรงจุดที่ลับตาคน

“รอประเดี๋ยว!” เหมียวอี้บอกใบ้ แล้วเอียงหน้ามองไปทางโค่วเจิงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน รวมทั้งคนในครอบครัวตระกูลโค่วด้วย

ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ได้มา แต่ญาติสายตรงของตระกูลโค่วที่ไม่ติดธุระก็มากันหมด โค่วเจิงมาทั้งครอบครัว โค่วฉินมาทั้งครอบครัว โค่วเหมี่ยนมาทั้งครอบครัว แล้วก็มีโค่วอิง โค่วเชี่ยน โค่วอวี้พวกนางพาลูกสาวลูกชายมาแล้วเช่นกัน

สำหรับเหมียวอี้ ถ้าไม่ได้เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเห็นแล้วไม่เข้าไปทักทายสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ถึงอย่างไรก็ยังมีคำว่า ‘ในนาม’ อยู่

แต่หลังจากเห็นเหมียวอี้เดินมาทางนี้ แต่ละคนของตระกูลโค่วก็แสดงสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย รวมทั้งโค่วเหวินหลานที่ค่อนข้างสนิทกับเหมียวอี้ด้วย เขาหลบสายตานิดหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ คนในบ้านบอกไว้แล้ว ว่าในภายหลังห้ามคบหากับหนิวโหย่วเต๋ออีก

กลุ่มพี่น้องที่ยามปกติเคยอบอุ่นเป็นมิตรกับเหมียวอี้และอวิ๋นจือชิว ชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นเหินห่างไร้ที่เปรียบ

“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม…” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทักทายพร้อมกัน

“อื้ม มาแล้วเหรอ” โค่วเจิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย นับว่าภายนอกยังมองหน้ากันได้

ทว่าโค่วฉินกลับกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าถ่อมาที่นี่ทำไม?”

โค่วเจิงรีบดึงแขนเขาเอาไว้ บอกใบ้ว่าอย่าพูดมาก ขนาดเจ้าภาพยังให้เข้ามาโดยไม่ถือสา ในเวลานี้ถ้าทะเลาะกันขึ้นมาอาจจะทำให้คนหัวเราะเยาะตระกูลโค่วได้

โค่วฉินที่เหมือนได้รับการเตือนตระหนักได้แล้ว ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วไม่พูดอะไรอีก

เหมียวอี้กวาดสายตามองทุกคนของตระกูลโค่ว พบว่าทั้งรุ่นเล็กรุ่นเล็กต่างก็หลบสายตาเขา เป็นสุยฉูฉู่ที่มองเขาด้วยแววตาที่เหมือนแฝงความคับแค้น ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้เขาเข้าใจแล้ว ตระกูลโค่วคิดหาทางพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวง แต่โค่วเจิงรู้ว่าเรื่องล่าสัตว์น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นเพราะเขา ดูจากท่าทางสุยฉูฉู่ก็เหมือนจะรู้แล้ว ด้วยความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชาย คากว่าคงแค้นเหมียวอี้แล้ว

ในหัวเหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ถ้าในเวลานี้มอบศีรษะของโค่วเหวินไป๋ให้ ก็ไม่รู้ว่าสุยฉูฉู่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

เหมียวอี้ที่โดนเมินใส่กุมหมัดคารวะต่อทุกคนของตระกูลโค่วอีกครั้ง ถือว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว จึงหันตัวเดินจากไป

เมื่อได้เห็นกับตาว่าเขาถูกปฏิบัติใส่อย่างเย็นชา เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่ยื่นมือเชิญก็แอบทอดถอนใจ

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงพึมพำกับมารดา “คนตระกูลโค่วทำเกินไปแล้ว!”

เม่ยเหนียงกลอกตามองนาง “เจ้าจะเข้าใจอะไร?”

ในสวนดอกไม้ด้านหลังพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ท้องใหญ่กำลังอยู่ทางซ้ายและขวาของเซี่ยโห้วท่า ทั้งสามเดินเล่นช้าๆ ด้วยกัน วันนี้ประมุขชิงและราชินีสวรรค์ไว้หน้าเซี่ยโห้วท่าเต็มที่ เซี่ยโห้วท่าใส่ชุดฉลองงานมงคลเช่นกัน สวมชุดผ้าแพรสีแดง

“ระวังหน่อยๆ” ทุกครั้งที่เจอทางเลี้ยว เซี่ยโห้วท่าก็จะโวยวายเป็นกระต่ายตื่นตูม แล้วยื่นมือประคองแขนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทะนุถนอมสุดๆ

ถึงแม้ปากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะบอกว่าตัวเองไม่ได้อ้อนแอ้นขนาดนั้น แต่สีหน้ากลับสุขกายสบายใจมาก ท่านนี้คือหัวหน้าตระกูลของตระกูลเซี่ยโห้ว!

ทั้งสามกำลังคุยกันอยู่ตรงนี้ ซ่างกวนชิงที่เดินตามอยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไหลเก็บระฆังดารา รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า เจียดเวลาถ่ายทอดเสียงรายงานประมุขชิง

หลังจากฟังจบประมุขชิงก็หัวเราะเบาๆ สายตาย้ายไปอยู่บนตัวเซี่ยโห้วท่า “ท่านปู่สวรรค์ ท่านเดาสิว่าใครมาร่วมอวยพรวันเกิดให้ท่าน?”

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าอย่างเลอะเลือนด้วยความชรา “เรื่องนี้ข้าเดาไม่ถูกจริงๆ หรือว่าสี่อ๋องสวรรค์มาแล้ว?”

ประมุขชิงตอบว่า “เต่าหัวหดสี่ตัวนั่นจะกล้ามาเสียที่ไหน หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคตลาดผีมาแล้ว นี่เป็นแขกที่มาไม่บ่อยนะ” ในใจเขาสงสัยนิดหน่อย หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อเดินไปเจอทางตัน เลยอยากประจบและขอพึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้ว?

“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่ากระจ่างในฉับพลัน แล้วพยักหน้าอย่างเชื่องช้าเนื่องจากความชรา “คนหนุ่มสาวมีความตั้งใจแล้ว มีความใส่ใจแล้ว”

“เขาจะถ่อมาทำไม?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับขมวดคิ้ว นางรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมาที่อุทยานหลวงแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาประสมโรงที่งานเลี้ยง ทหารยามของพระตำหนักอุทยานมัวไปทำอะไรกิน ทำไมปล่อยให้ใครเข้ามาก็ได้?

เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ว่า “ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก” ในน้ำเสียงเหมือนจะปลอบใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่

ทั้งสามเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลังจนกระทั่งซ่างกวนชิงมาเตือนว่าถึงเวลามงคลแล้ว ถึงได้เดินไปทางตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน

งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา ราชินีสวรรค์กับประมุขชิงนั่งเคียงกันอยู่เบื้องสูง ไม่ได้ไปรับแขกที่วังหลัง วันนี้ไม่แบ่งแยกนอกใน นอกจากสนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่กลับมาร่วมอวยรวันเกิดและกลุ่มสนมของวังหลังที่ไม่สะดวกจะพบกับคนนอกจึงต้องอยู่ในวังหลังของพระตำหนักอุทยาน คนที่เหลือก็รวมกลุ่มนั่งตามครอบครัว

ตรงตำแหน่งแรกด้านล่างมองไม่เห็นเงาสี่อ๋องสวรรค์แล้ว เม่ยเหนียงนำลูกสาวก่วงเม่ยเอ๋อร์ครองตำแหน่งแรก ส่วนพวกจอมพล เทพประจำดาวและท่านโหว ขอเพียงยังมีฮูหยินอยู่ ครั้งนี้ล้วนเข้ามานั่งด้านข้างในตำหนักได้ ยกตัวอย่างเช่นจาหรูเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วน

ส่วนในครั้งนี้โต๊ะของเซี่ยโห้วท่าก็ถูกจัดวางไว้บนบันไดเป็นกรณีพิเศษ หันข้างให้ประมุขชิงและขุนนางใหญ่ในตำหนัก

นอกตำหนัก เรื่องจัดตำแหน่งให้เหมียวอี้นั่งกลับทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วปวดหัว คาดว่าคงไม่มีบ้านไหนรับไว้ จะให้เขานั่งอยู่คนเดียวก็ไม่คือ ไม่ใช้หลักการรับแขกของตระกูลเซี่ยโห้วผู้สง่าภูมิฐาน

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset