พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1731 รอไปก่อน

เหมียวอี้โบกมือเล็กน้อย “เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”

“ขอรับ!” บัณฑิตเอ่ยรับแล้วถอยไป ถือโอกาสปิดประตูด้วย ฝั่งเขางานยุ่งมากจริงๆ

ในห้องเหลือเหมียวอี้อยู่คนเดียว ชิงเยว่กับหลงซิ่นสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าหนุ่มนี่ใจกล้าไม่เบา ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน จะไม่กลัวเชียวหรือว่าพวกเขาจะถูกอำนาจฝ่ายต่างๆ ส่งมาใส่ร้ายหรอกเหรอ?

“เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” ชิงเยว่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า

“เป็นข้าเอง!” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “ทั้งสองมาพบข้าด้วยความจริงใจหรือเปล่า?”

ทั้งเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ ย่อมไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน ใช้สองมือดึงหน้าปากบนใบหน้าลงมา เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว

สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าจะตัดสินได้ยังไงว่าฐานะของพวกเจ้าเป็นเรื่องจริง?”

หลงซิ่นบอกว่า “ถ้ามีความจำเป็น พวกเราก็สามารถปรากฏร่างเดิมได้  คาดว่านักพรตปีศาจในใต้หล้าที่วรยุทธ์พอๆ กับพวกเรา คงหาคนอื่นที่มีปัจจัยสอดคล้องกันได้ยากแล้ว”

ในขณะนี้เอง ด้านนอกมีเสียงห้ามของหยางเจาชิง “นายท่านกำลังรับแขก นายท่านตงฟางโปรดรอ…”

“หลีกไป!” เสียงของตงฟางเลี่ยดังขึ้น

เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ว่าคนที่ควรจะมาได้มาถึงแล้ว

ชิงเยว่กับหลงซิ่นเพิ่งจะหันกลับไปมอง ตงฟางเลี่ยก็นำคนผลักประตูเข้ามาแล้ว พอกวาดสายตามองในห้อง เขาก็ทำสีหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เบิกตากว้าง สายตาย้ายไปมาระหว่างหน้าของชิงเยว่กับหลงซิ่นไม่หยุด ขณะเดียวกันก็เริ่มทำสายตาเหลือเชื่อทีละนิด

ชิงเยว่กับหลงซิ่นค่อยๆ หันตัวไปมองเขา

“นายท่าน ข้า…” หยางเจาชิงทำท่ากังวลมาก เขาจะขัดขวางตงฟางเลี่ยไม่ให้บุกเข้ามาได้อย่างไร มิหนำซ้ำอวิ๋นจือชิวก็สั่งไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าไม่ต้องดันทุรังขัดขวาง แค่แสดงละครพอดเป็นพิธีก็พอ

เหมียวอี้โบกมือ “ไม่มีงานของเจ้าแล้ว ออกไปก่อนเถอะ” หยางเจาชิงถอยออกไปเงียบๆ

“ตงฟางเลี่ย!” หลงซิ่นกล่าวช้าๆ

ตงฟางเลี่ยเหมือนจะครุ่นคิดก่อนสักประเดี๋ยว เสร็จแล้วถึงได้เอ่ยชื่อทั้งสองออกมา “ชิงเยว่ หลงซิ่น?”

“ตงฟางเลี่ย ไม่ได้เจอกันเสียนาน” ชิงเยว่กล่าว

ความรู้สึกตกตะลึงในใจตงฟางเลี่ยนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ย่อมเดาออกถึงจุดประสงค์ที่ทั้งสองมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าสองคนที่ชื่อหายไปจากสังคมหลายปีจะมาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่สะเทือนใต้หล้าหรอกหรือ? ถึงแม้จะเดาออกถึงจุดประสงค์ในการมาของทั้งสอง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามยืนยันให้แน่ใจ “พวกเจ้า…อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าก็มาสมัครเหมือนกัน?”

ชิงเยว่แสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? ไม่พอใจเหรอ? พวกเราสองคนก็เป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินในสงกัดของสี่ทัพเหมือนกัน จะมาสมัครไม่ได้เชียวเหรอ? เหมือนตำหนักสวรรค์จะไม่จำกัดวรยุทธ์ของผู้สมัครหรอกมั้ง?” น้ำเสียงฟังดูไม่เกรงใจเลย พวกเทพแห่งภูผาต่ำต้อยที่กล้าพูดอย่างนี้กับรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์ เกรงว่าทั้งใต้หล้าคงจะมีไม่เยอะ

ดูจากสถานการณ์ ก็สามารถแน่ใจได้เลย เหมียวอี้พึมพำในใจว่า เป็นปีศาจเฒ่าสองตนนั้นจริงๆ

“นายท่านตงฟาง ไม่ทราบว่าบุกเข้ามาทำไม?” เหมียวอี้เอ่ยถามเช่นกัน

ตงฟางเลี่ยอ้างไปเรื่อยว่า “ข้าได้รับคำสั่งให้รักษาระเบียบขั้นตอนในการรับสมัครครั้งนี้ พอได้ยินว่ามีคนที่มีตัวตนไม่ชัดเจนมาที่นี่ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะกังวลความปลอดภัยของแม่ทัพภาค จึงมาดูว่าเป็นใครกันแน่ ข้าพิจารณาเพื่อแม่ทัพภาคเช่นกัน หวังว่าจะไม่คิดมาก”

ไม่รอให้เหมียวอี้พูดต่อ หลงซิ่นก็พูดแขวะแล้วว่า “ไม่น่าเชื่อว่าตำหนักสวรรค์ส่งเจ้ามาคุ้มครองที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วยตัวเอง ดูท่าแล้ว การที่พวกเรามาขอพึ่งพาก็ไม่ถือว่าอยุติธรรมนัก”

ตงฟางเลี่ยยิ้มเจื่อนเล็กน้อย ถ้าคนทั่วไปกล้าพูดเหน็บแนมเขาอย่างนี้ เขาก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจเลยจริงๆ เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับสองคนนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนรู้จักเก่าแก่ อีกฝ่ายเก็บกดมาหลายปี จะพูดจาเหน็บแนมบ้างก็พอเข้าใจได้ จะว่าไปที่สิ่งที่ทั้งสองประสบก็ทำให้คนรู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน ทว่าเปลี่ยนให้ทั้งสองอยู่ในตำแหน่งเดิมในอดีตแล้วพูดอย่างนี้ เขาจะต้องเอาคืนแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแน่นอน ทว่าตอนนี้ทั้งสองไม่ได้วางมาดสูงส่งอะไร ตราบใดที่ทั้งสองไม่ได้ทำเกินไป เขาก็ไม่จำเป็นต้องถือสาเลยจริงๆ ตัวเองกำลังปฏิบัติหน้านี้ ไม่อยากสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น จึงเป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะเชิญก่อน “ไม่ได้เจอทั้งสองท่านมาหลายปี ต่อไปถ้าทั้งสองมีเวลาว่างและไม่รังเกียจ ก็ควรจะไปดื่มสุราแสดงน้ำใจไมตรีกันสักหน่อย”

ชิงเยว่กล่าวเสียงเรียบ “ก็ดี! เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน เกรงว่าจะมีคนกลัวเกิดเรื่อง อยากจะไล่พวกเราไปเร็วๆ แล้ว!” นางหันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนจะหมายถึงเขา  และเหมือนจะยั่วยุเขาด้วย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนพวกเจ้าคุยธุระกันแล้ว” ตงฟางเลี่ยกุมหมัดกล่าวอำลา แล้วหันตัวนำคนเดินออกไป

หลังจากมองส่งเขาจากไป จนกระทั่งประตูปิดแล้ว ทั้งสองก็หันตัวกลับมาอีกครั้ง หลงซิ่นถามว่า  “แม่ทัพภาคหนิว มีตงฟางเลี่ยเป็นพยานแล้ว คงไม่ต้องตรวจสอบตัวตนของพวกเราแล้วละมั้ง?”

“อาศัยวรยุทธ์ของทั้งสอง ทำไมถึงมาขอพึ่งพาหนิวผู้นี้?” เหมียวอี้ถามอย่างไม่ลนลาน

“ถ้าไม่กล้ารับไว้ ก็บอกมาตรงๆ” ชิงเยว่กล่าว

เหมียวอี้จคงบอกว่า “เกรงว่าวัดจะเล็กเกินไปจนทำให้ท่านมหาเทพทั้งสองลำบากน่ะสิ”

“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย พูดมาคำเดียว กล้ารับหรือไม่กล้ารับ?” ชิงเยว่ถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ต้องท้าข้าหรอก ไม่เกี่ยวว่ากล้าหรือไม่กล้า ข้าขอถามแค่คำเดียว ถ้าพวกเจ้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาข้า ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ตาม?”

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วหลงซิ่นก็ตอบว่า “เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าก็ย่อมให้เจ้าเป็นนายท่านสิ พวกเราสองคนเป็นผู้ตาม”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ถ้างั้นพวกเจ้าก็เปลี่ยนท่าทีเวลาพูดกับข้าก่อนเลย”

“…” ทั้งสองพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ก่อนที่ชิงเยว่จะบอกว่า  “เรื่องในภายหลังเดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่างน้อยตอนนี้พวกเราสองคนก็ยังไม่ใช่ลูกน้องเจ้า”

“งั้นเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

“แน่นอน” ทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ “หวังว่าพวกเจ้าจะจดจำสิ่งที่ตัวเองพูดในวันนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นข้ารับพวกเจ้าได้ ข้าก็เตะพวกเจ้าออกไปได้เหมือกนั้น ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ข้าจัดการพวกเจ้าสองคนหรอก ย่อมมีคนลงมือแทนอยู่แล้ว”

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้พูดจาวางโตจริงๆ เพียงแต่เรื่องความกล้าก็ไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน กล้าพูดกับพวกเขาสองคนอย่างนี้ ไม่กลัวว่าจะยั่วโมโหพวกเขาเลย

“เจ้าหมายความว่า เจ้าตอบตกลงรับพวกเราสองคนแล้วเหรอ?” หลงซิ่นถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าสองคนวรยุทธ์สูงเกินไป ข้าตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าต้องรายงานเบื้องบน ถ้าเบื้องบนไม่ขัดขวาง ก็ลงทะเบียนเข้าในรายชื่อจวนแม่ทัพภาคตลาดผีทันที” ที่จริงไม่ต้องรายงานขึ้นไปเบื้องบนก็ได้ ตราบใดที่อยู่ในกฎระเบียบ เขาก็ล้วนมีอำนาจตัดสินใจ ในการเดิมพันไม่มีการจำกัดสิ่งนี้ แต่ก็อย่างที่หยางชิ่งบอก ต้องดูท่าทีของวังสวรรค์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

“เจ้าหมายความว่า ยังต้องให้พวกเรากลับไปรอฟังข่าวอีกเหรอ?” ชิงเยว่ถาม

“ทั้งสองให้เกียรติมาเยือน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มิอาจไม่ไว้หน้า พักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคสักหน่อยเถอะ สามวันเท่านั้น อีกสามวันหลังจากนี้จะให้คำตอบพวกเจ้า” เหมียวอี้กล่าว

ทั้งสองสบตากันแล้วพยักหน้า ตอบตกลงแล้ว “ได้ รอแค่สามวัน”

“พวกเจ้าเองก็อย่ารีบดีใจเร็วเกินไปนัก ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไปซะก่อน ตอนนี้ยศพวกเจ้าต่ำไป ข้าเองก็ไม่มีความสามารถจะไปเลื่อนยศให้พวกเจ้าโดยไร้เหตุผล ถ้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าแล้วก็ต้องเริ่มจากยศปัจจุบันของเจ้า ถ้าตกลงก็อยู่ต่อ ถ้าไม่ตกลงก็ขออภัยที่ต้องส่งตรงนี้!” เหมียวอี้ทำมือเชิญให้เดินออกไป

นี่ไม่ใช่การแสดงบารมี อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่อาจเลื่อนยศให้ใครโดยไร้เหตุผลเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะคุมคนไม่ได้ ถ้าทุกคนทำซี้ซั้วโดยไม่สนกฎระเบียบ เช่นนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายใหญ่โตแล้ว ก็เหมือนกับที่ตระกูลโค่วช่วยคืนยศตำแหน่งเดิมให้เหมียวอี้ ยังต้องคิดหาทางให้เหมียวอี้สร้างผลงานไม่หยุดหย่อนเลย แต่ก็ว่าไปแล้ว อาศัยศักยภาพของทั้งสอง ภารกิจยางอย่างที่ยากในสายตาคนอื่น แต่ทั้งสองกลับสร้างผลงานได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงมีโอกาส คนที่มีศักยภาพก็ไม่ต้องกลัวสิ่งนี้อยู่แล้ว

“แน่นอนอยู่แล้ว” หลงซิ่นพยักหน้า

“กฎเล็กน้อยแค่นี้ข้ายังพอเข้าใจ” ชิงเยว่พยักหน้าเช่นกัน

“ทหาร!” เหมียวอี้ตะโกน หยางเจาชิงผลักประตูเข้ามารับคำสั่ง เหมียวอี้เอียงหน้าบอกว่า “พาพวกเขาลง จัดที่พักในจวนให้พวกเขาชั่วคราว”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วยื่นมือเชิญ

ชิงเยว่กับหลงซิ่นมองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน ทั้งสองไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาอะไรจากตัวเหมียวอี้เหมือนที่เคยจินตนาการไว้เลย กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้สุขุมเยือกเย็นต่อพวกเขา ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นเพราะตัวเองใช้ชีวิตต่ำต้อยมานานเกินไปจนขาดความน่าเกรงขามอย่างที่ควรจะมีแล้วหรือเปล่า?

ก่อนจะแยกกัน ทั้งสองก็นับว่าทำตัวสุภาพมากขึ้น กุมหมัดคารวะแล้วถึงได้ตามหยางเจาชิงออกไป

หลังจากรู้ว่าทั้งสองพักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาค อวิ๋นจือชิวก็มาหาทันที พอเห็นหน้าก็ถามเลยว่า  “เจ้าตัดสินใจรับพวกเขาจริงเหรอ?”

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังพลางถอนหายใจ จากนั้นเดินไปเดินมาพร้อมบอกแผนในใจ “น้องชิว ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร มันก็เสี่ยงจริงๆ แต่ขอเพียงรับทั้งสองมานั่งรักษาการณ์ที่นี่ได้ ข้าก็สามารถรับนักพรตบงกชกลายทั้งหมดโดยไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องกลัวว่าคนเยอะแล้วจะคุมไม่ไหว มีสองคนนี้คอยขู่ให้ข้าก็พอแล้ว!”

อวิ๋นจือชิวจึงกล่าวอย่างกังวล “เจ้าใจร้อนอยากประสบความสำเร็จมากไปหรือเปล่า? ถ้าในอนาคตสองคนนั้นไม่ยอมรับการควบคุมจากเจ้า เกรงว่าวิธีคิดของเจ้าจะได้ผลตรงกันข้าม”

เหมียวอี้หยุดเดินแล้วแสยะยิ้ม “งั้นก็ลองให้พวกเขาทำอย่างนั้นดูสิ ข้าจะได้เชือดไก่ให้ลิงดู ข้าจะหาคนที่เอาชีวิตพวกเขาไม่ได้เชียวเหรอ อย่ากดดันให้ข้าเอาหัวของพวกเขามาสร้างบารมีเลย!”

อวิ๋นจือชิวแอบทอดถอนใจขณะมองเขาเงียบๆ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นางรู้สึกได้ว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเหมียวอี้เปลี่ยนไปแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าการที่เหมียวอี้มีความมั่นใจที่จะพลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน[1]เป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่ ประเด็นไม่สอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง ทำให้นางอดกังวลไม่ได้ แต่นางก็หาเหตุผลมาห้ามเขาไม่ได้อีก เพราะสถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้เร็วมาก ทำให้นางไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่

จวนท่านโหวจ้านผิง ในสวนป่าที่สร้างขึ้นไป ซ่างกวนชิงยืนเงียบๆ อยู่ตรงประตูในสวน กำลังรอประมุขชิง ส่วนสาเหตุว่าทำไมประมุขชิงมาที่นี่? ก็เพราะอ้างว่าจะออกจากวังมาลาดตระเวนใต้หล้าเงียบๆ ทว่าพอออกจากวังก็แอบมาเยี่ยมสนมสวรรค์ทันที พักอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน

แน่นอน เมื่อประมุขชิงขอให้เก็บเป็นความลับ จวนท่านโหวจ้านผิงก็ย่อมรักษาความลับให้ประมุขชิงอย่างเข้มงวด

“ผู้การใหญ่ เชิญค่ะ!” หลังจากเข้าไปรายงานแล้ว เทพธิดาก็ออกมาเชิญอีกครั้ง ซ่างกวนชิงถึงได้เดินตามหลังเข้าไปข้างใน

ในศาลาหลังหนึ่งที่ยื่นลงพื้น ประมุขชิงกำลังนั่งดื่มสุราเงียบๆ คนเดียว ซ่างกวนชิงที่มาถึงมองจอกสุราที่จัดวางเป็นคู่แล้วแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว รู้ว่าตัวเองมาทำลายบรรยากาศของประมุขชิง คนที่สามารถนั่งดื่มสุราตรงนี้กับฝ่าบาทได้จะยังมีใครได้อีก ท่านั้นไม่ค่อยชอบนั่งสุราเป็นเพื่อใคร เกรงว่าการมาของตนจะทำให้ทั้งคู่แยกกันแล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก ประมุขชิงก็กล่าวเสียงเย็นแล้วว่า “ไม่รู้เหรอว่าข้าติดธุระ?”

ซ่างกวนชิงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท ทางตลาดผีส่งข่าวมา การรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องผิดพลาดนิดหน่อย”

ประมุขชิงหรี่ตาทันที “มีคนจงใจก่อกวนเหรอ?”

“ชิงเยว่กับหลงซิ่นไปสมัครแล้วขอรับ ตงฟางเลี่ยเห็นกับตา” ซ่างกวนชิงกล่าว

“ชิงเยว่ หลงซิ่น?” ประมุขชิงงงไปชั่วขณะ นึกย้อนไปครู่เดียวก็เหมือนจะนึกออกแล้วว่าเป็นใคร บนใบหน้าฉายแววตกตะลึง “ชิงเยว่กับหลงซิ่นที่ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินเหรอ? พวกเขาก็ไปสมัครเหมือนกันเหรอ?”

ดูจากปฏิกิริยาของเขาแล้ว ซ่างกวนชิงก็โล่งอก รู้ว่าเบี่ยงเบนความโกรธของเขาได้แล้ว จกานั้นโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมตอบว่า “ขอรับ! ตงฟางเลี่ยไปตรวจสอบยืนยันด้วยตัวเอง เป็นสองคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”

ประมุขชิงครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะหึหึ เบะปากกล่าวอย่างร่าเริง “ถ้าข้าจำไม่ผิด ชิงเยว่นั่นถูกลดตำแหน่งเพราะไปล่วงเกินพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟางใช่มั้ย?”

“ฝ่าบาทความจำดีมาก เป็นเรื่องเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน ข่าน้อยนึกอยู่นานกว่าจะนึกออก!” ซ่างกวนชิงตอบ

“น่าสนใจอยู่นะ หึหึ เกรงว่าฮ่าวเต๋อฟางคงยังไม่รู้เรื่องล่ะสิ?” ประมุขชิงวางจอกสุราแล้วยืนขึ้น เดินไปเดินมาพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “สองคนนี้ไปขอพึ่งพาที่นั่น ในนั้นคงไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกใช่มั้ย? ไป เรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

…………………………

[1] พลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน 翻手为云覆手为雨 หมายถึงการใช้กลอุบายพลิกเรื่องราวต่างๆ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset