พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1847 เจรจา

หยวนกงกำลังนำคนเฝ้ารักษาการณ์อยู่ในหุบเขาด้านนอก ภายนอกดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ในใจแอบด่าแม่แล้ว

ตอนนี้สายลับเผ่าเทพอสรพิษดำกระจายตัวไปทั่ว จับตาดูบริเวณสระน้ำมังกรดำไว้อย่างเข้มงวด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน คนที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมาไม่มีทางเข้าใกล้เขาได้เลย หมายความว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับเขา ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีทางเข้าช่วยเหลือได้ทันเวลา

คุณชายหกแห่งตระกูลเซี่ยโห้วผู้น่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายขนาดนี้ หยวนกงได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้กับตัวเองที่ในปีนั้นมาสมัครเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผี มานึกเสียใจทีหลังตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

หลังจากหยางเจาชิงออกจากถ้ำมาถ่ายทอดคำสั่งของหัวหน้าภาค หยวนกงก็ย่อมไม่พูดพร่ำทำเพลง ปฏิบัติตามทันที จะได้ถือโอกาสนี้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว สามารถหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทางตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างเปิดเผย

ในถ้ำ บรรดาขุนพลใหญ่แดนอเวจีสบตากัน สุดท้ายอ๋าวเถี่ย ขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างอิ๋งจิ่วกวง อำนาจอิทธิพลไม่ธรรมดาเลย ไม่ได้ ‘ใส่ร้าย’ กันง่ายๆ ขนาดนั้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าแตะต้องท่านอย่างเปิดเผย ถ้าท่านหยุดตอนนี้ก็ยังมีทางเหลือให้ชะลอความขัดแย้งกับตระกูลอิ๋งได้ ถ้าฉีกหน้ากันให้คนทั้งใต้หล้าเห็นหมด ผลกระทบก็จะร้ายแรงมาก เกรงว่าท่านคงจะรักษาโถงชุมนุมอัจฉริยะไว้ไม่ได้แล้ว”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบ “เขาไม่ให้ข้าอยู่อย่างสบาย เขาเองก็อย่าคิดเลยว่าจะได้อยู่อย่างสบาย อย่างมากก็มัจฉาตายตาข่ายขาด[1] ตอนนี้สนใจอะไรมากขนาดนั้นไม่ได้แล้ว”

“นายท่าน ท่านทำแบบนี้มีผลดีอะไรกับท่าน?” อ๋าวเถี่ยถาม

ในขณะที่เอง มีนายทหารระดับสูงมารายงานอีก “นายท่าน มีความเคลื่อนไหว” เขาก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้างเข็มทิศ ชี้ห้าตำแหน่งบนแผนที่ดาวพร้อมพูดต่อว่า “สายลับของฝ่ายเราที่อยู่ห้าตำแหน่งนี้ถูกกวาดล้างจำนวนมาก สายลับตรงห้าจุดนี้แทบจะหายไปหมด ขณะเดียวกันก็มีกำลังพลหนึ่งแสนกำลังตระเวนทั่วดาวเคราะห์!”

หลังจากเหมียวอี้โบกมือให้เขาถอยออกไป ก็จ้องเข็มทิศพักหนึ่ง สุดท้ายก็ชี้ไปตรงห้าจุดที่นายทหารระดับสูงเพิ่งบอก แล้วมองรอบวงพร้อมถามว่า “ทุกคนมองเบาะแสอะไรออกหรือเปล่า?”

พวกโม่โหยวมองพวกเหมียวอี้ที่อยู่ตรงข้าม ทำท่าเหมือนต้องการฟังคำอธิบาย

จ่างหงขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจกล่าวว่า “ดูจากขอบเขตสระน้ำมังกรดำ ไม่ว่าตำแหน่งไหนของสระน้ำมังกรดำจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าตั้งทัพอยู่ที่ห้าจุดนี้ ก็ล้วนไปถึงภายในครึ่งชั่วยาม สงสัยอิ๋งอู๋หม่านจะให้ทหารดักซุ่มอยู่ที่ห้าจุดนี้”

“คงจะเป็นอย่างนี้” เหมียวอี้พยักหน้า

เมิ่งหรู ขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนจ้องเข็มทิศพลางกล่าวอย่างลังเล “ปิดทางเข้าออก ต้องการจับตัวประกัน กระจายกำลังพลหนึ่งล้านเป็นสายลับ ภายในเวลาสั้นๆ ก็สามารถวางกำลังในจุดที่เชื่อมต่อทุกทิศทางได้ แล้วใช้ทัพเดี่ยวตระเวนไปทั่วด้วย ทีแรกก็แค่ไม่เคลื่อนไหว แต่พอได้เคลื่อนไหวก็ลงมือต่อเนื่องอย่างมีอานุภาพประดุจอัสนีบาต  มีระเบียบขั้นตอน ประสบการณ์โชกโชน อิ๋งอู๋หม่านคนนี้ไม่ธรรมดาเลย!”

เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าประเมินเจ้าหมอนี่ต่ำไปหน่อย ดูท่าแล้ว ที่อิ๋งจิ่วกวงส่งเขามาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

“อีกฝ่ายทำแบบนี้ บวกกับมีกำลังทหารเหนือกว่า สู้กันลำบากแล้ว! สายลับหนึ่งล้านที่เขาวางไว้ล่วงหน้าคือทางหนีทีไล่ที่สำคัญมาก ทำให้พวกเราไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้ ช้าเร็วอีกฝ่ายก็ต้องค้นเจอที่นี่ ถ้ากำลังหลักของพวกเราถูกเปิดเผยเมื่อไร จะออกก็ออกลำบาก พอถูกอีกฝ่ายกัดแน่นก็จะยุ่งยากแล้ว กำลังพลที่อีกฝ่ายวางไว้ห้าจุดสามารถโจมตีสกัดพวกเราได้จากทุกทิศทาง ถึงตอนนั้นจะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว” อ๋าวเถี่ยกล่าวขณะเอียงหน้ามองเหมียวอี้

ฝั่งโม่โหยวมองหน้ากันเลิกลั่ก

ทว่าเหมียวอี้กลับเลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงต่ออ๋าวเถี่ย “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ายอมปล่อยข่าวสู่ภายนอกให้เรื่องราวใหญ่โต จะให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาอย่างมีระเบียบขั้นตอนไม่ได้ ต้องปั่นให้วุ่นวาย กดดันให้อิ๋งอู๋หม่านสะดุดขาตัวเอง พวกเราถึงจะมีโอกาสเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น”

อ๋าวเถี่ยเข้าใจแล้ว พอปล่อยข่าวออกไป ทางตำหนักสวรรค์จะต้องส่งคนมาตรวจสอบ อิ๋งอู๋หม่านยังจะปิดกั้นไม่ให้คนของตำหนักสวรรค์เข้ามาในสระน้ำมังกรดำเชียวหรือ? ถึงตอนนั้นก็เหลือเวลาให้อิ๋งอู๋หม่านไม่มากแล้ว เขาพยักหน้าบอกว่า “ถ้านายท่านไม่อยากให้โถงชุมนุมอัจฉริยะเสียหายมากเกินไป ข้าแนะนำให้นายท่านแจ้งทางโถงชุมนุมอัจฉริยะ ว่าหลังจากปล่อยข่าวแล้วให้ซ่อนตัวทันที พยายามอย่าโผล่หน้าออกมา”

เหมียวอี้หันกลับมากำชับหยางเจาชิงทันทีว่าควรทำอย่างไร จากนั้นก็ชี้บนเข็มทิศ “ทางเข้าออกแต่ละทางมีทัพใหญ่หนึ่งล้าน สายลับก็โปรยออกมาหนึ่งล้าน ห้าจุดที่วางสายลับไว้ ข้าเดาว่ามีกำลังพลอย่างน้อยสามแสน ไม่อย่างนั้นถ้าเผชิญหน้ากับแรงต้านของฝ่ายพวกเราก็จะยืนหยัดได้ไม่นาน ใช้ประโยชน์จากกองหนุนไม่ได้ บวกกับรอบข้างมีกำลังพลหนึ่งแสนลาดตระเวนอยู่ทั่ว…ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพลเดิมที่ดักซุ่มยังอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่อยู่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าแฝงตัวอยู่ท่ามกลางกำลังพลหนึ่งแสนนี้ แต่ถ้ายังอยู่ ก็แสดงว่ากำลังพลเดิมที่ดักซุ่มมีไม่เกินห้าแสน”

พวกอ๋าวเถี่ยพากันพยักหน้า

เหมียวอี้หยุดนิ้วบนเข็มทิศ “ถ้ากำลังพลหนึ่งแสนที่ลาดตระเวนคือจำนวนจริง ก็เป็นเป้าหมายแรกที่พวกเราต้องโจมตี”

เหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีกล่าวเสียงเย็นว่า “นายท่าน ตามความเห็นของข้า เกรงว่ากำลังพลหนึ่งแสนที่ลาดตระเวนจะเป็นเหยื่อล่อ ถ้านายท่านโจมตี เกรงว่าจะตรงกับเจตนาของอิ๋งอู๋หม่านพอดี”

“เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ากล้าโจมตี แสดงว่ามีวิธีการรับมืออยู่แล้ว ปัญหาตอนนี้ก็คือไม่รู้ว่ากำลังพลหนึ่งแสนนี้แอบซ่อนกำลังพลไว้หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็เหมือนเป็นเนื้อในปากข้า แต่ถ้าซ่อนทัพใหญ่หลายแสนเอาไว้ พวกเรายอมไม่เคี้ยวดีกว่า เคี้ยวของแข็งไม่ดีต่อฟัน ถ้าถูกพัวพันไว้ แล้วกองหนุนมาถึง นั่นก็จะเกิดปัญหาแล้ว ดังนั้นตอนนี้ต้องยืนยันจำนวนคนของกำลังพลกลุ่มนี้” เหมียวอี้หันมองรอบวง แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนมีวิธีการอะไรวัดจำนวนคนของกำลังพลกลุ่มนี้บ้าง?”

พวกเขาลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิมารก็กล่าวว่า “วิธีการใช่ว่าจะไม่มี แต่เกรงว่าอาจจะเสี่ยงนิดหน่อย”

เหมียวอี้ถามอย่างดีใจทันที “ไม่ทราบว่าขุนนพลจะชี้แนะข้าได้หรือเปล่า?”

ตานฉิงตอบว่า “ส่งคนที่กล้าหาญและรอบคอบเป็นตัวแทนนายท่านไปเจรจากับอิ๋งอู๋หม่าน ดูว่าอิ๋งอู๋หม่านอยู่ตรงไหน ถ้าอิ๋งอู๋หม่านยังอยู่ที่จุดดักซุ่มเดิม ด้วยฐานะอย่างเขาคาดว่าคงมีทัพใหญ่คุ้มครองไม่น้อย ถ้าได้เห็นจำนวนคนตรงนั้นด้วยก็ยิ่งดี เพียงแต่คนที่ไปเจรจาอาจจะตกอยู่ในความเสี่ยง ต้องดูว่าเขาจะรับมือไหวหรือเปล่า”

วิธีการนี้เสี่ยงจริงๆ เหมียวอี้และพวกขุนพลต่างก็เงียบ ไม่ว่าจะให้ใครไปก็ล้วนสงสัยว่าอาจเอาชีวิตไปทิ้ง และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ ต้องใช้คนที่กล้าหาญและรอบคอบจริงๆ

“ไม่ทราบว่าใครยินดีจะไป?” เหมียวอี้เงยหน้ามองรอบวงพร้อมเอ่ยถาม รอได้ครู่เดียวไม่เห็นมีใครตอบ ก็ถามอีกว่า “ใครยินดีจะไป?”

“ข้าน้อยยินดีจะไป!” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ จู่ๆ หยางเจาชิงก็ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ

“เจ้าเหรอ!” เหมียวอี้หันกลับมาถามอย่างอึ้งๆ มุมปากกระตุกเล็กน้อย เพราะสวีถังหรานเข้าไปติดกับดักแล้ว มีหรือที่จะเพิ่มหยางเจาชิงไปด้วยอีกคน

“ให้ข้าน้อยไปดีกว่า” เหยียนซิวกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเยียบเย็น

สองคนที่ขอเสนอตัวเองทำให้พวกตานฉิงสบตากัน ยามถึงช่วงเวลาสำคัญถึงจะมองออกว่าใช่ลูกน้องคนสนิทหรือไม่ การที่เต็มใจรับภารกิจแบบนี้ ก็เห็นได้ถึงความจงรักภักดีที่ทั้งสองมีต่อเหมียวอี้แล้ว ทำให้คนมองด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับ

ทว่าเมื่อสองคนนี้เอ่ยปาก ก็กลับทำให้เหมียวอี้ลำบากใจแล้ว เหมียวอี้ไม่อยากให้สองคนนี้ไปเสี่ยงอันตราย แต่สองคนนี้เป็นฝ่ายขอเสนอตัวแล้ว ถ้าเขายังห้ามไว้แล้วให้คนอื่นไปแทน จะให้คนอื่นคิดอย่างไร มิหนำซ้ำเรื่องแบบนี้ก็ต้องสมัครใจเองถึงจะดี

หลังจากลังเลซ้ำๆ ในที่สุดเหมียวอี้ก็ตัดสินใจอย่างยากลำบาก เขามองไปที่หยางเจาชิง “เจาชิงเหมาะสมกว่า เจาชิงไปก็แล้วกัน”

นี่ไม่ใช่คำพูดจอมปลอม เห็นได้ชัดว่าหยางเจาชิงตอบสนองเร็วกว่าเหยียนซิวเยอะมาก เหยียนซิวไม่เหมาะจะทำเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ เรื่องนี้หยางเจาชิงก็รู้อยู่แก่ใจ

เหยียนซิวเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ในเมื่อเหมียวอี้พูดแบบนี้แล้ว เขาเองก็ทำได้เพียงถอยไปด้านข้าง สรุปกก็คือเหมียวอี้พูดอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น

ส่วนเหมียวอี้ก็แอบถ่ายทอดเสียงบอกหยางเจาชิง สุดท้ายก็กำชับว่า “ต้องระวังตัวให้ดี อิ๋งอู๋หม่านเป็นคนยโสโอหัง อย่าไปดันทุรังเถียงกับเขา”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ แล้วก้าวยาวเดินออกไป

เหมียวอี้จ้องเข็มทิศพลางเม้มริมฝีปากแน่น ส่วนคนอื่นๆ ก็มองคล้อยหลังหยางเจาชิงเดินออกไปพร้อมกัน

พวกโม่โหยวสบตากัน ชางไห่เบะปากเล็กน้อย ในเวลาแบบนี้เหมียวอี้ไม่ได้ให้เผ่าเทพอสรพิษดำไปเสี่ยงอันตราย แต่กลับส่งลูกสน้องคนสนิทของตัวเองไป คำพูดประมาณว่าให้คนของเผ่าเทพอสรพิษดำเอาชีวิตไปทิ้ง ต่อไปนี้พวกเขาไม่สะดวกจะเอ่ยปากพูดง่ายๆ อีกแล้ว

จากสิ่งนี้ พวกโม่โหยวก็นับว่าเข้าใจคำพูดประโยคนั้นของเหมียวอี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ทำสงครามจะไม่มีคนตายได้อย่างไร

“ผู้อาวุโสโม่ ให้คนของเจ้าซ่อนตัวไป อย่าให้พวกเขาเปิดโปงที่ซ่อนตัวของพวกเรา” เหมียวอี้พลันกล่าวทำลายความสงบ

โม่โหยวหันกลับมาสั่งทันที “เร็วเข้า!”

หลังจากนั้นไม่นาน หยางเจาชิงที่เหาะอยู่ในดาราจักรถึงได้แสดงอารมณ์ออกมา สีหน้าจริงจังหนักแน่น กำลังครุ่นคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะรับมืออย่างไร เขาเองก็รู้ว่าการไปครั้งนี้อันตรายมาก เมื่อไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว มองไปรอบๆ แล้วถอดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือ ตอนที่ผ่านข้างดาวดวงหนึ่งก็โยนกำไลเก็บสมบัติเข้าไปฝังในดวงดาวที่สภาพเหมือนอุกกาบาต

หลังจากนั้น หยางเจาชิงที่ทั้งตัวว่างเปล่าเร่งความเร็วเหาะเดินทางอีกครั้ง

ตรงจุดที่มีดาวหกดวงโอบล้อม อ๋าวเฟย หวังหย่วนเฉียวและคงฮั่นกำลังยืนล้อมเข็มทิศเพื่อปรึกษาเรื่องทำศึก กำลังคุยกันว่าหากหนิวโหย่วเต๋อหาสถานที่ซ่อนตัวเหมาะๆ ได้แล้วไม่ยอมออกมา หรือเข้าไปซ่อนตัวในอาณาเขตดาวปริศนา พวกเขาควรจะทำอย่างไร? พวกเขาตกอยู่ในความเงียบ เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดล้อมสระน้ำมังกรดำไปตลอด

ในขณะนี้เอง มีคนมารายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ ข้างนอกจับสายลับได้คนหนึ่ง เขาบอกว่าตัวเองคือหยางเจาชิงลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ บอกว่าเป็นตัวแทนหนิวโหย่วเต๋อมาเจรจากับท่านโหวอิ๋งขอรับ”

“หยางเจาชิง?” คงฮั่นหรี่ตา “คงจะเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ สวีถังหรานนั่นมาติดกับดักแล้ว ส่งมาเพิ่มอีกคนหมายความว่ายังไง?”

“เล่นลูกไม้อะไรกัน?” อ๋าวเฟยขมวดคิ้วพึมพำ เงยหน้าบอกว่า “พาตัวมา ข้าอยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะเล่นอะไร”

รอไม่นาน หยางเจาชิงก็ถูกควบคุมตัวมาถึงนอกถ้ำ ถูกคนผลักเข้ามาในถ้ำแล้ว หยางเจาชิงกวาดสายตามองไปทั่วตลอดทาง หวังว่าตัวเองจะมองเบาะแสอะไรออกสักหน่อย

เมื่อเข้ามาในถ้ำ ก็เห็นแม่ทัพเกราะแดงสามคนยืนอยู่เหนือแผนที่ดาวและเข็มทิศ ลักษณะองอาจห้าวหาญ

ทั้งสามก็ต้องประเมินหยางเจาชิงเช่นกัน เมื่อเห็นเขาไม่มีอารมณ์ลนลานหวาดกลัว อ๋าวเฟยก็ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคือหยางเจาชิงเหรอ?”

“ใช่แล้ว!” หยางเจาชิงตอบอย่างไม่ถือตัวหรือถ่อมตัว

“ว่ามาเถอะ หนิวโหย่วเต๋อคิดจะเจรจาอะไร?” อ๋าวเฟยถาม

“เจ้าไม่ใช่ท่านโหวอิ๋ง ข้าเคยเจอท่านโหวอิ๋งที่อุทยานหลวง” หยางเจาชิงกล่าว

“ท่านโหวอิ๋งคือคนที่เจ้าอยากจะเจอก็เจอได้งั้นเหรอ? บอกมาก่อนว่าเรื่องอะไร ดูว่าควรค่าให้ท่านโหวอิ๋งออกหน้ามาพบหรือเปล่า” อ๋าวเฟยกล่าว

หยางเจาชิงตอบว่า “ท่านหัวหน้าภาคของพวกเราบอกไว้แล้ว ขอเพียงท่านโหวอิ๋งรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ หัวหน้าภาคก็จะยอมจำนน ไม่ทราบว่าควรค่าให้ท่านโหวอิ๋งออกมาพบหรือเปล่า?”

ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง แล้วอ๋าวเฟยก็บอกว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองได้ ตอนนี้เจ้าติดต่อหนิวโหย่วเต๋อซะ ขอเพียงเขาแสดงความจริงใจว่าจะยอมแพ้ ฝั่งนี้ก็รับประกันความปลอดภัยให้เขาได้”

หยางเจาชิงกางแขนสองข้าง “บนตัวข้าไม่มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อใครได้เลย ติดต่อท่านหัวหน้าภาคไม่ได้หรอก ให้ข้ากับท่านโหวอิ๋งเจรจากันก่อน แล้วข้าค่อยกลับไปรายงาน”

ทั้งสามแทบจะหรี่ตาจ้องเขาพร้อมกัน จู่ๆ ก็พบว่าหยางเจาชิงคนนี้น่าสนใจ เพราะมาโดยที่ไม่มีเครื่องมืออะไรบนตัวเลย

…………………………

[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด 鱼死网破 หมายถึงต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

Related

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset