ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 167 รอยจูบ

เธอมองหน้าอีกฝ่ายและก้มลงมองมือของตัวเอง ยกมือขึ้นแตะใบหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

“เธอเป็นอะไรไหม รู้สึกไม่สบายเหรอ” หันเลี่ยงดึงแขนเธอเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง

 

 

ในที่สุดซย่าชิงอีก็กลับมามีสติ เธอเหลือบมองหันเลี่ยงที่มองกลับมาเหมือนปกติ “ไม่มีอะไร ฉันแค่นึกบางอย่างขึ้นมาได้เฉยๆ”

 

 

“เรื่องอะไร”

 

 

“เรื่อง… ออกไปซื้อปลาให้คุณ” เธอพึมพำจนดูเหมือนพูดกับตัวเอง

 

 

เขารู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาเล็กน้อย “ไปวันอื่นดีกว่าไหม วันนี้เธอดูอาการไม่ค่อยดีเลย”

 

 

“ไม่… ฉันจะไปวันนี้…” เธอยืนกรานคำเดิม

 

 

เพราะว่าเธอกำลังจะไปซื้อปลาให้เขา หันเลี่ยงจึงคิดว่าเธอคงรู้สึกคุ้นชินกับชีวิตประจำวันที่นี่แล้วและปล่อยให้เธอทำตามที่ต้องการ “อย่างนั้นก็ตามใจเธอนะ เราจะรอเธออยู่ที่บ้าน กลับมาเร็วๆ นะ”

 

 

เมื่อซย่าชิงอีเดินออกมาจากตัวอาคาร เธอก็ยังคงไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงอยากจะหนีออกมา ในจังหวะที่ได้รู้ความจริงเธอก็รู้สึกงุนงง เรื่องราวมากมายที่จู่ๆ ก็ได้รับรู้อย่างไม่คาดคิดมาก่อนทำให้ทุกประสาทสัมผัสของเธอเสียศูนย์ไปในทันที เธอลืมแม้กระทั่งการเข้าไปถามหันเลี่ยงและแม่ของเธอว่าทำไมต้องหลบซ่อนเรื่องราวที่สำคัญอย่างนี้กับเธอด้วย

 

 

ทว่าเธอก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามด้วยกลัวว่าจะยอมรับความจริงที่มาอยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้

 

 

เธอคิดถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายแต่กลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

 

 

เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดและเลือกที่จะหลบหนีจากสิ่งที่เผชิญ คิดว่าคงไม่สามารถกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อย่างมีความสุขและกลับไปอยู่กับพวกเขาเหมือนเดิมได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

 

 

แต่ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรไม่ออกและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ทั้งแม่ของเธอ หันเลี่ยง ลุงของเธอ และคนอื่นๆ ต่างก็ร่วมมือกับปิดบังความจริงกับเธอ พวกเขาทั้งหมดโกหกตัวเองอยู่ทุกวัน วาดฝันไว้รอบตัวเพื่อปกป้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา และขังเธอไว้ในนั้นไม่ให้ออกไปไหน

 

 

ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้เดินออกมาจากห้วงฝันนั้นและเห็นความจริงในโลกภายนอก แม้จะยังไม่มีใครบอกเธอว่าต่อไปเธอต้องทำอย่างไรเพื่อพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง

 

 

เธอเดินไปตามถนนอย่างรู้สึกสิ้นหวัง เฝ้าบอกตัวเองซ้ำไปมาให้สงบใจลงแต่มือทั้งสองข้างก็ยังสั่นระริกไม่หยุด

 

 

ในตอนนั้นที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวแต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตัวเองมาถึงสถานีรถบัสเสียแล้ว

 

 

เธอเดินทางกลับไปที่เมือง S

 

 

ราวเที่ยงคืนโม่หันฝืนตัวเองเพื่อจัดการงานของวันนี้ให้เสร็จ เป็นภาพที่ห่างไกลจากการทำงานในยามปกติของเขา แม้แต่พนักงานในบริษัทยังรู้ว่าเขาเปลี่ยนไป โม่หันรู้ว่าลึกๆ ในใจของพวกเขากำลังสงสัยว่าเจ้านายของพวกเขาคงจะป่วยจึงทำให้เขาสับสนวุ่นวายแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยใจลอยไปไหนตอนอ่านเอกสารการพิจารณาคดี ไม่เคยทิ้งช่วงคำพูดของตัวเองระหว่างการประชุมทางไกลและหยุดคิดว่าตัวเองจะพูดอะไร เขาคงไม่ได้มีอาการนอนไม่หลับแน่

 

 

ตั้งแต่กลับมาจากเมือง F เขาก็หลับไม่ลงตลอดทั้งคืน เมื่อปิดตาลงในหัวของเขาก็จะถูกแทนที่ด้วยภาพของซย่าชิงอี ท่าทีของเธอครั้งล่าสุดที่เขาเห็นในวันนั้นและสายตาที่มองไปที่หันเลี่ยงอย่างเชื่อฟัง

 

 

เขาคิดว่าที่เขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับเธอคงเป็นบทลงโทษที่เขาพูดจาแบบนั้นกับเธอในวันนั้น

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้พวกเขาก็ถือว่าไม่ได้ติดค้างสิ่งใดต่อกันอีก เขาเองก็นอนไม่หลับเช่นเดียวกันกับเธอแม้ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม

 

 

โชคดีที่ยังมีทางรักษาอาการนอนไม่หลับของเขา เพียงแค่เขานอนลงบนเตียงของเธอและสูดกลิ่นของอีกฝ่ายที่ติดอยู่บนเตียงเขาก็หลับลงได้อย่างไม่รู้ตัว

 

 

เขาไม่เคยบอกใครเรื่องนี้และไม่ได้ทำไปมากกว่าการต่อสายหาไป๋อวี่ตอนตีสอง เพื่อเรียกให้ออกมานั่งดื่มเป็นเพื่อนในคืนหนึ่งที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเท่านั้น คนถูกโทรหามั่นใจว่าเขาคงมีอะไรอยู่ในใจแน่และตั้งใจจะหลอกล่อให้อีกฝ่ายพูดออกมา ถามว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง บอกว่าถ้าหากเขายอมบอกเขาจะแนะนำบริษัทของโม่หันให้กับลูกความรายใหญ่

 

 

แต่เขาก็ยังไม่ยอมปริปากและทำเพียงดื่มเงียบๆ ต่อไปเท่านั้น

 

 

เมื่ออยู่ในอาการกรึ่มๆ เขาต้องฝืนตัวเองให้เลิกล้มความคิดที่จะโทรไปหาซย่าชิงอี บอกตัวเองว่าจะหลงไปเดินทางผิดไม่ได้ อย่าล้ำเส้นเด็ดขาด

 

 

เขาไม่ควรเข้าไปรบกวนชีวิตเธอและพาตัวเองไปทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้อีก

 

 

เขาจึงต้องอดทนอยู่อย่างนี้

 

 

จนกระทั่งหันเลี่ยงโทรมา

 

 

[สวัสดีครับ วันนี้คุณได้พูดอะไรกับเนี่ยนเนี่ยนหรือเปล่า] น้ำเสียงของปลายสายดูตื่นตระหนก

 

 

เขายกยิ้ม “ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าผมเป็นคนบอกบางอย่างกับเธอนักล่ะครับ”

 

 

[แล้วจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากคุณ! เธอจะไปรู้จักใครได้อีก ผมว่าแล้วว่าเธอดูแปลกๆ ไปตอนที่เธอกลับมาวันนี้ ตกลงคุณได้พูดอะไรกับเธอหรือเปล่า]

 

 

“คุณช่วยเลิกเอาเรื่องของพวกคุณสองคนมารบกวนผมสักทีได้ไหม!” แค่ได้ยินเสียงของหันเลี่ยงเขาจะแทบจะอยากวางสายเอาซะตอนนี้ “เธอไม่ได้มาข้องแวะอะไรกับผมทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่อย่างที่คุณต้องการหรือ”

 

 

[คุณไม่ได้ติดต่อกับเธอจริงๆ เหรอ] เสียงของอีกฝ่ายดูผิดหวังอยู่ในที [ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน ทำไมจู่ๆ เธอถึงมีท่าทางแบบนั้น] หันเลี่ยงยังจำแววตาที่เศร้าสร้อยและว่างเปล่าของเธอตอนที่เธอยืนอยู่หน้าประตูได้

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” โม่หันรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง

 

 

[เธอไปหาคุณหรือเปล่า] หันเลี่ยงกลัวว่าเธอจะรู้บางอย่างเข้า

 

 

“ไม่”

 

 

คำตอบของเขาทำให้หันเลี่ยงเป็นกังวลอีกครั้ง ถ้าไม่เป็นเพราะโม่หันอย่างนั้นทำไมอยู่ๆ เธอถึงออกไปโดยที่ไม่เอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ท่าทางของเธอก่อนที่เจ้าตัวจะออกไปทำให้เขากลัวขึ้นมา

 

 

กลัวว่าครั้งนี้เธอจะไม่ยอมกลับมาอีกแล้ว

 

 

“พวกคุณสองคนทะเลาะกันเหรอ หรือคุณทำอะไรให้เธอรู้สึกแย่ ตอนแรกที่คุณพาเธอไป คุณบอกว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่แค่เธอจากไปแค่ไม่เท่าไรก็เกิดเรื่องกับเธอแล้วเหรอ” โม่หันเอ่ยถามพลางกัดฟันกรอดๆ

 

 

[ถ้าเธอติดต่อคุณมาโทรบอกผมด้วย] หันเลี่ยงว่าขึ้นในตอนท้าย

 

 

หลังจากวางสายโม่หันก็สงบใจไม่ลงอีก นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง เขาดึงผ้าม่านเปิดขึ้นและเห็นว่าฝนเริ่มตกได้สักพักแล้ว ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงน้ำฝนที่ตกกระทบบานหน้าต่าง หยดแล้วหยดเล่าที่เกาะบนกระจกที่กั้นเขาออกจากความมืดครึ้มของโลกภายนอก

 

 

เขาครุ่นคิดก่อนจะหยิบเสื้อกันฝนและเตรียมจะออกไปข้างนอก

 

 

ทว่าเมื่อเปิดประตูเขาก็เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง

 

 

ซย่าชิงอีอยู่ในสภาพเปียกโชก เส้นผมชุ่มน้ำ เธอนั่งชันเข่าอยู่เงียบๆ บนพื้นเย็นเฉียบ พื้นเปียกปอนที่เสื้อผ้าเธอกองทับอยู่ทำให้เธอดูเหมือนกับนั่งอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆ

 

 

สายตาที่จ้องมองตรงไปยังกำแพงตรงหน้าของเธอฉายแววว่างเปล่า

 

 

“เธอมาทำอะไรที่นี่” โม่หันเอ่ยถาม

 

 

เสียงของเขาดังขึ้นให้เธอหันหน้าไปมอง จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นโดยใช้กำแพงยันตัวขึ้นมาก่อนจ้องมองมาที่เขา

 

 

“พี่ถามเธอว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”

 

 

อีกฝ่ายทำเพียงส่งสายตามาหาเขา ไม่พูดอะไรเหมือนกับว่าเธอได้ใช้แรงทั้งหมดไปแล้ว

 

 

เขาเอื้อมมือไปจับเสื้อผ้าของเธอที่เปียกชุ่มเหมือนกับไปตกลงไปในแม่น้ำมา พลางขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมไม่รู้จักพกร่มติดตัวมาตอนออกจากบ้าน แล้วเธอมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง”

 

 

น้ำเสียงสั่นไหวของเธอดังขึ้น “ฉันขอนอนที่นี่ได้ไหมคะ”

 

 

คนฟังจ้องมองเธอพักใหญ่ก่อนจะว่าขึ้น “เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอสองคน”

 

 

เธอส่ายหน้า ความหนาวเย็นจากฝนทำให้เธอตัวสั่นระริก ยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ กำแพงไม่ได้ขยับตัวมาข้างหน้าหรือถอยหลัง ทำเพียงมองโม่หันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์

 

 

“ถ้าเธอสองคนทะเลาะกัน พี่คิดว่าเธอไม่ควรมาหาพี่กลางดึกแบบนี้หรอกนะ เธอควรกลับไป” เขาสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองไว้

 

 

“ฉัน…แค่อยากอยู่ที่นี่สักพัก” เธอตอบเสียงเบาอย่างไร้ชีวิตชีวา

 

 

สำหรับโม่หันมันไม่แปลกเลยที่เธอจะมาที่นี่เพื่อหาความอบอุ่นและคำปลอบโยนหลังจากทะเลาะกับหันเลี่ยง โดยที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองมักจะลืมทุกเหตุผลไปเสมอเมื่อเป็นเรื่องของซย่าชิงอี

 

 

“เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังเธอทำอะไรอยู่” เขาเอ่ยถาม

 

 

เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน “รู้ค่ะ”

 

 

“หลังจากที่เธอก้าวผ่านประตูนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะออกไปไม่ได้อีก” เขาย้ำ

 

 

เธอพยักหน้ารับ ดูเหมือนจะไม่เหลือแรงที่จะตอบคำถามของเขาอีกต่อไป เธอเพียงแค่อยากพักหลังจากเห็นหน้าเขาเท่านั้น

 

 

โม่หันก้าวมาตรงหน้าอีกฝ่าย สบตาเข้ากับเธอและดึงเธอเข้ามาหาตัวเองและพาเข้าไปในบ้าน ใช้เท้าเตะปิดประตูอย่างแรงและผลักเธอแนบชิดกับบานประตู

 

 

“ซย่าชิงอี ตอนนี้เธอเข้ามาที่นี่แล้วอย่าหวังว่าจะได้ออกไปอีก” เขากล่าวขึ้นข้างหูเธอ

 

 

อีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ด้วยเธอกำลังก้มหน้าอยู่เขาจึงไม่รู้ว่าเธอมีสีหน้าอย่างไร

 

 

เขาไม่ได้มีความสุขกับสภาพของเธอตอนนี้เลยสักนิดเมื่อคิดว่าเธอเข้ามาในบ้านของเขาอย่างไม่เต็มใจ แม้ว่าเธอจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง แม้ว่าเธอจะเข้ามาในบ้านอย่างไม่ขัดขืนหลังจากเขาพูดจบ ดังนั้นเพื่อเป็นการลงโทษเธอที่ปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ เขาจึงเอื้อมมือมาจับเชยคางเธอไว้แน่นและประกบจูบอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานี

 

 

ริมฝีปากของเธอนิ่มเหมือนเคย ลิ้นของเขาถูดสอดเข้าไปในโพรงปากของเธออย่างง่ายดาย ดูดกลืนความหวานจากอีกฝ่ายอย่างโหยหาและขบกัดริมฝีปากของเธอ แต่เธอกลับไม่มีอาการตอบสนองใดๆ

 

 

เขาผละริมฝีปากออกและมองท่าทีของซย่าชิงอี สายตาของเธอยังดูล่องลอยและยืนนิ่งไม่ไหวติง มองเลยไปด้านหลังของเขาอย่างไร้จุดหมาย ความรู้สึกกลัวเริ่มก่อตัวขึ้น ตัวเธอในตอนนี้ช่างดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนนัก

 

 

เหมือนกับกำลังกลับมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน”

 

 

เธอกะพริบตาก่อนเงยหน้าสบตามองเขา จากนั้นจึงเข้ามากอดเขาอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงจางใสราวกับน้ำเปล่าของเธอดังขึ้นในอ้อมกอดของเขา “ฉันอยากพักผ่อนสักพักน่ะค่ะ”

 

 

เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะแตะที่หน้าผากของเธอ “เธอ… ป่วยเหรอ”

 

 

ร่างของเธอสั่นระริกในวงแขนของเขาแต่ก็ยังคงเอาแต่นิ่งเงียบ

 

 

โม่หันดันเธอออกจากอกและรู้สึกตกใจเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของเธอ

 

 

ท่าทางเจ็บปวดของเธอพร้อมริมฝีปากที่อ้ากว้างให้เธอดูเหมือนเด็กเล็กๆ ที่สูญเสียของเล่นชิ้นโปรดไป

 

 

“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” เขามองภาพที่เธอสะอื้นไห้และอ่อนเสียงลง พลางปาดน้ำตาบนใบหน้าของเธอออกอย่างร้อนรน

 

 

ซย่าชิงอีกระชับกอดเขาแน่นขึ้น “ฉันอยากหลับค่ะพี่”

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset