ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 176 บาดเจ็บ

มืออีกข้างของประธานตู้รัดรอบลำคอของซย่าชิงอีพลางเชิดคางของเธอให้แหงนหน้าขึ้น รอยเลือดซิบๆ ปรากฏขึ้นบนลำคอด้านซ้ายบริเวณที่ถูกมีดจ่ออยู่ “เธอพูดว่าอะไรนะ”

 

 

สายตาของเธอฉายแววเจ้าเล่ห์ “คุณได้ยินไม่ชัดเหรอ ฉันจะไม่พูดซ้ำหรอกนะ”

 

 

โม่หันที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขามองด้วยความตื่นตระหนก หากย้อนกลับไปในวันที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ก้าวเข้ามาพูดจายั่วประสาทคนที่เข้ามาก่อความวุ่นวายในบริษัทด้วยท่าทีสงบนิ่งในขณะที่ทุกคนขยับถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัว

 

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเธอไม่เคยอ่อนข้อให้กับคนที่ดูแข็งแกร่งกว่า

 

 

ทว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากให้เธอทำแบบนี้

 

 

“ซย่าชิงอี เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว! เงียบไปซะ!” เขาตะโกนบอกอีกฝ่ายจากอีกฝั่งของโต๊ะ

 

 

เธอถูกประธานตู้จับเชิดหน้าขึ้นเมื่อเธอจะยืนกรานในสิ่งที่พูดออกมาขณะที่ค่อยๆ สบตากับคนที่จับตัวเธอไว้อยู่ “คุณไม่ควรกังวลเกี่ยวกับคดีความอีกแล้วนะคะ ประธานตู้ บริษัทของคุณยักยอกเงินในกองทุนสาธารณะไปมากมาย รอไปใช้ชีวิตในคุกจนถึงชาติหน้ากับลูกชายของคุณดีกว่านะคะ”

 

 

จบประโยคของเธอ ประธานตู้ก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เขายกมือสูงตั้งท่าจะใช้มีฟันเข้าที่ลำคอของเธอ โม่หันรีบขยับเข้าไปหาพวกเขาและถีบเขาจากด้านหลังพร้อมดึงซย่าชิงอีมาหลบหลังตัวเอง ชายในชุดสูทสีดำที่นั่งข้างเธอลุกขึ้นมาเหวี่ยงหมัดเข้าที่สันกรามของเขา หลังจากที่เห็นเจ้านายของตัวเองล้มไปกองลงกับพื้น เขาผลักเธอไปทางประตูอย่างแรงเมื่อดึงเธอมาด้านหลัง “รีบหนีไป!”

 

 

เธอประคองตัวเองขณะที่มองไปที่โม่หันที่กำลังต่อสู้กับชายคนนั้นและประธานตู้ซึ่งลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ว ประธานตู้ที่อยู่ในอารมณ์เดือดคว้ามีดขึ้นมาและขยับไปหาหมายจะแทงเขา โม่หันไม่ทันรู้ตัวเพราะกำลังจัดการกับชายอีกคนอยู่ เธอมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างระวังตัวขณะที่หยิบจากบนโต๊ะมาโยนออกไป จานใบนั้นกระแทกเข้ากับศีรษะของคนที่ถือมีดอยู่พร้อมกับมีดที่หล่นลงเฉี่ยวถากลงที่แขนของโม่หันและเลือดที่เริ่มไหลซึมออกมา

 

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลามานั่งสำรวจบาดแผลขณะที่กัดฟันแน่นออกแรงเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระจากชายอีกคนที่จับที่ข้อมืออยู่ เขาพลิกขาและทำให้ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นก่อนใช้โอกาสนี้ในการเหยียบลงบนมือของอีกฝ่ายพลางกลับมานั่งทับบนร่างของฝ่ายตรงข้าม โม่หันกดศีรษะของเขากระแทกลงกับพื้นจนสลบไป

 

 

เมื่อหันไปมองประธานตู้ที่กำลังก้าวไปหาซย่าชิงอีพร้อมมีดในมือ เธอถอยหลังจนชิดกับประตูที่ปิดอยู่ ทำให้ไม่มีใครเข้ามาในห้องได้ เขาวิ่งไปกระโดดถีบอีกฝ่ายจากด้านหลัง ร่างของประธานตู้ปลิวไปนอนกองบนพื้นขณะที่เขาหอบเหนื่อยพร้อมมีดที่ตกอยู่ข้างตัว

 

 

ซย่าชิงอีเห็นผู้ชายที่สลบล้มลงไปด้านหลังเขาและรีบวิ่งเข้ามาหา เธอมองโม่หันอย่างเป็นห่วงขณะที่ดึงแขนเสื้อของเขา “เราจะทำยังไงกันดีคะ ยังมีลูกน้องของเขาอยู่ข้างนอกเต็มไปหมดเลย”

 

 

เขาตบหลังมือเธอเบาๆ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกสักพักตำรวจก็จะมาแล้ว” เขามองรอยเลือดบนลำคอของอีกฝ่ายและแตะลงบนแผลพลางเช็ดเลือดออกให้อย่างแผ่วเบา “เธอเป็นอะไรไหม”

 

 

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ซย่าชิงอีหลบหน้าเขา “พี่เรียกตำรวจมาเหรอคะ”

 

 

“พี่บอกเพื่อนว่าถ้าพี่ไม่กลับไปภายในหนึ่งชั่วโมงให้โทรเรียกตำรวจได้เลย เดี๋ยวอีกสักพักตำรวจคงมากันแล้ว”

 

 

“ถ้าพวกคนข้างนอกบุกเข้ามาก่อนที่ตำรวจมาถึงจะทำยังไงล่ะคะ”

 

 

“ไม่เป็นไร เราก็แค่จัดการใครก็ตามที่เข้ามา”

 

 

เสียงวุ่นวายจากด้านนอกดังขึ้นให้เธอยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขณะที่จับแขนเสื้อของเขาไว้และซ่อนอยู่ด้านหลังของเขา ในตอนที่เธอจับแขนเสื้อก็เห็นว่ายังคงมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่แขนของเขา เลือดไหลลงมาตามปลายนิ้วของเขาทีละหยด

 

 

เขาสังเกตแววตาของเธอและขยับมือไว้ด้านในไม่ให้เธอเห็นบาดแผลของเขา “พี่ไม่เป็นไร แค่เลือดออกนิดเดียว”

 

 

“ฉันขอโทษ…”

 

 

“เธอจะขอโทษทำไม” เขารู้สึกงุนงง

 

 

“ฉันขอโทษ…” เธอก้มหน้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

 

 

โม่หันถอนหายใจอย่างต้องการจะพูดบางอย่างในจังหวะเดียวกับเสียงรถตำรวจที่ดังขึ้นด้านนอก เสียงโกลาหลเกิดขึ้นทันทีเมื่อประตูถูกพังมาจากด้านนอก เขาเงี่ยหูฟังจนกระทั่งเสียงนั้นค่อยๆ เงียบสงบลง จากนั้นจึงมีเสียงเคาะประตูตามมา เขาให้เธอหลบไปอยู่ด้านหลังเขาขณะที่ขยับตัวไปด้านหน้าเพื่อเปิดประตู

 

 

เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นหัวหน้าจางในชุดเครื่องแบบอยู่ด้านนอก

 

 

“เราจับตัวคนร้ายได้แล้ว คุณสองคนไม่เป็นอะไรใช่ไหม” อีกฝ่ายถามขึ้น

 

 

“พวกเราไม่เป็นไรครับ” เขาชี้ไปที่คนสองคนที่นอนกองอยู่กับพื้นในห้องและเอ่ย “พวกเขาสองคนสลบไปแล้วครับ คุณคิดว่าต้องส่งตัวพวกเขาไปโรงพยาบาลหรือเปล่า”

 

 

“ไม่ต้องห่วง เราจะจัดการทางนี้เอง มันไม่ใช่แค่คดีแพ่งแล้ว ตอนนี้พวกเขาจะถูกแจ้งจับในคดีอาญาด้วย” หัวหน้าจางมองโม่หันที่ยังมีเลือดไหลที่แขนและถาม “แขนของคุณเป็นอะไรหรือเปล่า คุณควรไปทำแผลที่โรงพยาบาลสักหน่อยนะ”

 

 

ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเจ็บแผลที่แขนขึ้นมานิดๆ “เดี๋ยวผมจะไปโรงพยาบาลครับ”

 

 

“ไปกันตอนนี้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่จางอยู่ที่นี่แล้ว แขนของพี่ยังเลือดไหลอยู่เลย ฉันจะไปโรงพยาบาลกับพี่เอง” เธอว่า

 

 

หัวหน้าจางอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อมองไปที่พวกเขา กำลังคิดในใจว่าระหว่างพวกเขาคงจะมีความสัมพันธ์ที่ยังไม่ชัดเจนซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่ แค่มองสายตาของพวกเขาก็รู้แล้วซึ่งเป็นเหตุให้เขาพูดคะยั้นคะยอโม่หัน “ใช่ๆ ฉันอยู่จัดการที่นี่ต่อแล้ว คุณไปโรงพยาบาลกับเธอเถอะ”

 

 

“งั้นก็ไปกันเถอะ” เขากล่าวออกมาในท้ายที่สุด

 

 

แม้ว่าพวกเขาจะกำลังเดินทางไปโรงพยาบาลแต่โม่หันก็ยังใจเย็นเหมือนกับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขาพาเธอขึ้นรถของตัวเองและใช้เพียงมือเดียวขับตรงไปที่โรงพยาบาล ซย่าชิงอีที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้ามองมาที่แขนเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เอนตัวมาที่เบาะหลังและเจอเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งที่เธอตั้งใจจะใช้พันรอบแขนของเขาเพื่อหยุดเลือดไว้

 

 

“ไม่จำเป็นหรอก” เขาถอนมือกลับขณะที่จดจ่อกับการขับรถต่อไป

 

 

ทว่าน้ำเสียงแข็งและเย็นชาของเธอที่แฝงความโกรธอยู่ในทีก็ดังขึ้น “ส่งมือมาให้ฉันค่ะ แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเอง”

 

 

เขาหมุนพวงมาลัยด้วยมือซ้ายพลางมองอีกฝ่ายที่พันผ้ารอบแขนของตัวเองด้วยท่าทางจริงจัง รู้สึกเหมือนกับไม่ได้เห็นเธอทำหน้าตาแบบนี้มาสักพักแล้ว หรือจริงๆ แล้วเขาไม่เคยเห็นเธอทำแบบนี้เลยกันนะ

 

 

หลายวันมานี้โม่หันเฝ้าเพียรบอกตัวเองว่าไม่ให้หวั่นไหวไปกับการกระทำของเธอ เธอบอกเขาชัดเจนแล้วว่าเธอไม่ได้ชอบเขา และเขาก็ไม่ควรคิดมาก ไม่ควรคิดมากไปกว่านี้

 

 

แต่ยิ่งเขาทำตัวห่างเหินกับเธอเท่าไร เขาก็ยิ่งหวั่นไหวกับเธอมากขึ้นเท่านั้น

 

 

ทั้งสองคนเข้ารับการรักษาหลังจากมาถึงโรงพยาบาล หมอบอกว่าแผลของเขาค่อนข้างลึกและต้องเย็บ อีกฝ่ายฉีดยาชาให้เขาและบอกให้ขึ้นไปนั่งบนเตียงคนไข้ก่อนที่จะเย็บให้ปากแผลติดกันก่อนจะพันแผลทับอีกทีหนึ่ง

 

 

ซย่าชิงอีนั่งอยู่ด้านนอกม่านที่ปิดล้อมรอบเตียงคนไข้ ทั้งคู่ถูกแยกออกจากกันเพียงผ้าม่านกั้น เธอรู้สึกแย่เล็กน้อยขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และเขี่ยนิ้วตัวเองเล่นไปมา

 

 

“ครั้งหน้าอย่าทำแบบนั้นอีกนะ” จู่ๆ โม่หันก็เอ่ยขึ้นมาจากด้านใน

 

 

“เอ๊ะ ทำแบบไหนเหรอคะ” เธอถามกลับ

 

 

“เธอไม่ควรพูดแบบนั้นทั้งที่ประธานตู้กำลังจ่อมีดอยู่ที่คอเธอแบบนั้น” เขากล่าวเสียงเย็น

 

 

“ถ้างั้นฉันควรพูดอะไรล่ะคะ ต้องบอกว่าพี่จะยอมช่วยเขาปกปิดการกระทำผิดข้อหาการใช้เงินกองทุนไปในทางที่ผิดอย่างนั้นเหรอ ฉันควรยอมทำตามที่เขาต้องการทุกอย่างเหรอคะ” เธอถามซ้ำ

 

 

“ที่พี่หมายถึงคือเธอไม่ควรบุ่มบ่ามขนาดนั้นต่างหาก ตอนนั้นประธานตู้โมโหอยู่ ทำไมเธอต้องไปยั่วให้เขาโกรธมากกว่าเดิมด้วย ถ้าเขาคุมตัวเองไม่ได้จะทำยังไง”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิคะ พี่จะได้มีเวลาสู้เขากลับได้” เธอว่าขึ้นอย่างไม่ใส่ใจอะไร

 

 

“แล้วทำไมต้องใช้วิธีที่เสี่ยงขนาดนี้ด้วย คิดหาวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไง” เพราะผ้าม่านที่กั้นอยู่เธอจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางอย่างไรแต่ก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังดุเธออยู่

 

 

“ประธานตู้คนนั้นเขาทำอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ ดูเขาสิ พุงใหญ่จนเดินโยกไปทั้งตัว เขาจะมีปัญญามาทำร้ายคนอื่นได้สักเท่าไหร่เชียว ต่อให้เขาขยับตัวได้เร็วกว่านี้เขาก็ทำได้แค่ฝากรอยมีดไว้อีกรอยบนคอฉันเท่านั้นแหละค่ะ ฉันมีรอยมีดทั่วร่างขนาดนี้แล้ว จะมีเพิ่มอีกรอยสองรอยก็ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

โม่หันลุกขึ้นอย่างต้องการจะเดินไปหาเธอ แต่หมอก็รั้งเขาไว้ “อย่าเพิ่งลุกสิพ่อหนุ่ม จะรีบไปไหน ผมยังทำแผลให้ไม่เสร็จเลยนะ คู่รักหนุ่มสาวอย่างพวกคุณงอนกันสองวันเดี๋ยวก็กลับมาคืนดีกันแล้ว อย่าเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาใส่ใจเลย จริงไหมล่ะ”

 

 

เธอไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเมื่อเขามองเธอด้วยท่าทางแบบนี้ ได้แต่นั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่ายขณะที่ก้มหน้าเขี่ยนิ้วของตัวเองเล่นต่อ

 

 

“เราไม่ใช่คู่รักกันครับ” เป็นโม่หันที่เอ่ยขึ้น

 

 

หมอที่เพิ่งทำแผลให้เขาเสร็จหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดผ้าพันแผลที่ยาวเกินออกมา วางลงบนโต๊ะและพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “…อีกไม่นานหรอกครับ อีกไม่ช้าเดี๋ยวก็คงได้เป็นแล้วล่ะ พ่อหนุ่ม ผมเป็นคนมองใครไม่เคยผิดหรอก”

 

 

เขาลุกขึ้นยืนพลางขยับข้อมือไปมา คุณหมอเก็บกรรไกรและคีบขณะที่บอกกับเขา “กลับไปอย่ากินอาหารรสจัด อย่าดื่มแอลกอฮอล์ด้วยนะครับ แผลของคุณค่อนข้างลึก ต้องใช้เวลาให้สมานเข้าหากัน มาตัดไหมได้ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนตอนที่กลับมาตามนัดในสัปดาห์หน้านะครับ”

 

 

ซย่าชิงอีมองตามราวกับกำลังตั้งใจฟังที่หมอพูดมากกว่าโม่หันเสียอีก เธอจ้องมองไปที่หมอจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่

 

 

เขาถือสูทที่เปื้อนเลือดไว้ในมือพลางมองจดหมายนัด หมอยังคงว่าต่อจากด้านหลังเขา “ห้ามให้แผลโดนน้ำนะครับ ตอนที่อาบน้ำหรือล้างหน้าอย่าลืมด้วยนะครับ”

 

 

เขาทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่จะออกจากห้องรักษาไป

 

 

เมื่อพวกเขาลงมารับยาด้านล่าง เธออยากช่วยไปเอายาให้เขาโดยบอกว่าเคยมาที่โรงพยาบาลมาก่อนและรู้ว่าต้องไปรับยาที่ไหน แต่เขากลับวางสูทในมือเธอและบอกให้เธอรอเขาอยู่ด้านนอก

 

 

ในโรงพยาบาลเช่นนี้มีคนไม่น้อยที่กำลังต่อแถวรับยาแม้ว่าจะเป็นยาจำนวนไม่มาก เธออยากจะยืนรอเป็นเพื่อนเขาแต่ก็ยอมขยับออกไปด้านหลังอย่าว่าง่ายหลังจากเห็นสายตาแปลกๆ จากคนรอบข้างที่จ้องมองมา จึงทำเพียงยืนรออีกฝ่ายกลับมาพร้อมยาในมือ

 

 

ระหว่างทางกลับบ้าน บรรยากาศในรถไม่ได้อึดอัดเหมือนอย่างหลายวันก่อน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คุยกันมากนักก็ตาม โม่หันยังคงจดจ่ออยู่กับการขับรถ เธออยากจะพูดกับเขาแต่เมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องมองไปข้างหน้าราวกับไม่อยากจะเสวนากับเธอ เธอจึงได้แต่หันหน้าออกไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset