ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 181 เมา

การประชุมเรื่องการลงนามสัญญากับบริษัทข้ามชาติเป็นไปได้ด้วยดีเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ ทั้งสองฝ่ายเจรจาร่วมกันมากว่าหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะจัดทำเอกสารจนเสร็จสิ้น เขาเดินทางไปต่างประเทศกับนักกฎหมายที่บริษัทอีกไม่กี่คนเพื่อส่งมอบงานให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของคู่สัญญาอีกฝ่ายและศึกษาว่าปกติแล้วบริษัทของพวกเขาทำงานกันอย่างไร พวกเขาลงนามในสัญญาร่วมกันเป็นเวลาสองปี

 

 

สิ่งที่เขาไม่ได้คาดไว้คือการเห็นซย่าชิงอีโบกมือให้เขาจากที่ไกลๆ ที่สนามบินในวันที่เขาเดินทางกลับมา

 

 

โม่หันเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับนักกฎหมายที่เดินทางไปกับเขาในครั้งนี้

 

 

“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ล่ะ”

 

 

“มารับพี่ค่ะ” เธอหัวเราะออกมา

 

 

นักกฎหมายที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานและไม่เคยเห็นน้องสาวของเขา พวกเขาใจสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กสาวซึ่งมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะหันมองโม่หัน

 

 

เขาแนะนำเธอให้พวกเขารู้จัก “เธอเป็นน้องสาวของผม”

 

 

“โอ้! เธอคือน้องสาวของคุณที่ผมได้ยินคนพูดถึงอยู่บ่อยๆ นี่เอง! ตัวจริงสวยกว่าที่เคยได้ยินมาอีกนะครับ!”

 

 

เธอเหลือบมองโม่หันก่อนที่จะโบกมือทักทายพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายและเอ่ยเสียงนุ่มนวล “สวัสดีค่ะ”

 

 

เขาว่าขึ้น “พี่บอกเธอเหรอว่าจะกลับมาถึงกี่โมง”

 

 

“ฉันถามจากหลิวจื้อหย่วนเอาน่ะค่ะ”

 

 

“เธอมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

“ฮืม… ไม่นานหรอกค่ะ รอได้พักเดียวเอง” เธอถาม “หลังจากนี้ฉันไปที่บริษัทพี่ได้ไหมคะ ฉันไม่มีเรียน และอยู่คนเดียวมันก็น่าเบื่อเอามากๆ”

 

 

ผู้ร่วมเดินทางที่ยืนอยู่ข้างๆ เขามองพวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุขและได้แต่ยิ้มออกมา

 

 

เขาว่าขึ้น “ทำตามที่พี่เคยสั่งด้วย ห้ามก่อเรื่องและอย่าไปรบกวนเวลาทำงานของพวกเขา”

 

 

“รู้แล้วค่ะ… รู้แล้ว… ฉันจำมันได้ขึ้นใจเลยค่ะ” เธอตอบกลับ

 

 

หลังจากพวกเขากลับมาถึงบริษัทพนักงานหลายคนต่างแปลกใจที่เห็นซย่าชิงอีมาด้วย ถ้าจำไม่ผิดพวกเขาไม่ได้เห็นเธอแวะเข้ามากว่าสองเดือนแล้ว ก่อนหน้านี้เธอมักจะตรงมาที่นี่หลังจากที่เลิกเรียน บางครั้งก็จะเอาการบ้านมาทำ อ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์ของตัวเองในห้องทำงานของโม่หันระหว่างที่รอพี่ชายเลิกงานและกลับบ้านไปพร้อมกัน

 

 

เซียวจางที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะรับรองดวงตาเป็นประกายทันทีที่เห็นเธอ รีบกล่าวทักทายทนายโม่ก่อนที่จะดึงตัวซย่าชิงอีไปถามเรื่องต่างๆ มากมาย

 

 

ซย่าชิงอีเองก็สบายใจและนั่งคุยกับอีกฝ่ายอยู่นาน ส่วนใหญ่พวกเขาจะบอกว่า ‘ระหว่างที่คุณไม่ได้มาที่นี่ เจ้านายทำงานจนดึกดื่นทุกวัน เขาไม่มีแม้แต่เวลาว่างให้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ’ ทำให้เธอคิดว่าซย่าชิงอีทะเลาะกับเจ้านายของเธอเสียอีก

 

 

เธอทำเพียงส่ายหน้าพลางส่งยิ้มให้ พร้อมบอกว่าช่วงนั้นเธอแค่ต้องเดินทางกลับเพราะที่บ้านมีปัญหาเกิดขึ้น

 

 

ราวห้าโมงเย็นระหว่างที่เธอยังคงพูดคุยกับพนักงานที่รู้จักกัน โม่หันก็เดินออกมาจากห้องทำงานและบอก “วันนี้เราจะเลิกงานกันเร็วกว่าปกติ ผมจะเลี้ยงอาหารทุกคนเอง”

 

 

ทันใดนั้นเองพนักงานในบริษัทต่างก็ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี

 

 

พนักงานที่อยู่ข้างๆ แตะไหล่เธอและว่าขึ้น “ดูสิคะ! คุณต้องไม่เชื่อฉันแน่ถ้าฉันบอกว่าสิ่งดีๆ มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่คุณมาที่นี่เลยค่ะ”

 

 

เธอหลุดขำออกมาท่ามกลางกลางกลุ่มคน เสียงเฮ และบรรยากาศอื่นๆ รอบตัว

 

 

เธอมองเห็นโม่หันจากระยะไกล

 

 

ผู้ชายคนนั้นที่กำลังยิ้มอยู่ ผู้ชายหน้าตาดีและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในชุดสูทของเขา

 

 

ราวกับว่าเสียงรอบข้างเธอจะเงียบสงัดลง

 

 

เธอเห็นเขาก้าวมาหาตัวเอง

 

 

“ไปกันเถอะ? เธอไม่ได้บอกว่าอยากจะไปกับพวกเราเหรอ” เขาเอ่ยถาม

 

 

เธอจ้องมองเขากลับ “ไปสิคะ”

 

 

ห้องอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงามเอาไว้ถูกจองไว้ในชื่อโม่หัน มีพนักงานกว่าสามสิบคนเข้าร่วมมื้ออาหาร พวกเขาแบ่งออกเป็นสองโต๊ะในห้องขนาดใหญ่ทำให้ดูไม่แออัดแม้แต่น้อย

 

 

เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีงานเลี้ยงแบบนี้มาสักพักแล้ว คนที่กำลังกินอาหารที่โต๊ะจึงต่างตื่นเต้นกันมาก เมื่อเทียบกับโม่หันแล้วเขาดูราวกับอยู่คนละโลก และทำเพียงมองพวกเขาพูดคุยกันเงียบๆ ขณะที่ก้มลงไปกินอาหารเป็นบางครั้ง ทว่าซย่าชิงอีที่นั่งอยู่ข้างกายกลับเอาแต่คุยกับพนักงานสาวคนหนึ่งที่นั่งติดกันอีกด้านไม่หยุด

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น นักกฎหมายคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัทซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอก็เอาแต่ปิดปากหัวเราะเหมือนกับคนเสียสติ สายตาของเขาไม่ละไปจากใบหน้าของเธอขณะที่ใจของเขาก็ครั่นอยากจะทำบางอย่าง เขารวบรวมความกล้าก่อนจะหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและขยับเข้ามาใกล้เธอ “น้องสาว อยากดื่มหน่อยไหม”

 

 

เมื่อซย่าชิงอีที่ยังคุยอยู่กับคนข้างๆ ได้ยินคนแปลกหน้าที่นั่งตรงข้ามเรียกเธอแบบนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรไป โม่หันที่นั่งอยู่อีกข้างก็พูดขึ้นมาเสียก่อน “เธอไม่ดื่มครับ ผมจะดื่มแทนเธอเอง”

 

 

เธอมองโม่หันที่ลุกยืนและคว้าแก้วไวน์มากระดกดื่มรวดเดียว

 

 

หลิวจื้อหย่วนที่นั่งอยู่ที่อีกฟากของโต๊ะยาวได้ยินเสียงวุ่นวายมาจากอีกด้าน เขาก็ตะโกนบอกมาจากที่ไกลๆ “น้องสาวของโม่หันดื่มไม่ได้จริงๆ ครับ ครั้งที่แล้วเธอทำตัวแปลกๆ หลังจากที่ดื่มไปแก้วหนึ่ง พวกเราขำกันแทบตายเลยครับ”

 

 

พนักงานบางคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งที่แล้วจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาเริ่มหัวเราะกันคิกคัก “ฉันจำได้… เรื่องนี้คุณโทษเธอไม่ได้นะ… ดื่มไปแค่นิดเดียว เธอก็เมาจนแทบเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย”

 

 

เด็กสาวต้นเรื่องทำได้เพียงมองคนรอบตัวด้วยสีหน้างุนงง ก่อนที่จะหันไปหาโม่หันและถามขึ้นเบาๆ “วันนั้นฉันทำอะไรลงไปหลังจากที่เมาเหรอคะ”

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก เธอแค่ทำตัวเพี้ยนๆ เฉย”

 

 

“เพี้ยนยังไงล่ะค่ะ ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ”

 

 

“พี่ถึงบอกให้ว่าห้ามดื่มแอลกอฮอล์ข้างนอกบ้านและให้บอกคนอื่นไปว่าเธอแพ้แอลกอฮอล์ยังไงล่ะ”

 

 

“ถ้างั้นก็บอกฉันมาสิคะว่าฉันทำตัวเพี้ยนๆ ยังไง ฉันกังวลอยู่แบบนี้เพราะไม่รู้อะไรเลยต่างหาก”

 

 

อีกฝ่ายหันกลับมาส่งยิ้มให้และเอ่ย “ค่อยๆ คิดกับตัวเองดีๆ สิ”

 

 

เธอมองค้อนใส่เขาและไม่หันไปคุยกับเขาอีก

 

 

ระหว่างมื้ออาหารโม่หันต้องออกไปรับโทรศัพท์ที่ดูเหมือนจะเป็นสายเกี่ยวกับเรื่องงาน เขาลุกออกจากโต๊ะไปคุยด้านนอกห้อง หลังจากนั้นอยู่ๆ พนักงานสาวที่นั่งข้างเธอก็กระซิบเธอเบาๆ “นี่ คุณอยากรู้หรือเปล่าว่าครั้งที่แล้วคุณทำอะไรลงไปหลังจากเมา”

 

 

เธอหันไปมองหน้าอีกฝ่าย “ฉันทำอะไรเหรอ”

 

 

“คุณจูบเจ้านายของเราแบบปากแตะกันค่ะ” พนักงานสาวอ้าปากกว้างบอกเธอแม้ว่าน้ำเสียงที่ออกมาจะเบาจนแทบไม่ได้ยิน

 

 

เธอแทบหยุดหายใจ “คุณล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย!”

 

 

“ฉันจะล้อเล่นทำไมกันคะ ฉันพูดเรื่องจริง!”

 

 

“เป็นไปไม่ได้! ทำไมฉันถึงจำไม่ได้เลยล่ะ” เธอไม่อยากจะเชื่อ

 

 

“ฉันยังมีรูปอยู่เลย! ถึงจะไม่ใช่รูปที่คุณจูบเขาก็เถอะ แต่มันก็เหมือนๆ กันแหละค่ะ” ฝั่งตรงข้ามหยิบโทรศัพท์ออกมาหารูปที่ถ่ายไว้วันนั้นอย่างตื่นเต้น

 

 

มันเป็นรูปที่โม่หันกำลังกอดกึ่งอุ้มเธอ ในรูปนั้น เธอแทบจะพิงตัวเข้าในอ้อมแขนของเขา สีหน้าของเขาดูเอือมระอาในขณะที่เอนตัวไปด้านด้านหลัง เขาใช้เพียงมือเดียวประคองเธอไม่ให้ล้มลงไปบนพื้น

 

 

เมื่อได้เห็นรูปนั้น เธอก็รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างด้วยความตกใจ เธอยังไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงตรงหน้า ในขณะที่ได้แต่นั่งมองรูปในโทรศัพท์นั้นอย่างเหม่อลอย

 

 

“วันนั้นคุณไม่ได้จูบทนายโม่แค่คนเดียวนะคะ ยังมีทนายจางที่นั่งข้างคุณด้วย” อีกฝ่ายชี้ไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอีกด้าน “ตรงนั้นค่ะ…เขาคือทนายจาง”

 

 

“ถ้าทนายโม่ไม่เข้ามาห้าม คุณคงได้จูบพวกเราทุกคนในห้องแน่” เธอว่าขึ้นซ้ำ

 

 

ด้านซย่าชิงอีกลับพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไปเสียแล้ว

 

 

“นี่… จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะคะ พวกเราบ้ากว่านี้อีกตอนที่เมาน่ะค่ะ” เธอพูดปลอบเธอหลังจากเห็นคนฟังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

 

 

“โม่หัน… พี่ชายของฉัน… เขาพูดอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถาม

 

 

“เขาจะพูดอะไรได้ เขาก็คงตกใจมากใช่ไหมล่ะคะ คุณรู้ไหมว่าทำอะไรลงไปก่อนที่จะจูบเขา… คุณนับถอยหลังก่อน พวกเรางงกันไปหมดว่าคุณนับทำไม และพอนับถึงสามคุณก็จูบเขา คุณคงไม่ได้เห็นท่าทางของเขาว่าอึ้งไปขนาดไหน”

 

 

ระหว่างที่กำลังคุยกันโม่หันก็กลับมาจากคุยโทรศัพท์ด้านนอก เธอรีบนั่งตรงและหยุดพูดกับหญิงสาวข้างตัวทันทีก่อนที่จะจ้องอาหารตรงหน้าเธอแทน

 

 

เขาไม่ทันได้สังเกตท่าทางของเธอในตอนที่กลับมานั่งที่ที่นั่งตัวเอง เหลือบมองเธอครั้งหนึ่งก่อนที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมากินอาหารต่อ เธอไม่กล้ามองเขาและยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อซ่อนพิรุธของตัวเอง แต่สุดท้ายก็สำลักน้ำออกมาหลังจากที่กระดกดื่มเร็วเกินไป น้ำหกลงบนตัวเธอในขณะที่ไอไม่หยุด

 

 

เขาตบหลังเธอเบาๆ “คิดอะไรอยู่ เธอใจร้อนแม้กระทั่งตอนดื่มน้ำเลยหรือไง”

 

 

เธอโบกมือพร้อมใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดง อาการไอเริ่มบรรเทาลงในขณะที่ทำท่าบอกเขาว่าให้หยุดตบหลังเธอได้แล้ว

 

 

ยิ่งเขาสัมผัสเธอก็ยิ่งทำให้นึกถึงเรื่องที่หญิงสาวอีกคนบอกเธอก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีเรื่องระหว่างพวกเขาเกิดขึ้น เธอคงไม่เก็บเอาเรื่องนี้มาคิดมาก แต่เพราะว่าเขาจูบเธอเมื่อสองวันก่อนและนั่นทำให้ทุกอย่างยิ่งซับซ้อนมากขึ้น

 

 

ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงตกหลุมรักเธอ แต่ตอนนี้เมื่อเธอรู้ว่าเคยเผลอจูบเขาก่อนหน้านี้ เธอก็คาดเดาขึ้นได้บ้าง หลังจากที่เกิดเรื่องเขาคงจะมองเธอเป็นน้องสาวเหมือนคู่พี่น้องปกติไม่ได้อีก

 

 

ตอนนี้เมื่อครุ่นคิดดู เธอก็พบว่าเป็นเธอเองที่เป็นคนทำลายความสัมพันธ์แบบพี่น้องระหว่างพวกเขาก่อน

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้หัวใจของเธอก็ไหวหวั่นขึ้นมา รู้สึกขนลุกจนตื่นจากอาการง่วงงุนหลังจากที่อิ่มท้อง

 

 

เมื่อมื้ออาหารจบลงเขาก็ตรงไปที่โต๊ะรับรองด้านหน้าเพื่อจัดการค่าใช้จ่าย หลังจากอีกฝ่ายลุกออกไปเธอก็รู้สึดอึดอัดจึงเดินออกมาด้านนอกบริเวณทางเดินและวนไปมาไปทั่ว ยังคงมึนงงอยู่ในหัวในขณะที่พิงตัวยืนผ่อนคลายกับกำแพง เธอทรุดตัวนั่ง มือหล่นลงบนพื้นและเริ่มใช้นิ้ววาดวงกลมไปเรื่อยๆ บนพื้น

 

 

“เธอออกมาทำไม” โม่หันเห็นเธอก้มหน้านั่งลงกับพื้นในตอนที่กลับมาจากชำระค่าอาหาร เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่

 

 

คนถูกถามแหงนหน้ามองเขาครั้งหนึ่งก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง และยังคงนั่งอยู่บนพื้นแทนที่จะลุกขึ้นยืน

 

 

เขาเดินมายืนข้างๆ ก่อนนั่งลงเช่นกันและถามขึ้น “มีอะไร เธอไม่มีความสุขเหรอ”

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย อยากจะเอ่ยปากพูดแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

 

 

“เธอไม่ได้เมาอีกแล้วใช่ไหม” ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นใบหน้าที่แดงผิดปกติของเธอในขณะที่เอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าขึ้นสีของเธอ

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset