ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 185 จูบยามเช้า

“ฉันจะดูนาฬิกาว่ากี่โมงแล้ว”

 

 

“ไม่ต้องดูหรอกน่า พี่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เจ็ดโมงครึ่งแล้ว หลับต่ออีกหน่อยเถอะ” โม่หันก้มศรีษะซุกซบลงกับต้นคอของเธอ

 

 

“เมื่อคืนฉันเผลอหลับไปตอนไหนเหรอคะ”

 

 

“แป๊บหนึ่งก็ผล็อยหลับแล้ว เธอหลับไปทั้งที่ยังนอนซบอกพี่อยู่นั่นล่ะ” เขาตอบกลับเสียงเบา

 

 

“ทำไมพี่อุ้มฉันมานอนห้องพี่ล่ะคะ”

 

 

เปลือกตาของเขายังคงปิดสนิทขณะที่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เพราะพี่อยากนอนกับเธอ”

 

 

ตอนนั้นเองที่เสียงนาฬิกาปลุกที่โม่หันตั้งเอาไว้ดังขึ้น ซย่าชิงอีดันตัวเขาออกเล็กน้อย “นี่… ได้เวลาตื่นแล้วนะคะ”

 

 

คนถูกปลุกมุ่ยหน้าพลางเอื้อมมือออกไปปิดเสียงนาฬิกา ก่อนจะกลับไปเอนฟุบศรีษะแนบกับลำคอของเธอ เธอใช้นิ้วเคาะศีรษะเขาพร้อมเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น “พี่เป็นแบบนี้ทุกเช้าเลยเหรอคะ”

 

 

“เปล่า แค่จู่ๆ ก็รู้สึกว่า… การนอนหลับเป็นสิ่งที่สบายเอามากๆ พอมีเธออยู่ข้างๆ แบบนี้”

 

 

“ที่บอกว่าพอมีฉันอยู่ข้างๆ หมายความว่าอะไรคะ ปกติการนอนหลับก็สบายอยู่แล้วนี่” เธอผลักศีรษะหนักๆ ของอีกฝ่ายที่ซบอยู่ที่ต้นคอออกไปในขณะที่เอ่ยเสียงเข้ม “ลุกได้แล้วค่ะ พี่ต้องไปทำงานและฉันก็ต้องไปเรียนเหมือนกัน”

 

 

ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นมาจริงๆ เสียทีพร้อมคลายอ้อมแขนที่โอบร่างเธอลงเล็กน้อยก่อนหรี่ตามองเธอ “จูบตอนเช้าหน่อยสิ”

 

 

เธอท้วง “แต่ว่า… ฉันยังไม่ได้แปรงฟันเลย”

 

 

โม่หันดันตัวเธอนอนลงอีกครั้งและประกบจูบอีกฝ่ายทันที สิ่งที่เขาโปรดปรานที่สุดคือการได้จูบริมฝีปากล่างที่นุ่มนิ่มราวกับสำลีของเธอ เขามักแทบจะหลุดหัวเราะออกมาทุกครั้งที่มองหน้าเธอใกล้ๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปขบเม้มริมฝีปากล่างของเธอ

 

 

เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปประสานนิ้วมือเข้ากับอวัยวะเดียวกันของเธอที่วางอยู่บนเตียงขณะที่อีกมือวางพักอยู่เหนือศีรษะของเธอ ก่อนสอดลิ้นเข้าไปสำรวจทั่วทุกมุมในโพรงปากของอีกฝ่าย เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเธออย่างโหยหา พวกเขาผละออกจากกันชั่วครู่ก่อนขยับเข้าหากันอีกครั้งจนกระทั่งเธอหายใจไม่ทันพร้อมใบหน้าขึ้นสีแดง

 

 

ดวงตาของซย่าชิงอีฉ่ำปรือในขณะที่หอบเหนื่อยเมื่อเขาละริมฝีปากออกมาจากเธอ เขาขยับไปจูบที่ใบหูอีกครั้งก่อนค่อยๆ เลื่อนลงมาบริเวณลำคอ ดูดดึงบนผิวหนักๆ ทิ้งรอยไว้บนนั้น เธอมุ่ยหน้าด้วยความเจ็บแต่ไม่ได้ตอบโต้เขากลับไปเพราะหมดแรงทั้งหมดไปกับการจูบของอีกฝ่าย

 

 

เขายังคงจูบเธอไม่หยุด ขยับริมฝีปากจากลำคอขึ้นไปสัมผัสริมฝีปากของเธออีกครั้ง จูบยามเช้าที่ยาวนานเริ่มเกินเลยไปสู่บางอย่างที่มากกว่านั้น

 

 

โม่หันเป็นฝ่ายที่หยุดพร้อมผละออกจากริมฝีปากที่บวมขึ้นเล็กน้อยของเธอ เขาหอบออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยมือเธอและทิ้งตัวลงนอนข้างๆ

 

 

“เราเลิกจูบกันได้แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นต้องเลยเถิดเลยแน่ๆ”

 

 

ตอนนั้นเองที่เธอสังเกตว่ามีบางสิ่งผิดปกติใกล้ๆ ขาของเธอ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งขึ้นสีมากขึ้น ทว่าก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา เขาก็ลุกขึ้นจากเตียงและหันหลังให้เธอ

 

 

“พี่จะไปอาบน้ำก่อน เธอก็ลุกจากเตียงได้แล้ว”

 

 

ซย่าชิงอีซุกใบหน้ากับผ้าห่ม ทำใจให้สงบสักพักก่อนในที่สุดจะเงยหน้าขึ้นมาและลุกขึ้นมาอาบน้ำ

 

 

ถ้าเป็นไปตามที่เธอวางแผนไว้ เธอต้องไปเรียนหนังสือให้ทันคาบแรกภายในแปดโมงครึ่ง กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนร่วมชั้น ก่อนกลับไปเรียนต่อในคาบบ่าย และอาจจะไปที่บริษัทของโม่หันหรือรอเขามารับเธอที่มหาวิทยาลัยไปกินอาหารเย็นหลังจากนั้น

 

 

เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องเปลี่ยนแผน คงจะดีหากเธอจะใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้เธอมีเพื่อนบ้างแล้วและคิดว่าสามารถเรียกพวกเขาว่าเพื่อนสนิทได้ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวในมหาวิทยาลัย เธอมีโม่หันอยู่ข้างกายแม้จะยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและค่อยๆ ช่วยกันแก้ปัญหามากมายที่ต้องเจอในอนาคตข้างหน้า

 

 

เมื่อคิดว่าทุกวันในชีวิตต่อจากนี้อีกสิบปีให้หลังจะเป็นเช่นนี้เธอก็รู้สึกว่ามันก็ไม่เลวนัก ดูเหมือนว่าเธอจะผ่านทุกอย่างไปได้ตราบใดที่มีโม่หันอยู่เคียงข้าง มีเพื่อนที่สามารถพูดคุยด้วยได้ และมีแม่ที่คอยคิดถึงเธออยู่เสมอ

 

 

อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้ไปเข้าเรียนคาบแรกของวันภายในเวลาแปดโมงครึ่ง

 

 

ความจริงที่เกิดขึ้นคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่คาดไว้เล็กน้อยเท่านั้น ทว่ามันก็เป็นความคลาดเคลื่อนเล็กๆ ที่ทำให้ผลักให้เธอออกห่างจากชีวิตที่วาดหวังไว้

 

 

วันนั้นเธอรู้สึกเวียนหัวจากการนั่งรสบัสประจำทางนิดหน่อยจนลงผิดป้าย เมื่อลงมาจากรถถึงได้รู้ว่าเธอกำลังอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก

 

 

สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาและตั้งใจจะเดินข้ามไปยังถนนอีกฝั่งเพื่อนั่งรถกลับไปที่ที่จะไปถึงที่มหาวิทยาลัยได้

 

 

เธอเดินข้ามถนนไปอีกฟากของถนนก่อนที่จะยืนรอรถบัสประจำทางที่ป้ายพร้อมๆ กับผู้คนที่ยืนอยู่รอบตัว

 

 

ระหว่างเธอมองไปข้างหน้าอย่างจดจ่ออยู่กับการรอรถประจำทาง ทันใดนั้นเองก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาจับเธอจากด้านหลัง เธอหันไปมองและเห็นผู้ชายที่เธอไม่รู้จัก เขาหน้าตาธรรมดา ไม่สูงมาก รูปร่างโปร่งแต่ก็มีกล้ามเนื้อปรากฏให้เห็น และกำลังมองมาที่เธอด้วยท่าทางตื่นตระหนก

 

 

“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่” ชายคนนั้นถามเธอเสียงเบา

 

 

เธอครุ่นคิดและอยากจะบอกไปว่าเธอไม่รู้จักเขา

 

 

แต่เขาก็มองไปรอบตัวเหมือนกับกำลังระวังตัวจากบางสิ่งก่อนที่จะดึงตัวเธอออกจากบริเวณป้ายรถประจำทาง

 

 

เธอไม่ได้รั้งเขาไว้ สัญชาตญาณของเธอบอกว่าผู้ชายคนนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้นที่เดินตามเธอมาเมื่อคืน อีกอย่างตอนนี้ก็เป็นช่วงกลางวันและยังมีคนพลุกพล่านอยู่รอบข้าง เขาคงทำอะไรเธอไม่ได้

 

 

เขาจับเธอลากเข้ามาในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง และทำเพียงปล่อยเธอหลังจากเห็นว่ารอบข้างปลอดคนแล้ว หยุดยืนอยู่ใกล้ห่างจากเธอไปเพียงสองก้าว “นายน้อยสามมาหาคุณมื่อคืนใช่ไหมครับ”

 

 

ซย่าชิงอีคิดว่านายน้อยสามที่เขาหมายถึงคงหมายถึงผู้ชายที่มาคุยกับเธอในความมืด

 

 

“เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ อันที่จริงแล้วตอนนี้ผมรู้ว่าคุณคงไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เขามาหาคุณในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้เพราะว่าเขาเป็นห่วงคุณนะครับ อย่าต่อว่าเขาเลย” ดูเหมือนเขากำลังแก้ตัวให้กับการกระทำของชายที่ปรากฎตัวเมื่อคืนคนนั้น

 

 

“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหัวหน้าตงและเมื่อเร็วๆ นี้เจ้านายก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พอไม่มีเจ้านายพวกโง่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพี่หลิวอาจจะมาทำให้คุณเดือดร้อนได้ เพราะฉะนั้นช่วงนี้คุณอย่าออกไปไหนบ่อยนักนักนะครับ กลับบ้านเร็วๆ จะดีมากถ้าคุณกลับถึงที่พักก่อนสามทุ่ม ระวังตัวให้มากและปกป้องตัวเองด้วย เข้าใจไหมครับ ถ้าไม่มีทางเลือกก็ไปหาตำรวจ เข้าใจใช่ไหมครับ”

 

 

เขาสังเกตว่าเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย และสายตาของเธอก็ดูเปลี่ยนไปเช่นกัน มันแปรเปลี่ยนมาเป็นสายตาที่อ่อนโยนอย่างน่าเหลือเชื่อและไม่มีแววของความแข็งกร้าวแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เขาถามขึ้นอย่างงุนงง “เกิดอะไรขึ้น…กับคุณเหรอครับ”

 

 

เธอรู้ว่าคนตรงหน้าคนนี้คงรู้จักเธอในอดีตแน่ เธอไม่สามารถโกหกใครสักคนที่ไม่มีทางเข้ามาหลอกลวงเธอได้และตัดสินใจพูดความจริงออกไป “ฉัน…จำคุณไม่ได้ค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็อึ้งไปเล็กน้อยและก้มหน้าลงครุ่นคิดสักครู่พลางพูดกับตัวเอง “คุณความจำเสื่อมนี่เอง… ไม่น่าล่ะ…” เขาถามขึ้นอีกครั้ง “คุณลืมทุกคนเลยเหรอ แม้กระทั่งนายน้อยสามเหรอครับ”

 

 

เธอพยักหน้ารับ

 

 

เขาว่าขึ้นพลางเงยหน้าขึ้น “ดีแล้วล่ะครับที่คุณลืม… จริงๆ แล้วก็ไม่มีเรื่องที่คุณต้องจำมากขนาดนั้น… คงไม่เป็นไรตราบใดที่ตอนนี้คุณยังอยู่สบายดี…”

 

 

ดูเหมือนกับเกือบทุกคนจะไม่ต้องการให้เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต

 

 

ชายตรงหน้าที่ปรากฎตัวขึ้นจมดิ่งลงไปกับเรื่องราวในอดีต ท่าทางของเขาดูเศร้าสร้อยหลังจากรู้ว่าเธอจำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย ก่อนพูดกับเธอและเหมือนจะบอกกับตัวเองอยู่ในที “หลังจากนั้น… พวกเราหลายคนก็ติดหนี้คำขอโทษ… กับคุณ… กับเสียวเหยี่ยจริงๆ ครับ

 

 

“อันที่จริงตอนนี้ผมโล่งใจที่คุณจำอะไรไม่ได้ คงไม่มีจุดจบไหนที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว แม้ว่าผมจะรู้สึกราวกับว่าหินในใจของผมจะหนักอึ้งขึ้นก็ตาม มันคงเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิต”

 

 

เธอมองเขาที่ก้มศีรษะอยู่และเศร้าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เหมือนกับเสียงร่ำไห้จากเสี้ยวหนึ่งในใจของเธอดังขึ้น

 

 

“อีกไม่กี่เดือนก็จะครบรอบการตายของเสียวเหยี่ย เราคงไปเข้าร่วมไม่ได้ ถ้าคุณไปหาเขาผมฝากคำขอโทษไปถึงเขาด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

 

 

พูดจบเขาก็ส่งยิ้มมาให้เธอ “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน… ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะครับ”

 

 

ซย่าชิงอีมองอีกฝ่ายเดินจากไปเหมือนกับที่มองชายคนนั้นเมื่อคืน

 

 

เธอยืนอยู่ในท่ามกลางความสว่าง มองพวกเขาเดินหายเข้าไปในความมืดและมุ่งหน้าไปในที่ไกลแสนไกลจากเธอ ทว่าเธอก็ไม่ได้ไล่ตามเขาไป

 

 

คิดในใจว่าเธอควรแวะไปที่หลุมศพของเสียวเหยี่ย ไม่สำคัญว่าเธอจะได้ความทรงจำกลับมาหรือไม่อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกคือเธอต้องไปหาเขา อดีตของเธอคงเรียกร้องให้เธอทำอย่างนี้เช่นกัน

 

 

ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจโดดเรียนและจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปเมือง A ก่อนโทรบอกโม่หันว่าไม่ต้องมารับเธอคืนนี้ เธออาจจะกลับถึงบ้านช้าหน่อย

 

 

ปลายสายไม่ได้ถามเหตุผลกับเธอและทำเพียงบอกให้เธอระวังตัวระหว่างทางกลับ

 

 

เธอขึ้นเครื่องไปเมือง A ในเวลาสิบเอ็ดโมงและมาถึงจุดหมายตอนบ่ายโมง สามสิบเจ็ดนาที

 

 

เธอตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังสุสานเฉินซื่อเพื่อมาหลุมศพของเสียวเหยี่ยและเดินทางกลับ

 

 

ในจังหวะที่เท้าของเธอแตะลงบนพื้นหลังจากนั่งรถแท็กซี่มาจากสนามบินมาที่ทางเข้าของสุสานเฉินซื่อ ความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ก็เข้าจู่โจมในใจเธออย่างแรง รู้สึกถึงบางอย่างพร้อมจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นระรัวไม่หยุด

 

 

เธอต้องเคยมาที่นี่มาก่อนอย่างแน่นอน เธอมั่นใจอย่างมากว่าตัวเองต้องเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้

 

 

ป้ายที่เขียนว่า ‘สุสานเฉินซื่อ’ ที่หน้าทางเข้าดูเรียบง่ายไม่น้อย จากภาพเขียนและตัวอักษรที่จางหายไปแล้วดูเหมือนสุสานแห่งนี้จะมีอายุยาวนาน บรรยากาศหน้าทางเข้าเงียบสงัดแม้ว่าจะไม่วังเวงเท่าไรนัก มีร้านค้าไม่กี่ร้านอยู่รอบๆ ถนนตลอดทั้งสายเงียบสนิท คงเป็นเพราะว่ายังอยู่ในเวลาช่วงบ่ายอ่อนๆ ที่ยังมีคนไม่เยอะมากนัก

 

 

เธอไม่ได้ตรงเข้าในสุสานทันที เธอสอดส่ายมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนที่หยุดสายตาลงที่ร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

 

 

เธอควบคุมตัวเองเท้าของตัวเองไม่ให้ค่อยๆ ก้าวตามสายตาไปไม่ได้

 

 

“ขอโทษด้วยนะครับคุณ แต่อีกเดี๋ยวร้านก็จะปิดแล้วนะครับ ตอนนี้เรากำลังเตรียมย้ายข้าวของออกไป คุณไปร้านอื่นเถอะครับ” ชายที่อยู่ในเสื้อกล้ามสีดำที่เผยให้เห็นแขนของเขาก้มหน้าลงบอกเธอ หลังจากที่ขนของออกมาจากด้านหลังร้าน

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset