ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 63 อยู่ด้วยกันตลอดไป / ตอนที่ 64 เหมือนเราเคยพบกันมาก่อน

ตอนที่ 63 อยู่ด้วยกันตลอดไป

 

 

โม่หันดึงเก้าอี้และนั่งลงตรงข้ามเธอ มองแซนด์วิชที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งในมือของอีกคน “ของพี่ล่ะ”

 

 

“อะไรคะ”

 

 

“อาหารเช้า”

 

 

“ฉันไม่ได้ทำไว้ให้ค่ะ”

 

 

“ทำไมถึงไม่ได้ทำล่ะ”

 

 

“ปกติพี่ก็ไม่ได้กินนี่คะ”

 

 

เขาเหลือบมอง “ต่อไปทำเผื่อให้ด้วย”

 

 

“ฉันไม่ทำค่ะ” เธอเอ่ย “ไม่เห็นจำเป็นต้องเตรียมอาหารเช้าให้พี่เลยนี่”

 

 

เขาเคาะโต๊ะ น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น “ถ้าเธอไม่ทำเผื่อให้พี่ เธอจะไม่ได้กินส่วนของเธอด้วยเหมือนกัน”

 

 

ในที่สุดซย่าชิงอีก็เงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ก็หันไปอีกทางทันที เธอยืนขึ้นและหยิบกระเป๋าที่วางบนเก้าอี้ข้างๆ “ฉันอิ่มแล้ว จะไปเรียนแล้วนะคะ”

 

 

อีกฝ่ายตอบ “คืนนี้กลับบ้านเร็วหน่อยนะ พี่มีเรื่องต้องคุยกับเธอ”

 

 

เธอทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด และออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองสักนิด

 

 

เฉินโหรวเดินออกมาจากห้องนอนในตอนที่ซย่าชิงอีออกไปแล้ว ยังอยู่ในชุดนอนขณะยืนหาว “วันนี้คุณจะไปสำนักงานหรือเปล่าคะ”

 

 

เขาส่งเสียงตอบรับในลำคอพลางลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าไปที่ห้องครัว เปิดตู้เย็นหยิบแอปเปิลที่ซย่าชิงอีซื้อมาจากร้านค้าเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นอาหารเช้า

 

 

“ฉันไปกับคุณได้ไหมคะ” เธอถามพลางดื่มน้ำไปด้วย

 

 

“ทำไมคุณถึงอยากไปที่สำนักงานล่ะ”

 

 

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่อยากอยู่กับคุณและไปดูว่าที่นั่นยังเหมือนเดิมหรือเปล่าเท่านั้นเองค่ะ”

 

 

“สำนักงานเป็นที่ทำงาน ผมไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวไปปะปน คุณไม่ไปน่าจะดีกว่า” เขากล่าว

 

 

เฉินโหรวรู้ว่าโม่หันเป็นอย่างนี้เสมอ เขามักเห็นว่างานสำคัญกว่าเธอ แต่เธอก็รักเขามากจนทำทุกทางเพื่อให้ได้นักเรียนหนุ่มผู้หล่อเหลาและเย็นชาอย่างเขามาครอบครอง เธอต้องเรียนรู้ที่จะประนีประนอม และยอมลงในหลายๆ เรื่องเพื่อจะได้อยู่กับเขา แม้แต่ตอนที่ต้องย้ายไปต่างประเทศเพื่อฝึกงานและหน้าที่การงานในต่างประเทศเพื่อให้ควรคู่ที่จะอยู่ข้างเขา

 

 

เธอรักเขามากเหลือเกิน และจะไม่ปล่อยให้ทุกสิ่งที่เธอทุ่มเททำมาตลอดต้องเสียเปล่า

 

 

“เมื่อไหร่คุณจะมีเวลาว่างล่ะคะ ไหนๆ ฉันก็กลับมาแล้วเราออกไปเที่ยวเล่นกับเถอะนะคะ”

 

 

“ช่วงนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก มีคดีที่จะต้องเข้าศาลอีกในไม่กี่วันนี้น่ะ” เขาพูด “คุณเพิ่งกลับมาก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนเก่าของคุณก่อน พวกคุณไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่”

 

 

“ฉันไม่ได้ติดต่อพวกเขาสักพักแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะโทรหา ช่วงนี้ขอฉันพักอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน นานแล้วที่ไม่ได้หยุดพักทั้งวันแบบนี้”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ถ้ามีเวลาผมจะพาคุณออกไปเที่ยว”

 

 

คนฟังฉีกยิ้มกว้างขณะที่ดวงตาเป็นประกาย “จริงเหรอคะ”

 

 

“อืม ผมจะหยุดพักสักหน่อยหลังจบคดีนี้”

 

 

โม่หันยังคงรักเธอ เธอมั่นใจอย่างนั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อยากจะใช้เวลากับเธอ เธอคงคิดมากไปเอง อาจจะอ่อนไหวเพราะพวกเขาไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เฉินโหรวคิดในใจ

 

 

เธอรีบก้าวไปหาเขาและกระชับกอดเขา เขย่งตัวจูบเขาที่ริมฝีปาก “ฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้านนะคะ!”

 

 

โม่หันไม่ได้แสดงทีท่าออกมา กล่าวขึ้น “ครับ ตอนนี้ก็ปล่อยผมไปทำงานได้แล้ว ได้เวลาที่ผมต้องออกไปแล้ว”

 

 

อีกฝ่ายยังคงยิ้มขณะปล่อยมือจากเขา “ฉันจะทำของอร่อยๆ ให้คุณทานนะคะ รอฉันนะ”

 

 

โม่หันเดินกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า กระชับเนกไท เก็บกระเป๋าและใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้านไป

 

 

เฉินโหรวที่ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องรู้สึกเหมือนเห็นฉากหวานชื่น ราวกับพวกเขาเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน เธอจินตนาการไปไกลถึงภาพฝันในอนาคตที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

พวกเขาทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 64 เหมือนเราเคยพบกันมาก่อน

 

 

ซย่าชิงอีไม่มีสมาธิเรียนตลอดทั้งวัน พูดให้ถูกคือเธอใจลอยมากกว่าปกติที่เคยเป็น ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเพื่อนร่วมชั้นที่คุยกับเธอ เอาแต่ก้มหน้าขีดๆ เขียนๆ และวาดรูปเต็มกระดาษไปหมด

 

 

เธอมีเพื่อนเพียงไม่กี่คน พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่ข้างเธอในห้องเรียน แต่ก็ไม่ได้ชอบที่จะพูดคุยกับพวกเธออย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าไม่มีเรื่องให้คุยกันมากนัก

 

 

พวกเธอนั่งอยู่ด้วยกัน ซุบซิบเกี่ยวเรื่องดาราคนไหนหล่อกว่ากันอย่างตื่นเต้น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าดาราที่พวกเธอพูดถึงกันเป็นใคร พอพูดถึงเรื่องเสื้อผ้ายี่ห้อไหนสวยกว่า เธอก็ยิ่งไม่รู้จักยี่ห้อเหล่านั้นยิ่งกว่าดาราเสียอีก สำหรับเธอแล้วจะยี่ห้อไหนก็ไม่สำคัญตราบใดที่ใช้สวมใส่ได้ พวกเธอเลยมักจะคุยถูกคอกันเองและเมินเฉยความคิดเห็นของเธอ โดยการบอกว่าคนปกติอย่างพวกเธอไม่สามารถเทียบกับคนที่สวยและหุ่นดีแบบเธอได้หรอก

 

 

หลังจากเป็นแบบนั้นมาสักพัก เธอก็พูดคุยน้อยลงเรื่อยๆ รู้สึกได้เลยว่าพวกเธอคงตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอเข้าแล้ว

 

 

แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ ถ้าเธอไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ คนอื่นถึงได้รู้สึกกับเธอแบบนั้น

 

 

เธอรู้สึกไม่คุ้นเคยทุกครั้งที่เห็นพวกเธอจับมือกระโดดไปมาบนถนน ชีวิตในอดีตของเธอคงไม่เป็นแบบนี้แน่ เด็กสาวคิดในใจ ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยขนาดนี้

 

 

ที่น่าขำคือเธอรู้สึกแบบนั้นทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าอดีตของเธอเป็นอย่างไร

 

 

ความรู้สึกสิ้นหวังรุนแรงจู่โจมเข้าหาทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้

 

 

หลังเลิกเรียน ซย่าชิงอีหันหลังออกจากห้องและถอนหายใจออกมาหลังจากบอกลาเพื่อนร่วมชั้น เธอไม่มีคาบเรียนในตอนบ่ายเลยกำลังคิดว่าจะไปไหนและทำอะไรดี

 

 

ถ้าเป็นปกติเธอคงตัดสินใจกลับบ้านไปดูโทรทัศน์พลางกินขนมไปด้วย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ที่ไม่เหมือนเดิมทำให้เธอไม่อยากกลับบ้านเร็วขนาดนั้น

 

 

ระหว่างที่คิดว่าจะทำอะไรฆ่าเวลาดี เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นในกระเป๋า เธอหยิบออกมาและเห็นว่าเป็นสายจากจางหยาง

 

 

“สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยทักทาย

 

 

[คุณอารมณ์ดีขึ้นหรือยังครับ] ปลายสายกล่าวเสียงยิ้มๆ

 

 

ได้ยินดังนั้น เธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อวาน ใจกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง “ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ คุณมีอะไรหรือคะ”

 

 

[ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ ผมจะโทรหาคุณโดยไม่มีธุระไม่ได้เลยเหรอ] จางหยางถาม

 

 

“ไม่ได้ค่ะ” คนฟังตอบทันที

 

 

คำตอบของเธอทำให้จางหยางรู้สึกเสียใจ [เฮ้ๆ … ทำไมคุณต้องใจร้ายขนาดนี้ด้วย!] เขารีบกล่าวสำทับ [เอาล่ะๆ คุณมีเรียนต่อจากนี้หรือเปล่าครับ]

 

 

“ไม่ค่ะ”

 

 

[ดีเลยครับ อย่างนั้นให้ผมเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อนะ ที่เมื่อวานผมบอกว่าอยากขอบคุณสำหรับเรื่องคดียังไงล่ะครับ อีกอย่างผมมีบางอย่างอยากถามคุณด้วยเหมือนกัน]

 

 

ซย่าชิงอีเดาได้อย่างง่ายดายว่าจางหยางคงมาหาเธอเพราะเรื่องคดีอีก เธออยากปฏิเสธคำชวนของเขา แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอเองจะได้มีเหตุผลที่จะยังไม่ต้องกลับบ้านหากตกลงไปกินข้าวกับเขา

 

 

สุดท้ายจึงกลืนคำที่จะพูดก่อนหน้านี้และตอบกลับไป “ได้ค่ะ”

 

 

อีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจที่เธอตอบตกลงง่ายถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก ทำเพียงบอกสถานที่และพูดว่าเขาจะรีบไป

 

 

ชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็ได้เจอกัน

 

 

“ผมมีอะไรให้คุณดู” จางหยางหยิบรูปออกมาทันทีที่เขาเจอเธอ

 

 

“อะไรเหรอคะ” ซย่าชิงอีรับรูปมาดู

 

 

“รูปของฆาตกรน่ะครับ ถ่ายจากด้านนอกระหว่างการสอบสวน” เขาพูดขณะมองหน้าเธอ “เขาดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อยจนตอนแรกผมกลัวว่าจะจับผิดคน ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งผิดปกติที่เขาเปิดเผยออกมาเองตอนที่เขาคลั่งขึ้นมา”

 

 

เธอเหลือบมองรูปก่อนยื่นคืนให้เขา “ก็ไม่มีอะไรนี่คะ เป็นเขานั่นแหละค่ะ”

 

 

จางหยางงุนงง “ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ คุณไม่ได้เจอเขาต่อหน้าด้วยซ้ำ”

 

 

เธอเหยียดยิ้ม “ไม่ว่าจะพยายามทำตัวเป็นคนปกติแค่ไหน แต่สายตาก็ปกปิดความลับไม่ได้หรอกค่ะ”

 

 

เขาหยิบรูปไปมองอย่างละเอียดอีกครั้ง เห็นเป็นแค่รูปธรรมดาที่ถูกถ่ายตอนที่ฆาตกรถูกสอบสวน ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ “แต่ผมไม่เห็นว่าเขาจะผิดปกติตรงไหนเลย”

 

 

ซย่าชิงอียกยิ้มขึ้นอีกครั้ง “คุณจะเรียนรู้การอ่านสายตาคนเมื่อเจอกับคนพวกนี้มามากพอค่ะ”

 

 

“คุณเคยเจอคนพวกนี้บ่อยๆ มาก่อนหน้านี้เหรอครับ” เขายิ่งสงสัยมากขึ้น เด็กสาวตรงหน้าช่างลึกลับตั้งแต่ครั้งแรกเจอจนกระทั่งตอนนี้

 

 

ฉันเจอคนแบบพวกเขามามาก

 

 

นั่นคำตอบในใจที่เธอเกือบหลุดออกมา เธอชะงักไปในทันที

 

 

ทำไมเธอถึงจะพูดอะไรอย่างนั้นออกไปกันนะ

 

 

ราวกับว่าเธอเคยพูดมันมาก่อนหน้านี้ เห็นแม้กระทั่งสีหน้าเหยียดหยามของตัวเองขณะที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset