ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 127 เจ็บ / ตอนที่ 128 อาการน่าเป็นห่วง

ตอนที่ 127 เจ็บ

 

 

ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความทรมานในค่ำคืนฝนพรำที่เงียบงัน เสียงเบาๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลังโม่หัน

 

 

“พี่ชายคะ… พี่ชาย”

 

 

หัวใจของเขาเต้นแรง ก้าวขาสั่นๆ ของตัวเองไปหาซย่าชิงอี

 

 

“พี่คะ… เจ็บจังเลยค่ะ…” เธอส่งเสียงร้องเบาๆ

 

 

เขาอยากจะตายเสียตรงนี้เมื่อได้ยินเสียงของเธอ คุกเข่าลงบนพื้นและแกะเชือกที่ข้อมือเธออย่างระมัดระวัง ช้อนหลังและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน พยายามฝืนตัวเองไม่ให้พูดละล่ำละลักอย่างหนัก “พี่รู้… พี่รู้… พี่จะโทรตามรถพยาบาลให้เดี๋ยวนี้ อยู่นิ่งๆ นะ อดทนเอาไว้” โม่หันพยายามปลอบอีกฝ่ายเหมือนทุกครั้ง ทั้งที่มือของเขากลับทรยศสั่นระริกขณะที่กดโทรหาโรงพยาบาล

 

 

“เดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว! เดี๋ยวเธอก็หายเจ็บแล้ว” เขากอดร่างเย็นๆ ของเธอไว้ไม่ปล่อยหลังจากโทรตามรถพยาบาล ไม่กล้าปล่อยมือแม้สักนิด

 

 

“ช่วยฉันด้วย… ใส่เสื้อผ้าให้ฉันที…” การส่งเสียงพูดกลายเป็นเรื่องยากสำหรับซย่าชิงอี เธอรู้สึกราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในอกในทุกๆ คำที่หลุดออกจากปาก

 

 

เสื้อเชิ้ตของเธอบนพื้นถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จนใส่ไม่ได้อีกแล้ว เขาค่อยๆ ห่อตัวเธอด้วยเสื้อแจ็กเก็ตที่คลุมตัวเธอไว้ก่อนหน้านี้พลางกลัดกระดุมให้เธอทีละเม็ดด้วยมือสั่นๆ

 

 

“ใส่เรียบร้อยแล้ว เธอไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีใครเห็นแล้ว”

 

 

เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย สติที่หลงเหลือน้อยอยู่เต็มทีถึงขีดจำกัดและเธอกำลังจะตกลงไปในห้วงนิทราลึก

 

 

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว พี่อยู่ตรงนี้แล้ว” เขายกมือลูบใบหน้าของเธอและบังเอิญสัมผัสได้ถึงของเหลวหนืดที่ท้ายทอยของเธอ

 

 

ภายใต้แสงสลัวจากไฟข้างทาง รอยเปื้อนสีแดงก่ำปรากฎบนฝ่ามือของเขา มันเป็นสีของเลือดที่ปนเปกับคราบสกปรก

 

 

เสียงแหบสั่นระรัว “ไม่เป็นไรนะ อย่าหลับ พูดกับพี่สิ”

 

 

ทว่าไม่มีเสียงตอบจากซย่าชิงอี ศีรษะของเธอพิงอยู่กับอกของเขาขณะที่มือของเธอหล่นลงบนพื้นสกปรก เขากอดเธอพลางเช็ดเลือดบนมือออกกับเสื้อของตัวเอง อดกลั้นอารมณ์ปั่นป่วนในใจและวางมือที่บาดเจ็บของเธอบนมือของเขาแทน

 

 

เขาทำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าแตะต้องเธอไปมากกว่านี้อย่างกลัวว่าจะทำให้บาดแผลของเธอรุนแรงมากขึ้น ทำได้เพียงคุกเข่าประคองเธอเอาไว้ ทรมานใจทุกครั้งที่มองใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย เขามองไปรอบถนนดูว่ารถพยาบาลมาถึงหรือยัง

 

 

สำหรับเขา มันเป็นการรอคอยที่ยาวนานเหลือเกิน เขาเกือบจะหมดความอดทนและอุ้มเธอไปที่โรงพยาบาลเอง จนเมื่อเสียงรถพยาบาลดังมาแต่ไกลในกลางดึกที่ฝนตกจนฟ้ามัว

 

 

แม้ความจริงแล้วเขาจะรอเพียงแค่สิบนาที แต่ในใจเขารู้สึกราวกับเป็นปีในทุกนาทีที่ผ่านไป

 

 

“กรุณารออยู่ด้านนอกก่อนและไปดำเนินการธุรกรรมที่ชั้นหนึ่งนะคะ เราจะไปแจ้งให้ทราบหากเกิดอะไรขึ้นค่ะ” พยาบาลและหมอด้านนอกห้องฉุกเฉินห้ามไม่ให้โม่หันเข้าไปและดันเขาออก หลังจากพาซย่าชิงอีเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

 

 

“คุณก็บาดเจ็บเหมือนกันนี่คะ ทำไมไม่ไปล้างแผลก่อนล่ะคะ” พยาบาลอีกด้านแนะนำเขาเมื่อมองเห็นรอยเลือดบนแขนและสภาพเละเทะของเขา

 

 

เขาเบนสายตาจากทางห้องฉุกเฉินมามองแขนของตัวเองและรอยเลือดบนเสื้อก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ผมไม่เป็นไรครับ นี่เป็นเลือดของเธอ”

 

 

เมื่อจัดการทำเรื่องเข้ารักษาตัวและชำระค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็มานั่งรอที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน นั่งลงได้ไม่นานเสียงประกาศจากในห้องฉุกเฉินก็ดังขึ้น “เรียนญาติของซย่าชิงอี ญาติของซย่าชิงอีกรุณาติดต่อห้องฉุกเฉินด่วนค่ะ”

 

 

จังหวะหัวใจของเขากระตุกขณะที่ลุกขึ้นยืน ก้าวตรงไปหน้าห้องฉุกเฉิน เห็นหมอเดินออกมาและถามขึ้น “ใครเป็นญาติของซย่าชิงอีครับ”

 

 

“ผมเอง มีอะไรเหรอครับ”

 

 

“คุณเป็นอะไรกับเธอครับ”

 

 

“เราเป็นพี่น้องกัน ผมเป็นพี่ชายของเธอ”

 

 

“ครับ ถ้าอย่างนั้นตามผมมา” หมอผลักประตูเข้าไปและส่งสัญญาณให้เขาตามไปในห้องฉุกเฉิน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 128 อาการน่าเป็นห่วง

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอครับ” โม่หันเอ่ยถาม

 

 

หมอเดินนำเขาเข้ามาด้านใน ยังไม่ทันตอบคำถามของเขา เขาก็ได้ยินเสียงร้องของซย่าชิงอีดังมาจากด้านใน

 

 

“ออกไป! อ๊ะ…! อย่ามาจับตัวฉัน! …ออกไปนะ!”

 

 

“คุณคะ ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว คุณไม่เป็นไรแล้วนะคะ ทำตัวตามสบาย เราจะทำแผลให้คุณเองค่ะ”

 

 

เขาเห็นซย่าชิงอีดิ้นทั้งที่ใส่สายออกซิเจนอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีรอยเลือดของเธอเลอะอยู่บนผ้าปูเตียงและบางส่วนไหลหยดลงบนพื้น

 

 

หมอพูดขึ้น “น้องสาวของคุณ… เธอไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเลยครับ… ศีรษะของเธอยังมีเลือดไหลอยู่และกระดูกที่มือซ้ายยังแตกเล็กน้อยด้วย เราต้องรีบเย็บปิดแผลให้เธอทันทีแต่ดูเหมือนเธอจะนึกถึงเรื่องแย่ๆ ขึ้นมาและเอาแต่ดิ้นหนีอย่างที่เห็น”

 

 

โม่หันมองเธอ หยุดนิ่งเงียบอยู่กับที่พักใหญ่

 

 

“ช่วยทำให้เธอเข้าใจและสงบลงหน่อยเถอะครับ”

 

 

เขาก้าวเข้าไปหาเธอช้าๆ พยาบาลที่อยู่ด้านข้างหลีกทางให้เขาทันทีขณะที่เขาเอื้อมสัมผัสมือของซย่าชิงอีที่ถูกพยาบาลจับยึดกับเตียงแน่น เขาเหลือบมองข้อมือของเธอเห็นรอยเลือดที่เกิดจากเสียดสีกับเชือก

 

 

ถ้าคนรู้จักของเขามาเห็นเขาตอนนี้ พวกเขาคงไม่เชื่อว่าคนที่แสดงท่าทางเช่นนี้ตรงหน้าเป็นเขาแน่

 

 

ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนมีเหตุผล ใจเย็น ยุติธรรม และบางครั้งออกจะดูไร้หัวใจเสียด้วยซ้ำ แววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนผสมปนเปกับความปวดใจของคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่คุ้นเคย ไม่มีทางเลยที่จะเป็นคนคนเดียวกันได้

 

 

“ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้เธออยู่ที่โรงพยาบาล พี่ก็อยู่เธอด้วย อยู่เฉยๆ ให้พวกเขารักษาเธอนะ หลังจากเธอหายดีแล้วเราจะกลับบ้านกัน” น้ำเสียงของเขาดูช่างอ่อนโยน ในขณะที่เขาพยายามกล่อมให้เธอสงบลง

 

 

“อ๊ะ… ออกไป… ไม่…” เธอยังคงส่ายหน้าไปมา

 

 

“ลืมตามองสิ พี่เป็นพี่ชายของเธอนะ พี่เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างเธอตอนนี้” เขาโน้มตัวลงมากระซิบแผ่วเบาข้างหูให้เธอใจเย็นลง

 

 

อาจเพราะเธอได้ยินเสียงของเขา เธอค่อยๆ หยุดดิ้น และลืมตามองโม่หันด้วยใบหน้าไร้สี น้ำตาร่วงหล่นลงมาพลางพึมพำด้วยเสียงอ่อนแรง “ฉันกลัวจังเลยค่ะ… พี่คะ…”

 

 

เมื่อเห็นน้ำตาของเธอความเจ็บปวดก็พุ่งตรงเข้าที่ส่วนหนึ่งในจิตใจของเขา รู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอขณะที่เช็ดน้ำตาให้เธอ ริมฝีปากสั่นระริกระหว่างที่เอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกลัวนะ… ไม่ต้องกลัว… อีกไม่นานเธอก็จะหายแล้ว พี่จะอยู่ตรงนี้ข้างเธอเอง”

 

 

“พี่คะ…” ซย่าชิงอียังคงพูดเพ้อ

 

 

“ไม่ต้องกลัว… เดี๋ยวเธอก็จะหายดีแล้ว พอหายดีแล้วเราจะกลับบ้านกันนะ พี่จะซื้ออาหารอร่อยๆ มาให้ เธอไม่ได้อยากกินอาหารทะเลหรือ พี่จะพาเธอไปกินอาหารทะเล… กับขนมปังถั่วแดง พี่จะซื้อให้เท่าที่เธออยากกินเลย…”

 

 

เขาโน้มตัวลงอย่างควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่พร้อมประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย เธอค่อยๆ สงบลงทีละนิด หลับตาลงพร้อมหายใจเป็นจังหวะเชื่องช้า เม็ดเหงื่อที่ศีรษะปนกับเลือดไหลลงมาตามใบหน้า โม่หันปัดผมของเธอออกช้าๆ พลางลูบใบหน้าของอีกฝ่าย “ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”

 

 

พยาบาลที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบหยิบอุปกรณ์เย็บแผลมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่คนอื่นที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นว่าเธอสงบลงแล้ว พวกเขาจะเข้ามาทำความสะอาดแผลที่ท้ายทอยของเธอ

 

 

“คุณควรออกไปสักครู่นะคะ เราต้องทำแผลให้เธอค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งบอกเขา

 

 

“ผมจะอยู่ที่นี้กับเธอ เธอกลัวเจ็บ” เขาตอบเสียงเบาพลางจ้องมองซีกหน้าของเธอที่นอนเงียบบนเตียง

 

 

“ไม่เจ็บหรอกค่ะ เราจะฉีดยาชาให้เธอ”

 

 

“ผมจะนั่งอยู่ข้างๆ ไม่รบกวนคุณ” เขาเอ่ย “ถ้าผมออกไป ผมกลัวว่าเธอจะเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีก”

 

 

“แผลของเธอมันค่อนข้างจะ… คุณแน่ใจเหรอว่าจะอยู่ที่นี่”

 

 

โม่หันจับมือซย่าชิงอีไว้เบาๆ “เธอเป็นคนที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง ผมแค่มองอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นไรหรอกครับ”

 

 

หมอไม่รู้จะพูดอะไรอีก เขาดึงม่านที่กั้นระหว่างซย่าชิงอีกับคนไข้คนอื่นๆ ฉีดยาชาและโกนผมเป็นบริเวณเล็กๆ ที่ท้ายทอยของเธอ จากนั้นจึงทำความสะอาดรอยเลือดและคราบสกปรกรอบแผล ก่อนหยิบเข็บขึ้นมาเย็บแผลให้เธอ

 

 

โม่หันจ้องมองซย่าชิงอีที่นอนหันข้างระหว่างที่หมอซึ่งสวมหน้ากากอนามัยกำลังเย็บแผลอย่างจดจ่อด้านหลังเธอ

 

 

หากไม่เห็นใบหน้าซีดเซียวไร้สีของเธอ ไม่เห็นคราบสกปรกบนร่างของเธอ ไม่เห็นมือของหมอที่เย็บแผลอยู่ด้านหลังเธอ ท่าทางที่อีกฝ่ายนอนหลับสนิทอยู่ตอนนี้ก็ดูไม่ต่างอะไรกับเด็กตัวเล็กๆ นัก

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset