ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 119

ตอนที่ 119 เก้าปีต่อมา

 

ในฤดูร้อนที่แผดเผาของเมืองตงหนิง

 

ตอนนี้เมิ่งต้าเจียงได้เป็นผู้นําตระกูล ตระกูลเทพอสูรทั้งห้าในตอนนี้ต่างถูกนําโดยตระกูลเมิ่งและตระกูลจาง! ขนาดผู้นําตระกูลจางยังบอกกับคนในตระกูลอย่างลับๆให้ทําตัวเป็นตระกูลเทพอสูรระดับสองของเมืองตงหนิง พวกเขาให้ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลเทพอสูรที่นําอยู่ไไปเลยด้วยซ้ำ! เพราะเหตุนี้จึงสามารถเห็นได้ว่าตระกูลเมิ่งรุ่งเรืองมากเพียงไหน

 

ราชสํานักอนุญาติให้จอมยุทธตระกูลเมิ่งหลายคนสามารถรับงานที่มีค่าตอบแทนมากได้ในเมืองตงหนิง นั่นจึงทําให้ตระกูลเมิ่งเริ่มเติบโต ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองมากที่สุดในกว่าพันปีเลยด้วยซ้ำ

 

กลับกัน ตระกูลหวินในตอนนี้นั้นอ่อนแอที่สุดในหมู่ตระกูลเทพอสูรทั้งห้า ผู้นําตระกูลหวิน หวินว่านไห่ต้องพักรักษาตัวเป็นสิบปีหลังจากการรุกรานของอสูร เขาฝึกฝนเลี้ยงดูลูกหลานของเขาอย่างหนัก แต่ว่าการฝึกฝนเทพอสูรอัจฉริยะนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการฝึกฝนจอมยุทธมนุษย์ อันที่จริงแล้วตระกูลหวินมีคนอยู่น้อยอยู่แล้ว หลังจากผ่านไปสิบปีก็ไม่มีอัจฉริยะเกิดขึ้นมาเลยซักคน แม้ว่าหวินว่านไห่จะต้องผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่รีรอที่จะออกจากบ้านเกิดเพื่อกลับเข้าสู่สนามรบเมื่อปีที่แล้ว หวินว่านไห่อยากจบชีวิตลงในสนามรบ และนั่นทําให้ตระกูลเทพอสูรอีกสี่ตระกูลเคารพเขา

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อหวินว่านไห่ตายไป อํานาจของตระกูลหวินจะต้องตกลงอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถทํางานที่มีรายได้สูงตลอด ร่มเงาของเทพอสูรคอยทําให้มั่นใจว่าพวกเขาจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปรากฐานของตระกูลก็จะอ่อนแอลงหากไม่มีคนที่แข็งแกร่งขึ้นมารับหน้าที่ต่อ และมันก็เป็นเรื่องปกติที่มันจะล่มสลายจนหมด

 

ที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง

 

เมิ่งต้าเจียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลายปีที่ผ่านมานี้เขาอ้วนขึ้นกว่าเดิมเสียอีก นิ้วหนาของเขากําลังถือจดหมายอยู่ เขาหัวเราะและหันไปมองหลิวเย่ป๋ายที่กําลังกินแตงโมอยู่ เขาตะโกน “เยว่ป๋ายๆ เจ้ากับข้าจะได้เป็นพี่เขยน้องเขยกันแล้ว!”

 

หลิวเย่ป๋ายวางแตงโมลงและเช็ดปาก “พวกเขายังไม่แต่งงานกันเสียหน่อย”

 

” แต่มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?” เมิ่งต้าเจียงยิ้ม “เจ้ามีปัญหารึไงกัน?”

 

“ข้าก็ไม่ได้คัดค้านอะไร” หลิวเย่ป๋ายตรงไปตรงมา “ข้าเฝ้าดูเมิ่งชวนเติบโตมา ข้าเองก็โล่งใจที่ได้ยินว่าชีเยวจะแต่งงานกับเมิ่งชวน แต่ว่าจดหมายของเมิ่งชวนกับหลิวชีเยวบอกไว้ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันหลังจากลงเขาแล้ว”

 

” ทําไมถึงไม่แต่งงานกันบนเขานั่นเลยเล่า” เมิ่งต้าเจียงพูดพร้อมกับถอนหายใจ “พวกเขาเป็นเทพอสูรแล้ว ไม่จําเป็นต้องสนใจธรรมเนียมอะไรนั่นเลย”

 

“เขาหยวนชูเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถึงพวกเราจะได้ขึ้นไปบนนั้นแต่ก็คงจะอยู่ได้ไม่นาน” หลิวเย่ป๋ายกล่าว ” เด็กๆสองคนนั่นคงอยากจะจัดงานแต่งที่มีบรรยากาศร่าเริง พวกเขาคงอยากเชิญเพื่อนฝูงเข้ามาร่วมด้วย เพื่อนๆและตระกูลของเราหลายๆคนขึ้นไปบนเขาไม่ได้แน่ เพราะงั้นเลยดีกว่าถ้าจะจัดงานแต่งหลังจากลงเขามาแล้ว เด็กพวกนี้พิถีพิถันจริงๆนะ”

 

เมิ่งต้าเจียงยิ้มและพยักหน้า “เอาเถอะ ปล่อยเจ้าพวกนั้นไปเถอะ ตอนนี้ข้ารอวันที่จะได้อุ้มหลานอยู่นี่ล่ะ”

 

” ตอนนี้เรื่องการแต่งงานต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับก่อน” หลิวเย่ป๋ายกระซิบ “เจ้าก็รู้ว่าตระกูลหลิวอยากได้หลิวชีเยว่กลับไปเพื่อรับรู้ต้นตระกูลของเธอ พวกมันไม่กล้าไปยุ่งกับเธอตอนที่อยู่บนเขาหยวนชู แต่หากพวกเขาประกาศแต่งงานเร็วไปล่ะก็ตระกูลหลิวคงจะมาโวยวายหลังจากที่พวกเขาลงจากเขามาแน่ๆ แม้ว่าพวกเราจะไม่กลัวตระกูลหลิว แต่ว่าถ้าให้ดีก็พยายามหลบปัญหาแบบนี้ในงานมงคลอย่งงานแต่งเสียจะดีกว่า”

 

“ได้ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะปิดปากให้สนิท เรื่องที่พวกเขาจะแต่งงานหลังจากลงเขามานั้นข้าจะเก็บไว้เป็นความลับ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวทันที

 

“ข้าสงสัยจริงว่าเมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นจะลงจากเขา” หลิวเย่ป๋ายกล่าว

 

” ตามที่จดหมายบอก ชวนเอ๋อร์ฝึกวิชาโลหะทมิฬโดยไม่มีเจตจํานง และมันฝึกฝนได้ยากมาก” เมิ่งต้าเจียงกล่าว ” คงจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”

 

“การฝึกฝนมรดกของโลหะทมิฬนั้นยากเย็นมาก แต่ว่ามันก็ทรงพลังมากเหมือนกัน” หลิวเย่ป๋ายกล่าว ” คุ้มค่ากับการเสียเวลาแล้วล่ะ”

 

“ใช่” ดวงตาของเมิ่งต้าเจียงเต็มไปด้วยความหวัง

 

พวกเขารู้ตัวดีว่าพวกเขานั้นไม่มีความสามารถมากนัก พวกเขาคงจะอยู่ในระดับธรรมดาอย่างเมิ่งเซียนกูหรือหวินว่านไห่เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งความหวังเอาไว้กับเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่

 

เขาหยวนชู ยอดนานาอัสนี

 

ยอดนานาอัสนีนั้นเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเขาหยวนชู มันค่อนข้างจะพิเศษ บนยอดนี้มีสายฟ้าเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และบ่อยครั้งก็จะมีอัสนีสวรรค์ผ่าลงมาบนยอดแห่งนี้ ดังนั้นที่แห่งนี้จึงไม่มีใครอยู่ ขนาดพ่อบ้านมนุษย์ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้

 

ยอดนานาอสนีนั้นหนาวเหน็บ แม้จะมีอัสนี้สวรรค์ฟาดลงมาบ้าง แต่ว่าบนยอดเขาแห่งนี้ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งอยู่ตลอด

 

ชายหนุ่มชัดสีฟ้าอ่อนนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา เขานั่งอยู่ตรงจุดสูงสุดของยอด อยู่สูงกว่าเมฆเสียงสายฟ้าแปลบปลาบดังขึ้นและเลื้อยเข้าสู่ร่างของชายหนุ่ม

 

ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากจะมาที่ยอดนานาอัสนี แต่ว่ามันเป็นพื้นที่มีค่าสําหรับศิษย์ที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้า เมิ่งชวนเปิดตาช้าๆสายฟ้าเป็นประกายอยู่ในนั้น จากนั้นเขาก็จ้องไปอีกทาง ข้าฝึกฝนมาได้ครึ่งชั่วยาม ซึ่งเทียบได้กับการที่ข้าฝึกฝนที่ถ้ำเป็นเวลาห้าชั่วยามทีเดียว ข้าประหยัดยาพันดาราไปได้หลายเม็ดเลยทีเดียว

 

ศิษย์ที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้ามาที่ยอดเขาแห่งนี้เพื่อฝึกฝน ส่วนมากจะฝึกฝนอยู่ข้างๆ มีเพียงศิษย์ที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้นถึงจะกล้าขึ้นไปฝึกฝนที่ยอด นั่นก็เพราะอัสนีสวรรค์มักจะฟาดลงบนยอดน่ะสิ! ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังของอัสนีสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาส่วนมากจึงไม่เกรงกลัวอัสนีสวรรค์กัน

 

นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วตั้งแต่ที่ข้าอยู่บนเขา ข้าพึ่งจะเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ได้เมื่อไม่นานมานี้เอง เมิ่งชวนถอนหายใจ

 

เทพอสูรธรรมดาๆนั้นไม่มีแม้แต่ความหวังว่าจะได้ไปถึงระดับของจิตวิญญาณ แม้จะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับต่ำหรือกลางก็ตาม ก็มักจะหยุดอยู่ที่ขอบเขตของเจตจํานง

 

ศิษย์ของเขาหยวนชูมีชื่อเสียงในด้านของความแข็งแกร่ง แต่พวกเขาส่วนมากก็ไปถึงเพียงระดับมหาสุริยัน แต่ในด้านของวิชาอาวุธพวกเขาจะไปถึงจุดสูงสุดที่ระดับจิตวิญญาณ

 

หากไม่มีการชี้นําของเจตจํานง ศิษย์ของเขาหยวนชูก็มักจะใช้เวลายี่สิบถึงห้าสิบปีในการเข้าถึงระดับของจิตวิญญาณ

 

อย่างเมิ่งชวน เชวเฟิง และเซี่ยวหยุนเยว่ ที่ฝึกวิชาของโลหะทมิฬกยังไม่สามารถรับมรดกผ่านเจตจํานงได้เลย พวกเขาต้องลองผิดลองถูก แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถแต่การไปถึงขอบเขตของจิตวิญญาณนั้นมันก็ยากอยู่ดี

 

เชวเฟิงได้เข้าถึงเจตจํานงกระบี่เมื่อตอนอายุสิบห้าและเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่เมื่อตอนอายุยี่สิบสาม เรียกได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากเพราะใช้เวลาเพียงแปดปีในการเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่

 

เซี่ยวหยุนเยว่เข้าถึงเจตจํานงเมื่อตอนยี่สิบเอ็ด และเธอเข้าถึงระดับจิตวิญญาณตอนอายุสามสิบหก ใช้เวลาถึงสิบห้าปีกว่าเธอจะไปถึงระดับของจิตวิญญาณได้ แต่ว่าเธอก็ยังใช้เวลาน้อยกว่าศิษย์เขาหยวนชูส่วนมากอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่ได้สืบทอดมรดกผ่านเจตจํานงด้วย และนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากเช่นกัน เธอพึ่งลงจากเขาไปเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้

 

เมิ่งชวนบรรลุเจตจํานงกระบี่ตอนอายุสิบเก้า และเขาเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ตอนอายุยี่สิบเก้านั่นก็คือปีนี้ เขาใช้เวลาไปสิบปี! ขอบเขตสิบปิ้งของเขาคอยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกฝนอย่างมาก แต่ก็ยังใช้เวลาไปถึงสิบปีอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะขอบเขตรับรู้ของเขา เขาคงจะใช้เวลาพอๆกันกับเซี่ยวหยุนเยวแล้ว

 

“หลังจากที่ข้าได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะ ข้าก็ได้ร้องขอให้ท่านอาจารย์มอบต้นฉบับของวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์มาให้เพื่อจะได้รับมรดก แก่นสารแห่งจิตของข้าสามารถทนรับมือต่อมรดกได้แล้ว หากข้าได้รับมรดกมาข้าก็จะมีการชี้นําของมรดก! การฝึกฝนวิชากระบี่ของข้าก็จะไวมากขึ้น แต่ว่าท่านอาจารย์ได้บอกว่าให้ข้ารับมรดกหลังจากที่เข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่แล้วเท่านั้น”

 

“จิตวิญญาณกระบี่ที่ข้าได้มาด้วยตัวเองจะมีประโยชน์มากในตอนที่ข้าได้รับยศเฟิงโหวหรือราชันในอนาคต” เมิ่งชวนถอนหายใจ “ข้าก็รู้ว่าท่านอาจารย์ไม่ได้โกหก แต่ว่าข้าต้องติดอยู่ในระดับสูงสุดของเจตจํานงถึงห้าปี”

 

เขาเข้าถึงเจตจํานงกระบี่ตอนอายุสิบเก้าและเชี่ยวชาญตอนอายุยี่สิบสองและไปถึงจุดสูงของเจตจํานงตอนอายุยี่สิบสี่

 

การผ่านพ้นจุดติดขัดนี้ไปให้ได้คือจุดที่ยากที่สุด เขาพึ่งจะผ่านไปได้เมื่อไม่นานมานี้

 

“มันขึ้นอยู่กับเวลา ข้าไม่ได้เบามือฝึกฝนลงเลย ข้าเองก็เรียนรู้วิชาตราอัสนีมาแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้าเบาๆ “ข้าสามารถไปท้าทายถเก้าปริศนาได้อีกครั้งแล้ว

 

ฟุบ!

 

เขาหายไปราวกับสายฟ้า

 

เขาพุ่งผ่านยอดนานาอัสนีและไปตรงหน้าผา เพียงกระโดดครั้งเดียวก็พุ่งไปไกลถึงหนึ่งลี้ลงบนยอดเขาอีกยอด หลังจากพุ่งไปมาอีกนิดหน่อยก็หายไปอย่างรวดเร็ว

 

ในแง่ของความเร็วแล้วคงจะมีเทพอสูรโบราณเพียงไม่กี่คนบนเขาหยวนชูที่สามารถเอาชนะเขาได้ อย่างน้อยเทพอสูรเฟิงโหวส่วนมากก็ไม่มีความเร็วที่น่าสะพรึงขนาดนี้

 

ฟุบ!

 

เส้นสายฟ้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าถ้ำอย่างเงียบงัน ก่อนที่เมิ่งชวนจะปรากฏออกมา

 

ถ้ำเก้าปริศนา เมิ่งชวนเงยหน้าอ่านคําสามคําที่เขียนอยู่ตรงทางเข้า ถ้ำเก้าปริศนานั้นลึกลับมาก มันเป็นที่ที่ศิษย์ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ หลังจากผ่านไปได้แล้วเท่านั้นถึงจะสามารถลงจากเขาได้

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขามาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง แม้เขาจะผ่านมันไม่ได้ก็ตาม แต่เขาก็สามารถสู้ได้ตามใจมือเขา

 

เมิ่งชวนเดินเข้าไปในถ้ำอย่างใจเย็น มันดูธรรมดา แต่มีพลังที่มองไม่เห็นคอยกั้นเอาไว้ เมื่อเขาผ่านที่กั้นนั้นไป เขาก็เห็นโลกสีดําแดงที่กว้างใหญ่

 

มีร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากโลกสีดําแดงนั้น มันเป็นอสูรหมาป่าชุดคลุมสีขาว อสูรหมาป่าตัวนั้นมีคัมภีร์อยู่ในมือ มันเงยหน้ามองเมิ่งชวนและแค่นหัวเราะ “เจ้าหนู แกมาอีกแล้วเรอะ? แกแพ้ข้ามาเจ็ดครั้งแล้วสินะ?”

 

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset