ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 133

ตอนที่ 133 การพูดคุยระหว่างสองปรมาจารย์

 

ในขณะที่เหล่าคนรับใช้ในถ้ํากําลังกวาดหิมะจู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังครืน พวกเขามองไปที่ทางต้นเสียง

 

“ดูนั่นสิ”

 

เหล่าคนรับใช้มองดูลําแสงกระบี่สายฟ้าที่พุ่งขึ้นมาจากลานฝึกด้วยความตกใจ มันทําให้อากาศบิดเบี้ยวและทําให้เกิดแรงกระแทกไปรอบข้าง มันพุ่งออกไปสุดสายตา ทําให้อากาศในระยะหนึ่งลี้ต้องสั่นสะท้าน

 

ครืนๆๆๆ!

 

เกิดลําแสงกระบี่ขึ้นมาติดๆกัน เพียงชั่วพริบตาก็มีลําแสงกระบี่กว่าร้อยเล่ม แต่ละเล่มนั้นทรงพลัง ลําแสงกระบี่เหล่านั้นทําให้รอบข้างในระยะหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแรงระเบิด

 

” ช่างน่าอัศจรรย์”

 

“นายท่านเมิ่งชวนทรงพลังขนาดนั้นเชียวรีนี่?”

 

“ข้าได้ยินมาว่าท่านเมิ่งชวนผ่านถ้ําเก้าปริศนาและกําลังจะลงจากเขาแล้ว นี่เป็นพลังของเทพอสูรระดับมหาสุริยันใช่มั้ย?” เหล่าคนรับใช้กระซิบกระซาบ ตั้งแต่ที่เขาได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน เมิ่งชวนก็ไม่เคยปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาเลย

 

….

 

หลิวชีเยว่เองก็ไปที่ลานฝึกเพราะเสียงเอะอะ เมิ่งชวนถือกระบี่สีเลือดและฟาดลําแสงกระบี่ที่พุ่งไปเกือบลี้ก่อนจะหายไป

 

“เจ้าก็มาด้วย” เมิ่งชวนเก็บกระบี่แล้วยิ้มให้ชีเยว่

 

“อาชวน วิชากระบี่ของเจ้าดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมอีก” หลิวชีเยว่อุทาน

 

“ต้องขอบคุณกระบอสูรสังหาร” เมิ่งชวนกล่าว “แต่ว่าหากได้สู้กับราชาอสูรที่ทรงพลังจริงๆ ข้าต้องบีบอัดพลังเข้าไปเป็นจุดเดียวก่อนจะปลดปล่อยมันออกมา พลังในการโจมตีจะกระจายออกไปหากข้าโจมตีจากระยะขนาดนั้น มันเหมาะสําหรับการโจมตีใส่ศัตรูหลายๆตัวพร้อมกัน แต่ว่าไม่เหมาะแก่การโจมตีศัตรูเพียงตัวเดียว แถมมันยังดูดพลังปราณของข้าไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย”

 

” แล้วทําไมเจ้าถึงลองทําล่ะ?” หลิวชีเยว่ถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ ข้าอยากทดสอบพลัง การปลดปล่อยพลังที่มีทั้งหมด ข้าจะสามารถเห็นพลังของมันได้อย่างชัดเจนมากกว่า” เมิ่งชวนกล่าว

 

หลิวชีเยว่พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “ไปกินข้าวกันเถอะ อาหารพร้อมแล้ว ถ้าปล่อยไว้มันจะเย็นนะ”

 

“ไปกันเถอะ ข้าหิวแล้ว” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆและเดินออกจากลานฝึกไปพร้อมกับชีเยว่ ส่วนพลังของแก่นสารแห่งจิตน่ะเหรอ? เขาทดสอบมันเรียบร้อยแล้ว

 

ตอนนี้เขาคือเทพอสูรระดับมหาสุริยัน ในแง่ของพลังปราณในฐานะเทพอสูรระดับมหาสุริยัน เขาเหนือกว่าเทพอสูรระดับมหาสุริยันธรรมดาไปมากแล้ว และเขาเองก็ยังได้รับจิตวิญญาณกระบี่ชั้นสูงสุดมาอีกด้วย

 

ในตอนที่แก่นสารแห่งจิตของเขายังอยู่ในระดับแรก พลังของแก่นสารแห่งจิตช่วยเพิ่มพละกําลังของเขาเพียงห้าส่วนเท่านั้น! พลังขนาดนั้นก็สามารถเรียกได้ว่ามีประโยชน์ แต่มันก็ช่วยเขาไม่ได้มากเท่ากับตอนที่เขายังเป็นมนุษย์

 

เมื่อแก่นสารแห่งจิตไปถึงระดับสอง พลังของมันก็พัฒนาขึ้น! พลังของแก่นสารแห่งจิตของเขา ในตอนนี้มีผลต่อโลกความเป็นจริงแล้ว ทําให้เขาสามารถขยับของที่หนักกว่า 100 จนได้

 

ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเขารวมพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับร่างกายและพลังปราณ หรือก็คือ เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสามเท่า อย่างไรก็ตาม เขาสามารถโจมตีได้เพียงเจ็ดครั้งด้วยพละกําลังเช่นนั้นก่อนที่พลังของแก่นสารแห่งจิตจะหมด การเสริมร่างกายและพลังปราณในตอนนี้ต้องใช้มากกว่าตอนที่ยังเป็นมนุษย์มาก ในตอนที่ยังเป็นมนุษย์เขาก็เปรียบได้ดั่งก้อนหินก้อนเล็กๆ แต่ในตอนนี้เขาราวกับเป็นภูเขาอันสูงใหญ่

 

หากเขาใช้เพียงพลังของแก่นสารแห่งจิตเพื่อดึงพลังจากร่างของเขาเพียอย่างเดียว พลังของเขาคงจะเพิ่มขึ้นเพียงหกส่วนเท่านั้น! และด้วยพลังระดับนั้นเขาสามารถโจมตีได้สิบห้าครั้ง

 

และหากเขาผสานพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับพลังปราณอย่างเดียว พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและสามารถโจมตีได้ถึงห้าสิบครั้ง!

 

ร่างกายของเขาเป็นเพียงพละกําลังส่วนน้อย แต่ร่างกายนั้นซับซ้อนและดึงพลังมาได้ยากกว่า

 

เมื่อเปรียบเทียบแล้ว แก่นสารแห่งจิตสามารถดึงพลังของปราณมาได้ง่ายกว่า และแก่นสารแห่งจิตก็จะถูกใช้น้อยกว่าด้วยเช่นกัน เพิ่งชวนรู้สึกยินดี

 

เทพอสูรมนุษย์ฝึกฝนพลังปราณ พลังปราณของเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง พลังของแก่นสารแห่งจิตจะเพิ่มพลังให้มหาศาลเมื่อเขาผสมเข้ากับมัน

 

“ข้าสามารถใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นสองเท่าได้! นี่คงจะกลายเป็นท่าพิฆาตของข้า หากข้าสามารถโจมตีได้ห้าสิบครั้งด้วยพละกําลังเช่นนั้น ถึงจะใช้พลังเช่นนั้นเรื่อยๆมันคงไม่ส่งผลต่อข้ามากนัก หากข้าใช้พลังเต็มที่ ข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้สามเท่า ข้าต้องระมัดระวังและเก็บสะสมพลังของแก่นสารแห่งจิตไว้ในช่วงเวลาคับขัน”

 

ผลการทดลองช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เพิ่งชวน แก่นสารแห่งจิตระดับสองของเขาทําให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเวลาสังหารศัตรู เขามีไพ่ตายเพิ่มขึ้นมาแล้ว

 

วันที่ 25 ตุลาคม

 

ตําหนักแม่น้ําสวรรค์

 

ศิษย์ทุกคนไปฟังบรรยาย ทุกๆคนให้ความสําคัญในการบรรยายที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์มาก ทุกๆคนรู้ว่าท่านปรมาจารย์มีสถานะที่สูงมากๆในเขาหยวนซู สถานะของเขานั้นสูงกว่าเจ้าเขาหยวนชูเสียอีก ทุกๆคนต่างรู้ได้ว่าปรมาจารย์นั้นอยู่เหนือกว่าราชั้นเทพอสูร และปรมาจารย์ก็เป็นผู้ที่ให้คําแนะนําได้ดีที่สุด

 

พวกเขาสามารถขอคําชี้นําจากปรมาจารย์ได้หากพวกเขาพบเจอกับปัญหา พวกเขาต่างให้ความสําคัญในบรรยายเหล่านี้

 

เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่จะลงจากเขาหลังจากวันที่ 15 พฤศจิกายน ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ําว่าจะได้ไปอยู่ที่เมืองด่านไหน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าร่วมการบรรยายตามปกติ

 

“ศิษย์พี่เมิ่ง”

 

“ศิษย์พี่หลิว”

 

หลังจากที่เมิ่งชวนเข้าไปที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์ก็มีศิษย์น้องหลายคนทักทาย เพราะไม่ว่ายังไง พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่ยังไม่ได้ลงจากเขา พวกเขามีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษด้วยซ้ํา จะมีใครไม่เคารพกันเล่า?

 

พวกเขานั่งข้างๆกันที่แถวหน้า

 

เมิ่งชวน หลิวซีเยว่และเหยียนชื่อถงต่างอยู่ที่แถวหน้า ชี่หยวนถงและเหยียนจินอยู่แถวที่สอง เจ้าหญิงหลี่ลิ้งสลับไปมาระหว่างแถวที่สามและสี่ พร้อมกับศิษย์กลุ่มเดียวกัน ซงชา ฉู่หยง หยานเฟิง หนิงอี่โบ และศิษย์คนอื่นๆที่ลงจากเขาไปแล้ว การทดสอบของถ้ําเก้าปริศนาของพวกเขานั้นง่ายกว่าของเมิ่งชวน พวกเขาลงจากเขาไปตอนที่ยังเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน

 

” ท่านปรมาจารย์มาแล้ว”

 

ศิษย์ทุกคนเงียบไปในทันที

 

พลังที่มองไม่เห็นปกคลุมทั่วตําหนักแม่น้ําสวรรค์ ปรมาจารย์ผมยาวเดินเข้ามา เมื่อเขามองไปที่เมิ่งชวน นัยน์ตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ แต่ว่าเหล่าศิษย์ต่างก้มหัวกันด้วยความเคารพ ไม่มีใครกล้ามองหน้าอาจารย์โดยตรง “คารวะท่านอาจารย์”

 

“นั่งก่อน” ปรมาจารย์พูดอย่างใจเย็น

 

จากนั้นศิษย์ทั้งหมดก็นั่งลง

 

ปรมาจารย์ก็บรรยายเหมือนก่อนแต่เขาเก็บซ่อนความตกใจเอาไว้ “แก่นสารแห่งจิตระดับสอง? เมิ่งชวนไปถึงระดับจิตแล้วอย่างนั้นรึ?”

 

ปกติแล้วเทพอสูรระดับมหาสุริยันจะไปถึงระดับเต่ก่อนที่จะหาคําตอบจากตัวตนภายใน หลังจากได้รับแก่นสารแห่งจิตแล้ว ส่วนมากก็จะได้เข้าสู่ระดับเดือนมืดมิดอย่างรวดเร็ว

 

เทพอสูรเฟิงโหวต้องใช้เวลาฝึกฝนนานนับหลายปีกว่าพวกเขาจะไปถึงระดับจิตได้อย่างยากลําบาก นั่นเป็นเพราะวิชาอาวุธมีไว้สําหรับการฆ่าฟัน ส่วนวิชาศิลปะนั้นเป็นการแสดงอารมณ์ภายในออกมา เมื่อเทียบกันแล้ว เหล่าผู้ที่ไปถึงระดับเต๋าด้วยวิชาศิลปะทั้งหลายจะสามารถหาคําตอบจากตัวตนภายในได้บ่อยกว่า

 

‘ปีนี้เขาพึ่งจะอายุยี่สิบเก้า แต่แก่นสารแห่งจิตของเขาไปถึงระดับสองแล้วอย่างนั้นรึ? ปรมาจารย์ได้แต่ตกตะลึงอยู่ในใจ เขาสามารถเทียบได้กับถานเหยาอานในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ํา’

 

ถานเหยาอานเป็นปราชญ์นักเขียนที่มีความสามารถในการเขียนสูงเหนือกว่าผู้ใด เขาควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ตอนที่เขายังเป็นมนุษย์ผ่านการเขียน และในอายุ 28 เขาก็ไปถึงระดับจิต

 

แก่นสารแห่งจิตของถานเหยาอานนั้นไปถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว นอกจากนี้ เขายังเป็นราชันเทพอสูรอีกด้วย ในตอนนั้นที่ทั้งห้าประเทศเข้านั่นกันอยู่ ถานเหยาอานถูกจอมยุทธระดับปรมาจารย์ของอีกประเทศสังหาร! ก่อนที่เหล่าอสูรบุกโลกนี้ มนุษย์ต่างต่อสู้กันเองอยู่ตลอด ขนาดนิกายใหญ่ๆยังถูกทําลาย มีเพียงเขาหยวนชูที่อยู่มานานที่สุด

 

สามนิกายใหญ่แต่ก่อนเคยมีความแค้นต่อกันมากมาย แต่หลังจากที่ร่วมมือกันต่อต้านเหล่าอสูรมานานนับหลายปี ทุกๆคนก็ทิ้งความเกลียดชังและมุ่งมั่นอยู่กับศัตรูเพียงหนึ่งเดียว

 

ราชันเทพอสูรและเฟิงโหวเทพอสูรในตอนนี้ส่วนมากก็เกิดหลังจากที่อสูรบุกโลกมนุษย์ พวกเขาจึงเป็นหนึ่งเดียวมากกว่า มีเพียงเหล่าปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้างเท่านั้นที่เคยพบเจอการนองเลือดระหว่างนายต่างๆ

 

‘วิชากระบี่ของเขานั้นไม่สูงมาก ในยุคนี้ยังมีอีกหลายคนที่เหนือกว่าเขา วิชาดาบของเชวเฟิงสูงกว่าเขาอีก’ ใจของปรมาจารย์สั่นไหว ‘แต่ว่าความสามารถในการวาดภาพของเขานั้นสามารถเทียบได้กับถานเหยาอานในด้านของการเขียนเลยทีเดียว’

 

….

 

ปรมาจารย์ให้คําแนะนําต่อไปและเมื่อเสร็จก็กลับไป เขาไปที่ห้องหนังสือเพียงคนเดียวและ หยิบไม้บรรทัดสีฟ้าออกมา มันมีลวดลายอันงดงามและดูหรูหรา พร้อมกับกระแสพลังที่ดูลึกลับอีกด้วย

 

“ลู่ถาง” ปรมาจารย์ตวัดไม้บรรทัดและใช้งานมัน

 

ซุบ

 

ร่างเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในห้องหนังสือ เธอใส่ชุดคลุมสีขาวทองพร้อมกับบรรยากาศที่ดูสูงส่ง เธอยิ้มให้ปรมาจารย์ “จินหวู เจ้าเรียกข้าทําไมรึ?”

 

“เขาหยวนชูของเราตอนนี้มีศิษย์นามเมิ่งชวน เขาพึ่งจะอายุยี่สิบเก้าปีนี้ เขาเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่เข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงสุดและมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบ” ปรมาจารย์กล่าว “ความสามารถในการวาดภาพของเขานั้นไม่มีใครเทียบได้เหมือนกับของศิษย์พี่ถานเหยาอานเลย แก่นสารแห่งจิตของเขาไปถงระดับจิตแล้ว ข้าอยากจะเปิดถ้ําสวรรค์หยวนชูและส่งเขาไป”

 

“เปิดถ้ําสวรรค์หยวนชู?” นัยน์ตาของหญิงสาวคนนั้นดูประหลาดใจ

 

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset