ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 23 เรื่องราวของผู้คน (บทสุดท้ายของภาค)

สายฟ้าพุ่งผ่านร่างกายของเขา เดินทางผ่านแผนภูมิพลังปราณและหลอมรวมเข้ากับชีพจรทุกแห่งในร่างกาย ร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นร่างเทพอัสนี

เมิ่งชวนลืมตาขึ้น หยิบกล่องหยกข้างตัวและเปิดมันออก จากนั้นก็กัดผลใจน้ำแข็งที่อยู่ข้างในไปสองคำ พลังงานที่เย็นยะเยือกก็ไหลลงคอเข้าไปในท้อง จากนั้นก็ค่อยๆแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของเขานั้นชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาดูดซับพลังเย็นจากผลไม้ในขณะที่เขาหลอมรวมเข้ากับสายฟ้า

อันดับต่อไปก็คือสมุนไพรวิญญาณดารา เขาเปิดกล่องไม้และดึงใบไม้และรากบางส่วนจากสมุนไพรวิญญาณดาราที่ยังไม่เสียหาย ประมาณหนึ่งในสามสิบส่วนซึ่งเขากินมันให้หมดในเวลาหนึ่งเดือน

ปากของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นขณะที่เขาเคี้ยวใบและรากเบาๆ จากนั้นจิตใจของเขาก็สั่นไหว ความรู้สึกอันมหัศจรรย์พุ่งเข้าไปในหัวของเขาก่อนที่จะส่งผ่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขาอย่างช้าๆ ยอมให้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปในขณะที่เขาเปลี่ยนร่าง

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ต้นกำเนิดของผลใจน้ำแข็งและสมุนไพรวิญญาณดารา แต่ความเป็นจริงที่ว่าพ่อของเขาซึ่งเป็นคนอารมณ์ดีที่มักจะหัวเราะและไม่เคยบ่น เคยบอกว่าพวกมันไม่ได้ “หามาได้ง่ายๆ” และเขาต้อง “เห็นคุณค่าของพวกมัน” นั่นหมายความว่าพวกมันได้มายากมาก ราคาที่อยู่เบื้องหลังพวกมันก็อาจจะมหาศาลเช่นกัน สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังกับความหวังที่พวกเขาคาดหวังไว้

ในเดือนถัดไป เมิ่งชวนฝึกฝนตามแผนและกินน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร นอกจากนี้เขายังกินสมุนไพรวิญญาณดาราจนหมดสิ้น ทั้งยังใช้เวลาหลายชั่วโมงในการใช้ท่าชักกระบี่ 8000 ครั้งต่อวัน รวมไปถึงฝึกฝนวิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ เขาไม่เคยหยุดฝึกฝนเลย

ตามคู่มือ ผู้คนจะยังคงมีการเปลี่ยนร่างในช่วงแรกของร่างเทพอสูรตามที่ได้รับการฝึกฝน หากได้รับการฝึกฝนด้านใดด้านหนึ่งอย่างขยันขันแข็ง ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามด้านนั้น มันเหมือนกับต้นอ่อนที่กำลังเติบโต หากมีใครออกแรงผลักไปในทิศใดทิศหนึ่ง มันก็อาจจะเริ่มเติบโตไปในทิศทางนั้นได้เช่นกัน

การเปลี่ยนร่างเทพอสูรของเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด วันหนึ่งใกล้สิ้นเดือนมิถุนายน เมิ่งชวนก็ได้นั่งกินแตงโมขณะที่อยู่บนสนามฝึกซ้อม

“เดือนแรกของการฝึกวิชาของข้านั่นหมายถึงการก้าวหน้าอย่างเฉียบพลัน ข้ายังได้กลืนกินทรัพยากรหายากถึงสามชิ้น พัฒนาการของข้านั้นเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ เร็วมากจนแทบนึกไม่ถึง และสุดท้ายความเร็วในการก้าวหน้าของข้านั้นก็ได้ลดลงไปตามความคาดหมาย” เมิ่งชวนถอนหายใจ “รากฐานเทพอสูรของข้านั้นแข็งแกร่งและลึกซึ้งมาก ร่างกายและพลังปราณในช่วงเริ่มต้นของระดับก่อกำเนิดของข้านั้นเทียบเท่ากับผู้คนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดที่สมบูรณ์แล้ว”

ต้องรู้ว่าระดับก่อกำเนิดระยะเริ่มต้นจะทำให้เกิดมีการปรับปรุงห้าระดับพื้นฐานให้ยอดเยี่ยมจนถึงที่สุด ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนร่างเทพอสูร เพื่อทำให้พวกเขาสามารถครอบครองพลังของเทพอสูรได้ทีละน้อย

การที่สามารถมีคุณสมบัติเทียบเท่าระดับก่อกำเนิดที่สมบูรณ์แบบได้ ในขณะที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นนั่นหมายความว่ารากฐานของเขานั้นแข็งแกร่งอย่างน่ากลัว

ถึงแม้การก้าวผ่านจาก “ระดับก่อกำเนิด” ไปสู่ “ระดับไร้ตำหนิ” จะเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็มีการประเมินกันว่าเมิ่งชวนจะมีคุณสมบัติเทียบกับระดับไร้ตำหนิเมื่อเขาอยู่ในระดับก่อกำเนิดช่วงปลาย… สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครในเมืองตงหนิงทั้งหมดได้ยิน โดยปกติแล้วจะมีเพียงอัจฉริยะจากเมืองหลวง และเขาหยวนชูที่ได้รับการดูแลโดยตระกูลเทพอสูรในสมัยโบราณเท่านั้นจึงจะมีรากฐานของเทพอสูรแบบนั้น

“ชวนเอ๋อชวนเอ๋อ” เสียงของเมิ่งต้าเจียงดังมาแต่ไกล

“พ่อ” เมิ่งชวนวางแตงโมลงและใช้ผ้าขนหนูเช็ดปากก่อนจะวิ่งไป

จากนั้นไม่นานเขาก็เห็นพ่อของเขา เมิ่งต้าเจียง และผู้อาวุโสหัวโล้นผอมๆ ถือไม้เท้าเดินมา

“ผู้อาวุโสสาม” เมิ่งชวนถูกกระตุ้นให้เกิดความสนใจ เขากลัวผู้อาวุโสคนที่สามนี้มากที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเมิ่ง ผู้อาวุโสสามเป็นชายชราที่เย็นชาและปฏิบัติต่อผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างดุร้าย โดยไม่มีคำเตือนซ้ำสอง เขาจะเหวี่ยงไม้เท้าทุบตีผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างโหดเหี้ยม ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เยาว์ทุกคนกลัวเขา

“ชวนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสสามล่ะ”เมิ่งต้าเจียงกล่าว

เมิ่งชวนก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับในทันที “สวัสดีขอรับ ผู้อาวุโสสาม”

อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com

“อืม”

ผู้อาวุโสหัวโล้นผอมบางมองไปที่เมิ่งชวนและเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อของเขา เพียงเท่านั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าต้องทุ่มเทจิตใจให้กับการฝึกวิชา เจ้าจะแข็งแรงขึ้นได้อย่างไรหากไม่หลั่งเหงื่ออย่างเพียงพอใช่ไหม”

“ขอรับ” เมิ่งชวนตอบอย่างเชื่อฟัง เขาต้องเชื่อฟังเมื่อเขาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสคนที่สาม ไม่ควรโต้เถียงกับอีกฝ่ายไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ถ้าเขากล้าโต้กลับ เขาอาจจะโดนตีจากไม้เท้านั้น

“นี่คือกระดาษขาดหน้าหนึ่งของเพลงกระบี่ที่ข้าได้มาโดยบังเอิญเมื่อข้ายังเด็ก เจ้าสามารถดูได้” ผู้อาวุโสหัวล้านผอมหยิบกระดาษสีดำที่ห่ออย่างระมัดระวังและส่งให้เมิ่งต้าเจียงพร้อมกับห่อผ้า อย่างไรก็ตามเพียงแค่กลิ่นอายที่น่าสะพึงกลัวที่เล็ดลอดออกมาจากกระดาษสีดำแผ่นนั้นเมื่อแกะห่อก็ทำให้ทั้งเมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงตกใจ

“มรดกเทพอสูรรึ” เมิ่งชวนและพ่อของเขาตกตะลึงสุดเปรียบปาน

มรดกเทพอสูรนั้นต้องการเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ใช้จ่ายด้วยราคามหาศาลในการสร้างมันขึ้นมา

ตัวอย่างเช่น เมิ่งเซียนกู ผู้นำตระกูลอวิ้น และเทพอสูรส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติในการสร้างมรดกเทพอสูร

“มันมีค่าเกินไป” เมิ่งต้าเจียงกล่าวทันที “ผู้อาวุโสสาม พวกเราไม่สามารถรับได้”

ผู้อาวุโสคนที่สามขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าให้มันกับเขา ดังนั้นเขาต้องยอมรับ ข้าจะไม่ให้มันกับเมิ่งชวนถ้าปรีชาฌาณการรับรู้ของเขาไม่เพียงพอ ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นความหวังเดียวของตระกูลเมิ่งของเรา เขาจึงต้องยอมรับมัน นอกจากนี้นี่ก็ยังไม่ใช่มรดกเทพอสูรที่สมบูรณ์ มันเป็นเพียงเศษหน้าที่เหลืออยู่”

“เอาล่ะ ข้าจะกลับแล้ว” ผู้อาวุโสคนที่สามพยุงตัวเองด้วยไม้เท้าและหันกายกลับไป ในขณะเดียวกันเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า“เจ้าหนู เจ้าต้องทำอะไรด้วยตัวเอง อย่าทำให้ทุกคนผิดหวัง”

“ขอรับ ผู้อาวุโสสาม” เมิ่งชวนถือหน้ากระดาษสีดำที่ฉีกขาดที่ห่อผ้าอยู่และค่อนข้างซาบซึ้ง

โดยปกติเงินหนึ่งแสนหยวนจะเป็นราคาเริ่มต้นในการประมูลหน้าส่วนที่เหลือของมรดกเทพอสูร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าหากมันเป็นเพลงกระบี่ นั่นจะทำให้มีค่ามากยิ่งขึ้น

นี่คือสิ่งที่หามาได้โดยบังเอิญเท่านั้น สำหรับเทพอสูรโบราณแล้วเงินมีความสำคัญเพียงเล็กน้อย ไม่มีใครยอมแลกมรดกเทพอสูรที่สมบูรณ์กับสิ่งของของคนธรรมดา

“หน้ามรดกเทพอสูรที่หลงเหลืออยู่นี้ควรเป็นของล้ำค่าที่สุดของผู้อาวุโสสาม ตอนนี้เขากลับมอบให้เจ้า”เมิ่งต้าเจียงกล่าว

“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าและดึงผ้าออกมองไปที่หน้าวิชากระบี่

กระดาษสีดำบันทึกความลับสำคัญของท่ากระบี่ และสิ่งที่ควรรู้เมื่อใช้กระบวนท่า

ขณะที่เขาอ่านมัน เมิ่งชวนก็ค่อยๆดื่มด่ำไปกับมัน

หือ

เมิ่งชวนรู้สึกราวกับว่าเขาเข้าสู่ภวังค์ หลังจากเข้าสู่สภาวะจิตพิเศษนี้ เขาก็เห็นชายร่างผอมสูงกำลังร่ายรำเพลงกระบี่นี้อยู่ เพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรา

กระบี่นั้นอ่อนโยนถึงที่สุดขณะที่มันพุ่งผ่านข้ามท้องฟ้า ที่เหลือทิ้งไว้เบื้องหลังก็คือส่วนโค้งที่สวยงาม ราวกับว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้าถูกตัดออกไปทำให้มันเคลื่อนตัวตกลงมา

มันสวยงามและอ่อนโยน

เอ๋ เมิ่งชวนสะดุ้งตื่นและหลุดพ้นจากภาพลวงตา

“ชวนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง”เมิ่งต้าเจียงถามทันที

เมิ่งชวนจ้องกระดาษสีดำอย่างจริงจังและพูดเบาๆว่า “ดูเหมือนจะเป็นเพลงกระบี่ที่อ่อนโยนและสวยงาม แต่ในความเป็นจริงมันเหี้ยมโหดมาก” กลิ่นอายน่ากลัวที่เปล่งออกมาจากแผ่นกระดาษสีดำเพียงพอที่จะสร้างความตื่นตัวให้กับเมิ่งชวน

“เหี้ยมโหดมากรึ เจ้าจะฝึกฝนวิชานี้หรือไม่” เมิ่งต้าเจียงถาม

“แน่นอน” เมิ่งชวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วิชากระบี่นั้นแบ่งออกเป็นหยินและหยาง วิชานี้ตกอยู่ภายใต้ความนุ่มนวลถึงที่สุดของหยิน นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่สวยงามที่สุด เรียกว่าเพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรา มันดูเหมือนจะสามารถเฉือนดวงจันทร์ลงได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว ข้ารู้สึกได้ว่ามรดกทางความคิดที่มีอยู่ในหน้าที่ฉีกขาดนี้จะสามารถทนต่อการถ่ายทอดมรดกได้สิบครั้งขึ้นไป ก่อนที่มันจะแยกสลายจากกันโดยสิ้นเชิง”

“ข้าจะใช้ประโยชน์จากโอกาสทั้งสิบนี้ให้เป็นประโยชน์และทำให้กระบวนท่านี้กลายเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายของข้า”เมิ่งชวนกล่าว

ในขั้นต้นเขาได้วางแผนที่จะขัดเกลากระบวนท่าชักกระบี่ให้เป็นท่าสังหารเพียงอย่างเดียวของเขา แต่เพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรานั้นสมบูรณ์แบบเกินไป นอกจากนี้เขายังมีโอกาสมากกว่าสิบครั้งที่จะได้รับประสบการณ์จากกระบวนท่ากระบี่

“อย่าทำให้โอกาสของมรดกสูญเปล่า” เมิ่งต้าเจียงเตือน “มันจะหายไปเมื่อใช้โอกาสทั้งหมดจนสิ้นแล้ว”

“ก่อนที่จะกลายเป็นเทพอสูร ข้าจะยอมให้ตัวเองใช้มันได้เก้าครั้งเท่านั้น”เมิ่งชวนกล่าว

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเมิ่งชวนก็ได้เพิ่มกิจวัตรในช่วงบ่ายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงในการฝึกวิชาของเขา ในชั่วโมงนี้เขาฝึกฝนเพียงท่าเดียว เพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรา

เมืองตงหนิง ภายในห้องโถงที่ซ่อนอยู่ในพระราชวังหยกสุริยัน

ตรงกลางห้องโถงมีสระน้ำเย็นเยือก เหยียนจิน เด็กหนุ่มในชุดขาวนั่งอยู่ในท่าสมาธิดอกบัวภายในสระน้ำ มีเพียงหน้าอกของเขาเท่านั้นที่โผล่ให้เห็นเหนือน้ำ

อุณหภูมิที่ต่ำอย่างน่ากลัวนั้นทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มในชุดขาวแข็งตัว ผมและคิ้วของเขาปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งและใบหน้าของเขาซีด

“นายน้อย วันนี้ท่านฝึกฝนมาสี่ชั่วโมงแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องออกจากสระเหมันต์” คนรับใช้เก่าแก่ตะโกน ขณะที่เจ้าวังหยกสุริยันเฝ้าดูอย่างสงบ

“ข้ามาถึงช่วงกลางของระดับก่อกำเนิดแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกฝนในสระเหมันต์เป็นเวลาหกชั่วโมงทุกวัน”เหยียนจินกล่าวอย่างเย็นชา

“น้องชาย การทำเกินตัวไม่ใช่เรื่องฉลาด สี่ชั่วโมงก็เพียงพอสำหรับเจ้าในการฝึกฝนร่างเทพอสูร” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าว

“มันยังไปไม่ถึงไหน”

เหยียนจินกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านทุกคนควรออกไปได้แล้ว”

เจ้าวังหยกสุริยันส่ายหน้าเบาๆ

“ไปกันเถอะ” เจ้าวังหยกสุริยันนำคนรับใช้เก่าแก่ออกไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวที่ถูกแช่แข็งฝึกฝนวิชาที่ยากลำบากของเขาต่อไป

เด็กหนุ่มหลายคนในเมืองตงหนิงต่างพากันฝึกฝนอย่างหนัก โดยเมิ่งชวนและเหยียนจินฝึกหนักเป็นพิเศษ

วันเวลาผ่านไป

ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี เหม่ยหยวนจื่อได้ไปที่เมืองเมืองหวูโจวเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ไปถึงแดนเขาหยวนชูที่ห่างไกลเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือก สุดท้าย… เหม่ยหยวนจื่อก็ไม่สามารถเข้าร่วมกับเขาหยวนชูได้ หลังจากล้มเหลวเขาก็ไปที่ด่านฉินหยางเพื่อรับราชการทหาร

เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายไปยังเมืองตงหนิง ก็ทำให้หวินฟู่อันและคนอื่นๆรู้สึกเศร้าใจ พวกเขาได้แต่ถอนใจ

เมิ่งชวนเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันด้วยเช่นกัน เกณฑ์ในการเข้าสู่เขาหยวนชูนั้นสูงมาก เขาต้องฝึกฝนอย่างหนักและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหม่ยหยวนจื่อจึงจะมีความหวัง

(จบภาคแรก วิชาลับใบไม้ร่วง)

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset