ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 6 ทุ่มเทอบรม

 

เรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งสดชื่นคึกคักมาก แต่ละคนพากันเข้าแถวเพื่อรอรับเม็ดยา

“เยอะมาก”

“แจกเม็ดยามากขนาดนี้เชียวเหรอ?”

คนในตระกูลที่ได้รับเม็ดยาวิเศษต่างก็พากันตกใจ หญิงสาวคนหนึ่งที่จูงมือลูกสาววัยเจ็ดขวบมารับทรัพยากรในการฝึกฝนเดือนนี้ ก็ตกตะลึงเช่นกัน “เมื่อก่อน บุตรสาวของข้าได้เงินเดือนละสองสามตำลึง กับยาปราณโลหิตหนึ่งเม็ด แต่ตอนนี้ได้เงินถึงสามสิบสองตำลึง กับยาปราณโลหิตสิบเม็ด? สามวันใช้ยาปราณโลหิตหนึ่งเม็ดงั้นรึ?”

บุตรสาวของนางอายุเพียงเจ็ดขวบ ไม่ค่อยสนใจการฝึกฝน จึงได้รับเพียงทรัพยากรขั้นพื้นฐานที่สุดที่ตระกูลจะมอบให้กับเด็กรุ่นใหม่ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจำนวนของมันจะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก

“ทุกคน หัวหน้าตระกูลได้กล่าวด้วยตนเองว่า ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป คนในตระกูลที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปี ทุกเดือนจะได้รับเงินและเม็ดยามากกว่าเดิมสิบเท่า” คนในตระกูลที่มีหน้าที่แจกจ่ายทรัพยากรก็อธิบายสาเหตุออกมา บอกหนึ่งกระจายไปสิบ รู้สิบกระจายไปร้อย ไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง

เด็กรุ่นเยาว์ในตระกูล แบ่งออกเป็นห้าระดับตามความก้าวหน้าของการฝึกฝน

ดูเหมือนว่าเมิ่งเหวินอิงและเมิ่งชวน คือคนที่อยู่ระดับสูงสุด เป็นกลุ่มที่ถูกให้ความสำคัญในการอบรม

ยังมีระดับสอง ระดับสาม…

ตอนนี้แม้แต่เด็กรุ่นเยาว์ธรรมดา ก็ได้เงินเดือนละสามสิบสองตำลึง กับยาปราณโลหิตสิบเม็ด

“หัวหน้าตระกูล ครอบครัวที่มีรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่ายี่สิบปีแต่มากกว่าหกขวบขึ้นไปนั้น มีมากกว่าสองพันคนเชียวนะ ทางตระกูลสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายนี้ไหวหรือ?” บ่าวรับใช้ชราถามอย่างเป็นกังวล หัวหน้าตระกูลเมิ่งเหยียนผิงยืนมองคนในตระกูลรับทรัยพากรอยู่ไกลๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบว่า “วางใจเถอะ ตระกูลสะสมทรัพยากรมาหลายปี แม้จะแจกจ่ายเช่นนี้ไปอีกสิบปีก็ยังแบกรับไหว”

แต่บ่าวชราก็ยังคงกังวลอยู่ดี

รายได้ของตระกูลเทพอสูรน่าตกใจก็จริง แต่รายจ่ายก็มหาศาลเช่นกัน ตอนนี้ทางตระกูลพยายามเลี้ยงดูรุ่นเยาว์รุ่นนี้ โดยมิให้พวกเขาเสียค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนเป็นเวลาสิบปี! โดยหวังว่าจะมีต้นกล้าที่พอจะมีความหวังได้กลายเป็น ‘เทพอสูร’

……

จวนเมิ่งข้างทะเลสาบกระจก

เมิ่งต้าเจียงพาคนสิบกว่าคนกลับมาที่จวน

“นายท่าน” เหล่าหญิงรับใช้ต่างกล่าวออกมาด้วยความเคารพ

“นายน้อยล่ะ?” เมิ่งต้าเจียงเอ่ยถาม

“นายน้อยอยู่ที่ลานฝึกเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้คนหนึ่งตอบ

เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองท้องฟ้า บัดนี้พระอาทิตย์เอนไปทางทิศตะวันตก นี่ยามเซินแล้วนี่[15.00-17.00] “เวลานี้เขายังฝึกกระบี่อยู่อีกรึ?”

เขานำกลุ่มคนมุ่งหน้าไปทางลานฝึก หูก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กของกระบี่คำรามออกมา “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่” กล่าวจบก็เดินเข้าใกล้ มองทะลุรูบนกำแพงที่โอบล้อมรอบลานฝึก สามารถมองเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งอย่างเลือนลาง และแสงวิบวับของคมกระบี่ คงกำลังฝึกกระบี่ใบไม้ร่วงสินะ

“เฉียนฟาง” เมิ่งต้าเจียงหันไปกวักมือเรียกชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่มิไกล เฉียนฟางคือบ่าวรับใช้ของเมิ่งชวน เขารีบเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา

“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” เมิ่งต้าเจียงกระซิบพูด “ชวนเอ๋อฝึกกระบี่นานแค่ไหนแล้ว?”

“นายท่าน นายน้อยเริ่มฝึกกระบี่ตั้งแต่ตอนเช้า นอกจากเวลาพักทานอาหารแล้ว ก็ไม่หยุดฝึกเลย!” เฉียนฟางตอบตามตรง

“ฝึกนานขนาดนี้เชียว?” เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้ว

“แม้แต่ในช่วงกลางคืนหลังจากที่อาบน้ำแล้ว นายน้อยก็จะฝึกกระบี่ต่ออีกหนึ่งชั่วโมงจึงจะเลิก” เฉียนฟางอดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อไปว่า “ช่วงหลายวันมานี้ นอกจากเวลาทานอาหาร นอนหลับ วาดรูป อาบน้ำ และฝึกชำระแก่นแท้แล้ว…ที่เหลือก็ฝึกกระบี่ วันวันหนึ่งฝึกกระบี่ประมาณหกเจ็ดชั่วโมง”

“หลายวันมานี้เหรอ?” เมิ่งต้าเจียงพึมพำกับตนเอง

หลายวันมานี้เหรอ?

อะไรเป็นแรงกระตุ้นให้บุตรชายของเขาฝึกกระบี่อย่างบ้าคลั่งเช่นนี้?

เพราะการยกเลิกการหมั้นงั้นรึ?

“ขอรับ เพิ่งมาเป็นช่วงสองสามวันมานี้!” เฉียนฟางกล่าว “ก่อนหน้านี้นายน้อยเกิดความสนใจบางอย่าง จึงให้ข้าน้อยไปกว้านซื้อชีวประวัติของเหล่าเทพอสูรมาให้ ในช่วงนั้นก็มิได้ฝึกอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้เป็นอะไร จู่ๆก็เกิดขยันฝึกไม่หยุดเช่นนี้ได้”

……

ผ่านไปสักพัก ณ ลานฝึก

เมิ่งชวนกำลังจมดิ่งไปกับการฝึก 《กระบี่ใบไม้ร่วง》

“ชวนเอ๋อ” เมิ่งต้าเจียงส่งเสียงเรียก

“ท่านพ่อ” เมิ่งชวนหยุดมือ จากนั้นก็หันไปมองเมิ่งต้าเจียงที่เดินนำกลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนเข้ามา

เมิ่งต้าเจียงยิ้มกว้าง “ชวนเอ๋อ ทางตระกูลตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญในการอบรมพวกเจ้า ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ระดับชำระแก่นแท้แปดคน ระดับก่อกำเนิดสามคน จะมาเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้า”

“ไม่ใช่ว่าข้าก็มีผู้คุ้มกันเป็นคู่ซ้อมรึ?” เมิ่งชวนแปลกใจเล็กน้อย

เดิมทีเขาก็มีผู้คุ้มกันที่อยู่ระดับชำระแก่นแท้แปดคน และผู้คุ้มกันระดับก่อกำเนิดอีกสองคน ผลัดกันมาเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้กับเขาเป็นบางครั้ง

“คนพวกนั้นล้วนเป็นผู้คุ้มกันของเจ้า แต่คนเหล่านี้คือผู้เชี่ยวชาญในการฝึกซ้อม ยกตัวอย่างเช่นระดับชำระแก่นแท้ทั้งแปดคนนี้ พวกเขาล้วนเป็นนักธนูที่ยอดเยี่ยม บางคนก็เชี่ยวชาญอาวุธลับ…สิ่งนี้จะช่วยให้การฝึกฝนของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น” เมิ่งต้าเจียงพูดต่อไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต่างก็เป็นผู้คุ้มกัน ด้วยฐานะผู้คุ้มกันแล้ว พวกเขาไม่สามารถมาเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้าบ่อยๆได้ใช่ไหม ”

เมิ่งชวนพยักหน้า

ผู้คุ้มกันล้วนได้รับค่าจ้าง ทำงานเท่าไหร่ก็ได้เงินเท่านั้น หากให้มาเป็นคู่ซ้อมเป็นบางครั้งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านานๆไปก็อาจจะทำให้พวกเขาไม่พอใจได้

“ส่วนระดับก่อกำเนิดทั้งสามคนนี้พวกเขาคงจะช่วยเจ้าได้มาก ที่สำคัญนี่คือ…” เมิ่งต้าเจียงชี้นิ้วไปที่บุรุษร่างผอมหนวดยาวผู้หนึ่ง “ท่านนี้คือหวางชั่ง ฉายา ‘กระบี่ไร้เงา’ เป็นผู้อาวุโสระดับไร้ตำหนิ”

“ผู้อาวุโสหวาง” เมิ่งชวนโค้งกายคำนับอย่างสุภาพ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิมีฐานะที่สูงส่งอย่างมากในเมืองตงหนิง หวางชั่งคือรองหัวหน้าของสำนักรักษาความปลอดภัยในเมือง

“คุณชายเมิ่งเกรงใจเกินไปแล้ว” หวางชั่งกล่าวยิ้มๆ

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกเดือนจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิหกคนมาอบรมเจ้า และทุกท่านจะมาเป็นคู่ซ้อมของเจ้าคนละห้าวัน วันละหนึ่งชั่วโมง” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างจริงจังว่า “การเชิญผู้อาวุโสระดับไร้ตำหนิมาสั่งสอนเจ้าถึงหกคน นับว่าตระกูลใช้จ่ายไปเพื่อเจ้ามิน้อย ฉะนั้นเจ้าจงตั้งใจ”

“ขอรับ” เมิ่งชวนแอบตกตะลึงเล็กน้อย

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิ แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองตงหนิง เวลาของพวกเขานั้นมีค่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขามาติดตามเมิ่งชวนทุกวัน พวกเขาต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองมากมายอยู่แล้ว การที่ยินยอมสละเวลามาฝึกฝนเมิ่งชวนห้าวันวันละหนึ่งชั่วโมงก็นับว่าให้เกียรติตระกูลเมิ่งมากแล้ว ทางตระกูลถึงกับเชิญผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิมาหกคน…เพื่อให้แน่ใจว่าเมิ่งชวนจะได้รับการสั่งสอนจากระดับไร้ตำหนิทุกวัน

“ชวนเอ๋อ ลูกผู้ชายที่มีอุดมการณ์เทียมฟ้า จะไร้ภรรยาข้างกายได้อย่างไร? เจ้าตั้งใจฝึกฝนก็เป็นเรื่องดี แต่มิจำเป็นต้องแบกรับความคาดหวังของตระกูลเกินไปนัก” เมิ่งต้าเจียงกล่าวจบก็เดินจากไป

เมิ่งชวนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไร้ภรรยาข้างกาย?

ท่านพ่อพูดเยี่ยงนี้หมายความว่าเช่นไร?

“ท่านพ่อ อะไรคือไร้ภรรยาข้างกาย?” เมิ่งชวนรีบตะโกนถาม

“จงหยุดคิดฟุ้งซ่านซะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวสั้นๆ แล้วเดินออกจากลานฝึกไป

“แล้วข้าคิดอะไรเล่า?” เมิ่งชวนบ่นออกมา จากนั้นก็มองไปยังคู่ซ้อมที่อยู่รอบๆ ดวงตาพลันสุกสกาววาววับขึ้นมา

ทักษะกระบี่ เดิมทีก็มีไว้สำหรับการฆ่า

มีคู่ซ้อมเช่นนี้ ผลลัพธ์จากการฝึกฝนก็จะยิ่งดีขึ้น แม้ว่าในอดีตจะเคยมีผู้คุ้มกันเป็นคู่ซ้อมให้ แต่ว่าคนเหล่านั้นจะเทียบคนที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร? ตั้งแต่ระดับชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิดไปจนถึงไร้ตำหนิ คู่ซ้อมเช่นนี้หาได้ยาก!

……

ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่วันนั้น เมิ่งชวนจะฝึกทักษะดาบตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง ส่วนตอนเช้าจรดเที่ยงก็จะฝึกกับคู่ซ้อม

บ่ายจรดเย็น ก็จะฝึกคนเดียวต่อ และอาศัยช่วงนี้ไตร่ตรองถึงการต่อสู้ในรอบเช้า

……

《กระบี่ใบไม้ร่วง》เมื่อความคิดของเมิ่งชวนเปลี่ยนไป และปล่อยใจถลำลึก เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของในแต่ละท่าทั้งแปดสิบเอ็ดท่าของ《กระบี่ใบไม้ร่วง》และรู้สึกว่ากระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ดนี้ดูงดงามเป็นพิเศษ ไม่ช้าเขาก็ค้นพบวิธีที่จะฝึกทักษะลับ ‘ตรีใบไม้ร่วง’

เนื่องจากฝึกกระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ดท่าต่อเนื่องกัน จึงค่อยๆค้นพบเรื่องนี้ ความงดงามทั้งแปดสิบเอ็ดท่า…ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้

เช่นกระบวนท่าที่หนึ่งฟาดฟัน เมื่อฟันดาบออกไปแล้ว ก็สามารถพลิกแพลงเป็นกระบวนท่าที่สอง ‘โคจรพระจันทร์’ เป็นท่วงท่าที่แปลกประหลาดและเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกระบวนท่าที่สาม ‘เปิดเมฆ’ จากท่วงท่าประหลาดและคล่องแคล่วก็แปรเปลี่ยนเป็นการฆ่า ต่อด้วยกระบวนท่าที่สี่…

ท่าแล้วท่าเล่า

ราวกับก้อนหินที่กลิ้งตกจากภูเขา ยิ่งกลิ้งยิ่งเร็ว!

ท่วงท่าแต่ละกระบวนท่าล้วนเชื่อมโยงกัน เหมือนคลื่นยักษ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดพลังที่ไม่อาจจะต้านทานได้!

“กระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ด ถ้าหากเชื่อมโยงกันได้จริงๆ เช่นนั้นพลังของมันก็พุ่งไปถึงขีดจำกัด และข้าก็จะสามารถใช้ทักษะลับออกมาได้อย่างเป็น ‘ธรรมชาติ’ ตามที่หนังสือได้กล่าวไว้!” เพราะเข้าใจถึงจุดนี้ ดังนั้นเมิ่งชวนจึงฝึกกระบี่อย่างบ้าคลั่ง

ถ้าหาก ‘ความงดงาม’ ของกระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ดเชื่อมต่อกัน ถ้าเช่นนั้นกระบี่ก็จะเฉือนวิถีของ ‘ลม’ และแต่ละท่าก็จะเชื่อมต่อกันประหนึ่งภูษาไร้รอยตะเข็บ

จังหวะช้าเร็วของทักษะกระบี่ เปลี่ยนแปลงไปราวกับจังหวะของดนตรีที่บรรเลงโดยธรรมชาติ

ทุกกระบวนท่ากระบี่ล้วนสวยงาม เชื่อมโยงกันจนกลายเป็นภาพวาดรูปหนึ่ง

เพราะสัมผัสถึงชายขอบขั้นที่ตนหวัง เมิ่งชวนจึงยิ่งกระหาย

วันแล้ววันเล่า…

ความสวยงามของทักษะบี่เมิ่งชวน ก็เชื่อมโยงกันจนเกือบจะสมบูรณ์ ‘ช่องว่าง’ ก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ

จังหวะกระบี่ก็ไพเราะมากขึ้น จังหวะที่ติดขัดก็ลดลง

วิถีกระบี่ ทวีความงดงามมากยิ่งขึ้น

ความก้าวหน้านี้สามารถรู้สึกได้ เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นกำลังก้าวเข้าใกล้ระดับนั้นไปทีละก้าวๆ

ต้นไม้ใบหญ้าดอกไม้ด้านข้างของลานฝึกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว พริบตาเดียวก็ใกล้จะสามเดือนแล้ว เมิ่งชวนก็ยังคงฝึกฝนเหมือนเช่นเคย เขาค่อยๆเข้าใกล้ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ เข้าใกล้มากขึ้น

“ฟุ่บ”

เมิ่งชวนฝึกฝนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าความสวยงามที่ตัวเองไล่ตามมานานเริ่มหลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อและกระดูกของเขา หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเขา เมื่อเขาแสดงทักษะกระบี่ออกมา ก็บรรลุสภาวะหนึ่งเดียวของ ‘ร่างกายจิตใจทักษะ’ เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน กระบี่ในมือของเขาฟันทะลุแม้กระทั่งกำแพงลม! ร่างกับกระบี่เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อกระบี่ทะลวงฟันไปด้านหน้า ความเร็วก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว

เมื่อทักษะกระบี่แสดงออกมา วินาทีนั้น ก็ปรากฏเมิ่งชวนอีกคนที่อยู่ห่างออกไปนับสิบฟุต มีเมิ่งชวนสองคนปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน

ในอากาศยังคงปรากฏแสงสะท้อนของกระบี่ที่วาดโค้งออกไป

ไม่นาน ‘เมิ่งชวน’ อีกคนก็สลายไป

“ข้า ข้าตระหนักรู้งั้นหรือ?” เมิ่งชวนตะลึงงันอยู่กับที่

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset