ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 71

ตอนที่ 71 แสงแดดยามเช้า 1/2

 

ฟุบๆๆ เมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียง หลิวเยว่ป๋ายและเหยียนจินกระโดดลงจากหลังนก

 

“จัดที่พักให้พวกเขา” ผู้อาวุโสคิ้วยาวบอกขณะที่เขายังคงนั่งอยู่บนหลังนก

 

“ขอรับ” คนของอาคารรับรองแคว้นอู๋ตอบด้วยท่าทางนอบน้อม

 

“หลิวเย่ป๋าย” ผู้อาวุโสคิ้วยาวมองไปที่หลิวเย่ป๋ายและพูดเรียบๆ “หลังจากที่ลูกสาวของเจ้าขึ้นไปบนเขาแล้ว เธอจะออกมาไม่ได้ก่อนจะเป็นเทพอสูรยกเว้นว่าจะมีเหตุผลพิเศษอะไร เจ้าสามารถคุยกันผ่านทางจดหมายได้ หากมีอะไรเร่งด่วน เจ้าสามารถมาที่ภูเขาเพื่อตามหาลูกสาวเจ้าได้”

 

“เข้าใจแล้วขอรับ” หลิวเย่ป๋ายยิ้มขณะมองลูกสาวของเขา หลิวชีเยว่ที่นั่งอยู่บนหลังนก เขาบอกสั่ง “ชีเยว่ จงฝึกฝนวิชาในเขาหยวนชูให้ดี หากมีปัญหาหรืออะไร ก็เขียนจดหมายมาหาข้า ข้าจะอยู่ที่อาคารรับรองแคว้นอู๋อีกสองสามเดือน”

 

“ค่ะ แล้วข้าจะเขียนถึง” หลิวชีเยว่ก็ไม่ค่อยอยากที่จะแยกทางกับพ่อของเธอ เธอหันไปมองเมิ่งชวน “อาชวน ข้าจะเขียนถึงเจ้าด้วยนะ”

 

เมิ่งชวนยิ้มและพยักหน้า

 

“เจ้าเด็กคนนี้นี่” หลิวเย่ป๋ายยิ้มและส่ายหน้า

 

“ไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสคิ้วยาวเอามือแตะนกสีดำขนาดมหึมาเบาๆ มันพุ่งขึ้นไปในอากาศนำชายคิ้วยาวและหลิวชีเยว่ไปสู่เขาหยวนชูในตำนาน

 

“เขาหยวนชู” เมิ่งชวนและคนอื่นๆมองออกไป ภายในเมืองหยวนชูนี้ พวกเขาสามารถมองเห็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในกลุ่มเมฆ มันคือที่ที่เหล่าเทพอสูรของเมืองหยวนชูฝึกวิชากัน

 

“ท่านขอรับ” หนึ่งในคนดูแลของอาคารรับรองแคว้นอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ห้องพักของอาคารรับรองค่อนข้างจะว่าง พวกท่านอยากจะแยกห้องหรือนอนรวมขอรับ?”

 

เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ลูกชายของข้า เมิ่งชวนกับข้าจะอยู่ด้วยกัน ส่วนนายน้อยเหยียนจินและพี่หลิวนั้นแยกห้องกันนอน”

 

“สามห้องสินะขอรับ? แน่นอนว่า อาคารรับรองนี้ใหญ่โต พวกท่านสามารถเลือกได้ตามใจเลยนะขอรับ” ผู้ดูและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในช่วงปลายปี จะมีอัจฉริยะหลายคนจากรัฐอู๋มาเข้าร่วมการสอบเข้าด้วย เพราะฉะนั้นในตอนนั้นจะมีคนมาเยอะแยะขอรับ”

 

ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าพักที่อาคารรับรองแคว้นอู๋ได้

 

อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com

 

มีเฉพาะอัจฉริยะที่เข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รัฐอู๋ส่งมาเท่านั้นที่มีสิทธิที่จะพักอยู่ที่นี่ คนที่ไม่ได้รับอนุญาติจะเข้าไม่ได้

 

เมิ่งชวนและคนอื่นๆเลือกแค่ห้องพักที่มีสวนเล็กๆใกล้ๆอาคารรับรอง

 

 

ในสวนเล็กๆ เมิ่งต้าเจียงวางทุกอย่างที่เอามาด้วยไว้ในห้อง “จากนี้ไปเราจะพักกันอยู่ที่นี่” เขายิ้มขณะมองไปที่ห้อง “ที่นี่ดีจริงๆ สะอาดด้วย”

 

“ท่านพ่อ ข้าขอห้องข้างๆ” เมิ่งชวนพูด

 

“รีบๆนอนเถอะ ยังมีเวลาอีกพอสมควรก่อนรุ่งสาง” เมิ่งต้าเจียงหัวเราะ แม้ว่าเขาจะรักษาความอ้วนเอาไว้ได้ แต่ใบหน้าของเขานั้นก็ซีดเซียว เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ใช้พลังของเขาไปเยอะ ตอนนี้เขาใช้เทคนิคลับของเขาเพื่อรักษาขนาดร่างของเขาเอาไว้ แต่เขาก็ต้องการการพักผ่อนและอาหารมากกว่านี้

 

เมิ่งชวนพยักหน้าและไปที่ห้องของเขา ห้องได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเตียงและโต๊ะอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ข้างๆนั้นเป็นชั้นหนังสือที่มีหนังสืออยู่บ้าง

 

ขณะที่เมิ่งชวนนอนอยู่บนเตียงและจ้องมองดวงจันทร์ผ่านหน้าต่าง เขาก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ยังขลุกมัวอยู่ในใจเขา มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ และมันส่งผลกระทบต่อจิตใจเขามาก

 

 

เมื่อรุ่งเช้า เมิ่งต้าเจียงไปเรียกเหยียนจินและหลิวเย่ป๋ายที่พักอยู่ข้างๆพวกเขา “มาเร็วๆ ไปกินข้าวเช้าด้วยกันเถอะ”

 

“อาหารเยอะดีจริงๆนะนี่” หลิวเย่ป๋ายกล่าวชื่นชมขณะที่มองไปที่โต๊ะอาหารในสวน

 

“ข้าให้คนจากอาคารรับรองมาส่งอาหารเช้าที่นี่ มากินข้าวกัน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ปริมาณเท่านี้น่าจะเพียงพอให้เราอิ่มท้อง”

 

เหยียนจินพยักหน้าเช่นกัน เขานั่งข้างเมิ่งชวนและเริ่มรับประทานอาหาร เมิ่งชวนกินโจ๊กและซาลาเปา

 

“มีซาลาเปาเนื้อ ซาลาเปานึ่ง แล้วหมั่นโถวยักษ์ด้วย” เมิ่งต้าเจียงพูดอย่างกระตือรือร้น เขากินโจ๊กและกินหมั่นโถวเข้าไปช้าๆ เพราะไม่ต้องรีบร้อนอะไร

 

“วันนี้พวกเจ้าสองคนวางแผนจะทำอะไร” หลิวเย่ป๋ายอารมณ์ดี เขายิ้มและถามว่า “เจ้าอยากออกไปเที่ยวชมเมืองหยวนชูไหม”

 

เมิ่งชวนกล่าว “ข้าไปดูแผนที่ของเมืองหยวนชูมาแล้ว มันใหญ่เกินไป มีสถานที่มากมายให้จับจ่ายและสิ่งบันเทิงต่างๆมากมาย ข้าคิดว่ากว่าจะสำรวจครบทั้งเมืองก็คงจะผ่านไปเดือนนึงแล้ว ข้าขอฝึกฝนอยู่ที่นี่ดีกว่า “

 

“ข้าเองก็จะฝึกฝนอยู่ที่นี่ด้วย” เหยียนจินกล่าว

 

“เอาล่ะๆ พวกเจ้าฝึกวิชาไป พวกเราสองคนจะไปเดินเล่น” หลิวเย่ป๋ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ไม่นาน เมิ่งชวนและเหยียนจินก็กินอิ่ม และตอนนั้นเอง เมิ่งต้าเจียงก็เริ่มกินเร็วขึ้น เขายัดหมั่นโถวเข้าปากและซดโจ๊กจากถ้วยที่ยังอุ่นๆไปหมด

 

เหยียนจินถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อได้เห็น เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเมิ่งชวน เมิ่งชวนไม่ได้กินเยอะ แต่พ่อของเขาเนี่ยสิ!

 

“ข้าไม่ชอบให้อาหารมันเหลือ” เมิ่งต้าเจียงหัวเราะเบาๆก่อนจะยืนขึ้น “เจ้าทั้งคู่ฝึกวิชากันให้สนุก พวกเราจะออกไปข้างนอก”

 

หลิวเยว่ป๋ายเดินออกไปจากสวนพร้อมๆกับเขา ทั้งสองคนเดินเล่นรอบๆรับรองอย่างเรื่อยเปื่อย อาคารรับรองนั้นกว้างใหญ่ และทิวทัศน์โดยรอบนั้นสวยงาม

 

“เจ้ายังไม่อิ่ม ใช่ไหมล่ะ?” หลิวเยว่ป๋ายแกล้งแหย่เมิ่งต้าเจียง

 

“การต่อสู้กับอสูรเมื่อวานนี้กินพลังข้ามากเกินไป ข้าต้องหาอะไรกินฟื้นฟู” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวจะได้สั่งหมูกับแพะทั้งตัว”

 

“ได้เลย” หลิวเย่ป๋ายพยักหน้า

 

“จริงด้วย เรื่องที่สายเลือดวิหคเพลิงตื่นขึ้นในตัวชีเยว่ ข้าคิดว่าตระกูลหลิวน่าจะรู้เรื่องแล้ว” เมิ่งต้าเจียงกล่าว

 

“ฮึ ข้าหลีกเลี่ยงพวกนั้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ลูกสาวของข้าได้ปลุกสายเลือดวิหคเพลิงและเข้าสู่เขาหยวนชู ข้าจะไปกลัวอะไรเล่า?” หลิวเย่ป๋ายเย้ยหยัน “ถึงตระกูลหลิวจะรู้เรื่องนี้ พวกนั้นก็ได้แต่ต้องมาขอร้องข้าเท่านั้น”

 

“เจ้าคิดจะกลับไปหรือเปล่า?” เมิ่งต้าเจียงถาม

 

“หากมันไม่คืนหุบเขาต้าเจี้ยงให้ครอบครัวข้า ต่อให้ตายข้าก็จะไม่กลับไป” ใบหน้าของหลิวเย่ป๋ายมีความรังเกียจ “พวกมันก็จะพูดแต่เรื่องดีๆแล้วก็ขอร้องข้า แต่พอมาเป็นเรื่องคืนหุบเขาต้าเจี้ยง? ไม่มีทาง คงมีแค่ตอนที่ลูกสาวข้าได้ยศขุนนาง ตระกูลหลิวถึงจะยอมก้มหัวให้จริงๆ มันจะต้องคืนหุบเขาต้าเจี้ยงให้อย่างว่าง่ายด้วยซ้ำ”

 

“แต่งตั้งเป็นขุนนาง?” เมิ่งต้าเจียงพยักหน้าเล็กน้อย “นั่นคงจะยากแน่ๆ”

 

มันเป็นเรื่องยากมาก

 

ขุนนางเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในรัฐอู๋ จอมยุทธที่มีร่างเทพวิหคเพลิงจะทำให้มันดูทรงพลังมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ! ถึงตอนนั้นตระกูลหลิวคงจะเชื้อเชิญให้หลิวชีเยว่เป็นผู้นำตระกูลไปเลยด้วยซ้ำ

 

“อย่าคุยเรื่องน่ารำคาญพวกนี้จะดีกว่า ไปหาอะไรกินกันเถอะ” หลิวเย่ป๋ายกล่าว

 

 

ในอาคารรับรองแคว้นอู๋ เมิ่งชวนกูฝึกฝนตามปกติ อย่างไรก็ตาม เพราะว่าไม่มีคนรับใช้และยามคอยช่วยเหลือเขา เขาก็ทำได้แค่ฝึกท่าชักกระบี่เท่านั้น

 

ฟิ้วๆๆๆ!

 

กระบี่นิ่งเหมือนผิวน้ำตัดผ่านอากาศ แต่ว่ามันไม่มีแรงกระแทกอะไรใดๆ ในระดับเขาแล้ว แรงต้านอากาศนั้นไม่เป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำเพราะพลังแห่งฟ้าดิน

 

เขาใช้วิชากระบี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ในอดีต เมิ่งชวนให้ทหารยามยิงลูกธนูใส่เขา อย่างแรกมันช่วยการฝึกความแม่นยำของเขา และอย่างที่สอง ก็คือเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะเร็วขึ้นไปเรื่อยๆทุกๆการโจมตี

 

แต่ตอนนี้ เมิ่งชวนพบว่าการฝึกฝนของเขาแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้จะไม่มีการช่วยเหลือของทหารยาม

 

ขอบเขตสัมผัสสิบจั้งของเขานั้นสามารถรับรู้ได้ถึงอานุภาคของฝุ่นในอากาศได้เลยด้วยซ้ำ! เขาสามารถฟันใส่มันได้ แล้วก็จะฝึกฝนความแม่นยำด้วยวิธีนี้ได้ แต่โชคไม่ดีที่ฝุ่นพวกนี้นั้นมีขนาดเล็กและเคลื่อนที่ได้ช้า ทำให้มันไม่ยากเท่าไรนัก

 

ส่วนความเร็วในการฟาดฟันแต่ละครั้งน่ะเหรอ? นั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะความแม่นยำของขอบเขตของเขา ความเร็วของการโจมตีแต่ละครั้งนั้นแม่นยำมาก ทำให้เขาสามารถตัดสินความเร็วในการฟาดฟันได้อย่างชัดเจน

 

และผลก็คือ แม้จะไม่มีทหารยามคอยช่วย แต่เขาก็ไม่ได้ด้อยประสิทธิภาพในการฝึกลงเลย เขายังสามารถฝึกฝนความแม่นยำและความเร็วของเขาได้อยู่

 

เขากินข้าวเที่ยงกับเหยียนจิน ส่วนเมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายนั้น พวกเขายังไม่กลับมาจากการเดินเล่นเลย

 

หลังจากฝึกเสร็จ เมิ่งชวนกูใช้น้ำจากบ่อในสวนเพื่อล้างตัว หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาก็นั่งลงบนโต๊ะและเริ่มวาดรูป

 

เมิ่งชวนได้ให้เจ้าหน้าที่ของอาคารรับรองคอยซื้อของที่จำเป็นสำหรับการวาดรูปในตอนเช้า และแน่นอนว่าเขาจ่าย

 

เมืองตงหนิง

 

ขณะที่มองไปที่ผืนผ้าใบสีขาวราวกับหิมะ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับบ้านเกิด เมืองตงหนิง เขาถือพู่กันไว้ในมือ แต่เขายังไม่ลงมือ

 

เขารู้สึกอึดอัดแปลกๆ ตั้งแต่การรุกรานของอสูรเมื่อวานนี้จนถึงตอนนี้ ทุกๆอย่างมันราวกับเชื่อมกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ลึกๆในใจของเขา

 

เขาเคยเป็นแบบนี้ครั้งหนึ่งเมื่อตอนหกขวบ ในตอนนั้นเขาเป็นได้แค่ผู้ลี้ภัย แต่ในตอนนี้ที่เขาอายุสิบแปด เขาได้เข้าร่วมในการต่อสู้ของเมืองตงหนิง ความรู้สึกนี้มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

 

ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ อารมณ์ที่รุนแรงในจิตใจก็ระเบิดออกมา เขาเริ่มวาดรูปโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด

 

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset