มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 16 ข้าดูเจ้าผิดไป

 

หลิ่วสือซุ่ยจากที่ราบริมผาไป มุ่งหน้าสู่หมู่ยอดเขา มิหวนกลับมาอีก

ภาพสุดท้ายที่เขาทิ้งเอาไว้คือใบหน้าเล็กๆ ที่แดงเรื่อขึ้นมาด้วยความรู้สึกโกรธและดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาเนื่องเพราะต้องลาจาก

คนเดียวที่เห็นภาพนี้คือจิ๋งจิ่ว แต่ไม่นานเขาก็ลืมภาพนี้ไป

ก็เหมือนกับคำพูดที่เขากล่าวกับหลิ่วสือซุ่ย ธรรมวิถียาวไกล คนมิอาจจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดได้ แล้วก็มิจำเป็นต้องจดจำด้วย

หากมองจากมุมนี้ เขาเป็นคนที่เกิดมาเพื่อบำเพ็ญเพียรจริงๆ

หลังหลิ่วสือซุ่ยจากไป จิ๋งจิ่วยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องปูเตียงพับผ้าห่มด้วยตัวเอง ภายในที่พักดูเงียบเหงาไปถนัดตา นี่ทำให้เขาต้องใช้เวลาอยู่หลายวันจึงคุ้นชิน

ในช่วงเวลานี้ คำพูดเยาะเย้ยถากถางที่เหล่าศิษย์นอกสำนักมีต่อเขายิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม

หลิ่วสือซุ่ยเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนัก แต่เขากลับยังอยู่ที่นี่ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องมองว่านี่เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก

ทว่าจิ๋งจิ่วกลับมิรู้สึกกระไร เขายังคงอาศัยอยู่ในที่พัก วางเม็ดทรายลงไปในจานกระเบื้องนั้นอย่างเงียบๆ วันละนิดวันละหน่อย

มิใช่ว่าเขาถนัดในการอดทนอดกลั้น หากแต่เพราะเขามิได้ใส่ใจ

แต่อาจารย์หลี่ว์มิอาจอดทนได้ คืนวันหนึ่งเขามายังที่พักอีกครั้ง

เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบจิ๋งจิ่วอย่างละเอียดอีกครา พบว่าในร่างกายจิ๋งจิ่วยังคงไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋า จึงอดรู้สึกผิดหวังมิได้

ไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋า เส้นลมปราณไม่กำเนิด แล้วจะดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติได้อย่างไร?

ไม่มีปราณก่อกำเนิด เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าจะแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่ แล้วออกผลแห่งกระบี่ได้อย่างไร?

จนถึงตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าจิ๋งจิ่วมิใช่ศิษย์ที่อาจารย์เซียนแห่งยอดเขาใดยอดเขาหนึ่งรับไว้เป็นศิษย์ล่วงหน้า

ที่จิ๋งจิ่วสามารถชี้แนะศิษย์ร่วมสำนักได้ ล้วนแต่เป็นเพราะความรอบรู้และความสามารถในการพิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมของเขา

“คาดคะเนโดยไม่มีอะไรใช้อ้างอิง แต่กลับถูกต้องถึงเก้าในสิบ ดูเหมือนตระกูลของเจ้าจะมิใช่ธรรมดาจริงด้วย”

อาจารย์หลี่ว์มองดูเขาพลางกล่าว “เชื่อว่าในเมืองเจาเกอ ตระกูลของเจ้าก็คงมิใช่ตระกูลธรรมดาเช่นกัน”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ในบ้านมีหนังสืออยู่ไม่น้อย”

“พรสวรรค์มิอาจพึ่งพาได้ การคุยเล่นเกี่ยวกับธรรมวิถีนั้นไร้ประโยชน์ นอกเสียจากเจ้าคิดเพียงจะใช้มันไปสอบ มิยอมอดทนฝึกฝนร่างกาย เช่นนั้นก็อย่าได้หวังจะบรรลุสู่ขั้นรักษาจิตได้ สุดท้ายแล้วมันก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า”

อาจารย์หลี่ว์ถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าครุ่นคิดอยู่นาน หากเจ้าดึงดันเช่นนี้ ข้าสามารถแนะนำให้เจ้าไปเป็นผู้ดูแลอยู่ในที่ๆ หนึ่งได้ เมื่ออยู่ที่นั่น สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมีเพียงจัดหนังสือ ศึกษาความรู้ต่างๆ ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับเจ้า”

จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาหมายถึงยอดเขาซื่อเยวี่ย ยอดเขาแห่งนั้นเป็นยอดเขาที่ใช้เก็บคัมภีร์ฝึกพรตและเคล็ดกระบี่ของสำนักชิงซาน เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ใช้ค้นหาธรรมวิถีจากกองบันทึกโบราณ

อาจารย์หลี่ว์กล่าวต่อว่า “ที่นั่นเจ้าสามารถทำประโยชน์ให้แก่สำนักได้เช่นเดียวกัน บางทีอาจจะได้รับยาเซียนช่วยยืดอายุขัย เพียงแต่จะไม่มีสิทธิ์ได้การถ่ายทอดเพลงกระบี่อีก แต่ว่า…อย่างไรซะเจ้าก็ไม่ได้ต้องการมันอยู่แล้ว”

จิ๋งจิ่วแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นห่วงตนจริงๆ ถึงขนาดจัดแจงหนทางที่ดูเหมาะสมเอาไว้ให้กับตน

ทว่าเขาย่อมไม่ตอบรับอย่างแน่นอน เขาไม่ชื่นชอบยอดเขาซื่อเยวี่ย ยิ่งไปกว่านั้นอีกปีหนึ่งเขาก็จะไปจากที่นี่แล้ว

……

……

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครา ปุยขาวของเมล็ดหลิวลอยเต็มฟ้า

เวลาสามปีตามที่กำหนดไว้ผ่านไปแล้วกว่าครึ่ง เหล่าศิษย์นอกสำนักของศาลาหนานซงยิ่งรู้สึกเป็นกังวล ทุกช่วงเวลาล้วนแต่ใช้ไปกับการบำเพ็ญเพียร ทั่วทุกที่บนพื้นที่ราบริมผาสามารถมองเห็นควันสีขาวลอยขึ้นมาเป็นสาย

ตอนนี้ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนแต่เข้าสู่สภาวะรักษาจิตแล้ว หลายๆ คนอย่างเซวียหย่งเกอถึงขนาดมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะถมทะเลวิญญาณจนเต็ม

มีเพียงส่วนน้อยที่โง่เขลาหรือเกียจคร้านเกินไปถึงจะมองไม่เห็นความหวังใดๆ

แน่นอน คนที่มีโอกาสเข้ามายังสำนักชิงซานแต่กลับยังคงเกียจคร้านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็มีอยู่แค่คนเดียว

“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”

อาจารย์หลี่ว์มองดูจิ๋งจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลางกล่าว

เขารู้สึกเฉยชากับการที่จิ๋งจิ่วไม่แสวงหาความก้าวหน้าไปเสียแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายจะออกจากที่พักมาหาตนที่หอกระบี่ ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสนใจอะไร

“ข้าเตรียมจะไปจากนี่” จิ๋งจิ่วกล่าว

อาจารย์หลี่ว์ยกถ้วยชาขึ้นมาเตรียมจิบสักคำสองคำ ครั้นได้ยินคำพูดนี้ มือของเขาพลันหยุดค้างกลางอากาศ

เขาล้มเลิกความคิดเรื่องจิ๋งจิ่วไปนานแล้ว ทว่า…สุดท้ายแล้วก็ยังมีความรู้สึกเสียดายในความสามารถและยังไม่อยากยอมแพ้ เขาจึงมิได้ไล่อีกฝ่ายออกจากสำนัก ท้ายที่สุดกลับเป็นอีกฝ่ายที่คิดจะยอมแพ้อย่างนั้นหรือ? กระทั่งนอนฆ่าเวลาไปวันๆ ก็ไม่คิดจะทำแล้ว?

อาจารย์หลี่ว์รู้สึกเบื่อเล็กน้อย เขายิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “เจ้าคิดจะไปที่ใด?”

จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเล็กน้อย กลาวว่า “เรื่องที่ว่าจะไปยอดเขาไหน ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก”

“อย่างนั้นเจ้าไปคิดเองแล้วกัน ไม่ว่าจะไปหมู่บ้านนั้นหรือว่าเมืองเจาเกอ สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของเจ้า…ช้าก่อน!”

อาจารย์หลี่ว์พลันได้สติขึ้นมา ถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? พูดอีกรอบซิ?”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าบอกว่าข้าคิดไม่ออกว่าจะไปยอดเขาไหน”

อาจารย์หลี่ว์ถามอย่างไม่แน่ใจ “เจ้าหมายถึงยอดเขาทั้งเก้า?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง ข้าเตรียมจะเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนัก”

อาจารย์หลี่ว์รู้สึกสงสัยในหูของตน กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”

“ทะเลวิญญาณของข้าเต็มแล้ว สภาวะขั้นรักษาจิตก็น่าจะถือว่าบริบูรณ์แล้ว”

เมื่อมาคิดดูแล้ว การทำสมาธิอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนและการดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติโดยมิหยุดหย่อนในช่วงเวลาสองปีมานี้ ถึงแม้จะเป็นจิ๋งจิ่วก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่เหมือนกัน

อาจารย์หลี่ว์ไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาขยับความคิดเคลื่อนจิตจำแนกแห่งกระบี่ให้ไปปกคลุมร่างกายของจิ๋งจิ่วเอาไว้ และเตรียมพร้อม จะใช้กฎสำนักมาสั่งสอนจิ๋งจิ่วหนักๆ สักครั้งทันทีที่เปิดโปงคำโกหกของเขาได้

ในเวลานี้เขารู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว

……

……

เสียงเพล้งดังขึ้น

แก้วชาตกลงบนพื้น แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

น้ำชาหกเต็มพื้น ไอน้ำร้อนลอยฟุ้งขึ้นมาไม่หยุด คล้ายควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากศีรษะของเหล่าศิษย์ที่กำลังฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งอยู่ในป่า

อาจารย์หลี่ว์มองจิ๋งจิ่ว ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงและเหลือเชื่อ

ภายในหอกระบี่เงียบงัน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

อาจารย์หลี่ว์รู้สึกสับสน จากนั้นกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “ข้าไม่ได้ดูผิดใช่ไหม?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ท่านไม่ได้ดูผิด”

ทั้งคู่นิ่งเงียบเป็นเวลาครู่ใหญ่

น้ำชาบนพื้นค่อยๆ เย็นลง ไม่ได้มีควันขาวลอยออกมาอีก

ในที่สุดอาจารย์หลี่ว์ก็ใจเย็นลง แต่สายตาที่มองดูจิ๋งจิ่วยังคงคล้ายเหมือนกำลังมองดูเทพเซียน ในคำพูดมีความรู้สึกขอโทษและเสียใจแฝงเอาไว้อย่างชัดเจน “ที่แท้…ข้าดูผิดไปเอง”

จิ๋งจิ่วตบไหล่ของเขา กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน”

……

……

ลำแสงกระบี่สายหนึ่งส่องสว่างไปทั่วทั้งที่ราบริมผา สายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น

อาจารย์เซียนจากยอดเขาซีไหลขี่กระบี่บินมาถึง

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เหล่าศิษย์พากันหยุดฝึกฝน แล้วไปรวมตัวกันอยู่หน้าหอกระบี่

ทุกคนต่างเดาได้ จะต้องมีลูกศิษย์ที่เข้ารับการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักอย่างแน่นอน ต่างคนต่างรู้สึกตื่นเต้น

ใครจะกลายเป็นศิษย์ในสำนักคนที่สองของศาลาหนานซงต่อจากหลิ่วสือซุ่ย?

มีคนคิดว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่หยวนจากจังหวัดเล่อหลาง มีคนเดาว่าอาจจะเป็นศิษย์น้องอวี้ซานที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม

ลูกศิษย์หลายคนคิดว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นเซวียหย่งเกออย่างแน่นอน

แต่หลังจากนั้นเหล่าลูกศิษย์ก็พบว่าทั้งสามคนที่พวกเขาพูดถึงล้วนแต่ยังอยู่ข้างกาย มิได้อยู่ในหอกระบี่

สีหน้าเซวียหย่งเกอคร่ำเคร่ง เขาอยู่ห่างจากสภาวะรักษาจิตบริบูรณ์อีกไม่ไกล เดิมคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่สองของศาลาหนานซงต่อจากหลิ่วสือซุ่ย ใครจะไปคิดถึงว่าจะถูกคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อน

เขาจับจ้องไปที่ปากทางเข้าหอกระบี่ ในใจครุ่นคิดอย่างแค้นใจว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ปกปิดได้มิดชิดถึงเพียงนี้ มิได้มีวี่แววให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

ลมโชยผ่านชุดสีขาว ภายใต้การนำของอาจารย์หลี่ว์ จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในหอกระบี่

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทุกคนพากันตกตะลึงจนมิอาจกล่าววาจาได้

พวกเขารู้ว่าจิ๋งจิ่วชาญฉลาด ปัญญาเป็นเลิศ แต่ก็รู้ด้วยว่าคนผู้นี้มิแสวงหาความก้าวหน้า เกียจคร้านผิดวิสัย ไม่มีใครเคยเห็นเขาลุกขึ้นมาฝึกฝนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่คนแบบนี้กลับสามารถบรรลุสภาวะขั้นรักษาจิตได้จนบริบูรณ์อย่างนั้นหรือ? คนแบบนี้มีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักอย่างนั้นหรือ?

สีหน้าเซวียหย่งเกอดูแย่ยิ่งนัก

หากเป็นศิษย์นอกสำนักคนอื่นที่บังเอิญโชคดีชิงนำหน้าเขาไปก้าวหนึ่ง แม้นเขาจะรู้สึกโกรธ แต่เขาก็สามารถยอมรับความจริงนี้ได้

แต่คนผู้นั้นกลับเป็นจิ๋งจิ่วที่เขาดูแคลนมากที่สุด?

“เป็นไปได้อย่างไร!”

เขาพูดอย่างโกรธแค้น “ทะเลวิญญาณของมันจะเต็มได้อย่างไร? อาจารย์หลี่ว์ตรวจสอบดีแล้วหรือเปล่า?”

………………………………………………………….

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset