มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 3 ชายหนุ่มชุดขาวที่ย่ำลงแม่น้ำสายนั้นอีกครั้ง

เจ้าล่าเยวี่ยหิ้วศพอินซานเดินออกไปนอกเมือง ฝีเท้าย่ำเหยียบไปบนหญ้าสีเขียว ดูปราดเปรียวแผ่วเบา

แสงสว่างเจิดจ้าจากฟากฟ้าสาดส่องมาบนร่างกายอันอรชรอ้อนแอ้นของนางจนทอดเป็นเงายาวเหยียดบนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ถูกแสงที่สว่างยิ่งกว่ากลืนจนจางไป

เรื่องที่สำคัญที่สุดบนแผ่นดินกำลังอุบัติขึ้น ทว่านางกลับมิได้เหลียวหน้าแลมอง เพียงแต่จ้องดูเงาตรงหน้าที่เดี๋ยวเข้มเดี๋ยวอ่อนสลับสับเปลี่ยนกันไป คล้ายว่าเรื่องนี้น่าสนใจเสียยิ่งกว่าปรากฏการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นเสียอีก

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนาง แล้วก็ย่อมไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในที่สุดสีหน้าของนางได้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ริมฝีปากนางยกขึ้นเล็กน้อย กำลังยิ้มอยู่

บนหมู่ยอดเขาค่อยๆ มีเสียงกู่ร้องชื่นชมดังขึ้น

ในเมืองก็คล้ายมีเสียงโห่ร้อง

เมื่อแผ่นฟ้าแลพสุธายิ่งสว่างขึ้น เสียงโห่ร้องยิ่งดังขึ้น รอยยิ้มของนางก็ยิ่งกว้างขึ้น จนกระทั่งเผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ บนพวงแก้ม ดูน่ารักอยู่ทีเดียว

นางรู้สึกดีใจจริงๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียใจปนเสียดาย

หากได้อยู่ในยุคสมัยเดียวกับอัจฉริยะอย่างปรมาจารย์อา มันคงจะดีมิใช่น้อย

มิว่าจะเป็นการขอความรู้คำชี้แนะ หรืออะไรอย่างอื่น

เสียงโห่ร้องบนหมู่ยอดเขาพลันหายไป

ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ

ความเงียบในเวลานี้หมายถึงคำอวยพรและความปรารถนาดีที่งดงาม

เหมือนกับแสงที่ส่องสว่างไปบนโลก

แต่แน่นอน สุดท้ายแล้วยังคงมีความรู้สึกผิดหวังอยู่

ปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียนแล้ว

ในที่สุดเจ้าล่าเยวี่ยก็หมุนตัว แลมองไปบนฟ้า

เมื่อมองดูรอยแตกที่ค่อยๆ จางหายไป อีกทั้งลำแสงกระบี่ที่เลือนรางจนใกล้จะมองไม่เห็น ไม่รู้เพราะเหตุใด สองคิ้วของนางพลันเลิกขึ้นเล็กน้อย

นางมองดูศพที่หิ้วอยู่ในมือ รอยยิ้มค่อยๆ หดหาย กลายเป็นความสงสัยปนไม่แน่ใจ

……

……

ม่านหมอกอบอวลด้วยความชุ่มชื้น สายธารเคียงคู่มิห่างหาย

ไม่ไกลจากตัวเมืองอวิ๋นจี๋มีลำธารสายหนึ่ง ลำธารสายนั้นนำพาหมอกเบาบางไหลอ้อมผาสูงแลเนินเขาไปไกลหลายสิบลี้ ก่อนจะไหลเข้าไปในหน้าผาของอีกยอดเขาหนึ่งใหม่อีกครั้ง

ไม่รู้ไหลเข้าหน้าผาไปไกลเท่าไร สายธารค่อยๆ กว้างขึ้น แสงสว่างค่อยๆ สว่างขึ้น ด้านในกลับมีโพรงหินอยู่โพรงหนึ่ง บนผนังฝังไว้ด้วยหยกล้ำค่าที่ยากพานพบได้บนโลก

ภายในโพรงหินเรียบง่าย มีเพียงเตียงหินที่เชื่อมต่อกับหน้าผาอยู่หลังหนึ่ง ด้านหน้าเตียงมีเบาะสานที่ผุพังวางอยู่สองอัน

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนสองมือไพล่พลัง เอียงศีรษะมองดูเตียงหิน สายลมพัดโบกเป็นครั้งคราว ชุดขาวพลิ้วตามลม

บนเตียงหินมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ ทั่วทั้งร่างอาบเลือด ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล บางแผลแคบ บางแผลกว้าง บางแผลลึก บางแผลตื้น มิอาจแยกแยะได้เลยว่าถูกอาวุธชนิดใดทำร้ายกันแน่ เสื้อผ้าเองก็ขาดวิ่นไม่เป็นชิ้นดี ไหนเลยจะมองออกว่านั่นเป็นผ้าที่ถักทอขึ้นมาจากไหมฟ้า เข็มขัดเส้นนั้นยังคงสมบูรณ์ ไอชั่วร้ายจางๆ สายหนึ่งห่อหุ้มเข็มขัดเอาไว้ ประเดี๋ยวปรากฏประเดี๋ยวหาย นั่นคือเข็มขัดที่ทำจากเอ็นมังกรหมิงเจียว บนเข็มขัดมีแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งห้อยไว้ ดูคล้ายว่าแกะสลักขึ้นมาจากไม้สีดำธรรมดา

คนผู้นี้ไร้ลมหายใจ เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่สิ่งที่น่าแปลกคือบนใบหน้ายังคงมีไอหมอกปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ไอหมอกหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน

บุรุษหนุ่มยืนอยู่หน้าเตียงหิน สายตามองดูคนผู้นั้นไม่พูดจา มิรู้ว่ากำลังครุ่นคิดอันใดอยู่

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเขาจึงกล่าวออกมา

“น่าหงุดหงิด…จริงๆ”

เสียงของเขาชัดเจน แต่กลับแหบแห้งเล็กน้อย การพูดเชื่องช้ายิ่ง คล้ายปกติมิค่อยได้เอ่ยวาจา

แสงสว่างส่องไปในดวงตาเขา

ดวงตาของเขาดุจดั่งมหาสมุทร คล้ายเงียบสงบและใสกระจ่าง แต่กลับลึกและกว้างใหญ่จนสุดคณานับ ทั้งยังแอบซ่อนเกลียวคลื่นและลมพายุไว้จำนวนนับไม่ถ้วน

มีทั้งความไม่เข้าใจ ความโกรธเกรี้ยว ความเสียใจ ความเหนื่อยล้า อีกทั้งความเจนโลกที่ไม่สมกับอายุ

จากนั้นครู่หนึ่ง สรรพอารมณ์ในดวงตาของเขาพลันสลายหายไปจนหมด คงเหลือแต่เพียงความสงบนิ่ง

ดูคล้ายเมฆหมอกที่สลายตัวไปบนยอดเขาเก้ายอด และดูคล้ายแสงระยิบระยับที่ไหลลงมาจากบนฟ้าก่อนที่สุดท้ายจะสลายหายไป

“อิจฉาเจ้าเหมือนกันนะ ได้พักผ่อนเสียที แต่ข้ากลับยังต้องยุ่งอีกหลายปี”

บุรุษหนุ่มชุดขาวกล่าวกับคนตายที่อยู่บนเตียงหิน

เข็มขัดของคนตายขยับเล็กน้อย แผ่นป้ายไม้ชิ้นนั้นพลันหายไป

ลำแสงเยียบเย็นสายหนึ่งลอยออกมาจากเตียงหิน ก่อนจะบินวนรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว พลางส่องแสงวิบวับอยู่ในโพรงหินไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

นั่นคือกระบี่บินเล่มหนึ่ง ยาวประมาณสองฉื่อ[1]  กว้างสองนิ้วมือ ตัวกระบี่มันวาวราวกระจก นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

บุรุษหนุ่มชุดขาวยกมือขวาขึ้น กระบี่บินร่วงหล่นลงมา เสียงแปะเบาๆ ดังขึ้นก่อนจะม้วนไปบนข้อมือของเขา สีของมันค่อยๆ คล้ำขึ้น ดูคล้ายสร้อยข้อมือธรรมดาเส้นหนึ่ง

บุรุษหนุ่มชุดขาวหมุนตัวเดินไปข้างสายธาร ภายในหัวพลันนึกถึงคำพูดที่คนผู้นั้นเคยกล่าวกับตนเมื่อครั้งอดีต

คนไม่มีทางย่ำลงไปในแม่น้ำสายเดิมสองครั้งได้

เป็นเช่นนี้จริงงั้นหรือ?

เขาเดินลงไปในแม่น้ำสายเล็กๆ พลางคิดถึงปัญหานี้

……

……

ไม่รู้สายน้ำไหลทะลุภูเขาไปไกลเท่าไร ก่อนจะทะลุออกไปยังอีกด้านหนึ่งของยอดเขากลายเป็นน้ำตกสายเล็กๆ ที่สูงสิบกว่าจ้าง[2] ดูงดงามยิ่งนัก

ชายหนุ่มชุดขาวร่วงตกลงมาจากหน้าผาตามสายน้ำ เขาคิดเตรียมจะเดินไปบนผิวน้ำ ทว่าสองเท้ากลับเหยียบทะลุผิวน้ำร่วงตกลงไปในทะเลสาบ

กระทั่งจมลงไปถึงส่วนลึกของทะเลสาบ เมื่อสองเท้าสัมผัสพื้นทะเลสาบ เขาถึงได้พอเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พลางรู้สึกตกใจเล็กน้อย

ทว่าเขาคล้ายจะไม่รู้ว่าควรใช้สีหน้าแบบไหนมาบรรยายความรู้สึกตกใจเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงดูเหมือนเขาเหม่อลอย

น้ำในทะเลสาบที่เย็นเล็กน้อยไม่อาจทำอะไรเขาได้ เขาลืมตามองไปรอบตัว ก่อนจะมองเห็นหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใต้ทะเลสาบ

เขายกหินก้อนนั้นขึ้นมากอดไว้ แล้วเดินตามพื้นที่ลาดเอียงขึ้นไป ระยะห่างระหว่างผิวน้ำหดสั้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินพ้นจากผิวน้ำขึ้นมาบนฝั่ง

เสียงทึบเสียงหนึ่งดังขึ้น พื้นดินสั่นสะเทือน น้ำที่อยู่ริมฝั่งกระจายตัวเป็นระลอกคลื่นขนาดเล็ก นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเขาวางก้อนหินลง พอจะจินตนาการออกเลยว่าหินก้อนนี้หนักอึ้งเพียงใด

ทั้งร่างเขาเปียกโชก รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย เขาขยับความคิดเตรียมจะใช้เพลิงจากกระบี่ทำให้ร่างกายแห้ง แต่กลับไม่มีอะไรปรากฏออกมา

เส้นผมที่กำลังมีน้ำหยดและเสื้อผ้าที่เปียกจนแนบชิดร่างกายเตือนเขาว่าในเวลานี้เขาควรจะก่อไฟ แต่หลังจากนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่เคยก่อไฟมาก่อน

เขาเอียงศีรษะ ย้อนคิดถึงหนังสือที่เขาเคยได้อ่านเมื่อหลายปีก่อนเหล่านั้น ก่อนจะใช้น้ำเสียงแหบแห้งพูดทวนออกมา “จำเป็นต้องใช้หญ้าแห้งและกิ่งไม้ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน”

หลังมั่นใจว่าน้ำที่อยู่ในหูซ้ายออกมาจนหมดแล้ว เขาก็เอียงหัวไปทางขวาแล้วค้นหาความทรงจำที่ฝังลึกเหล่านั้นต่อ พลางกล่าวว่า “หากไม่มีหินจุดไฟ ก็ใช้หินผลึกหรือใช้การหมุนไม้”

ริมฝั่งคือป่าผืนหนึ่ง เขาสืบเท้าเดินเข้าไปในป่า ยื่นมือออกไปลูบไล้แผ่วเบา กิ่งไม้ร่วงตกลงมา ไม่นานก็กองเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ

เขาเลือกเอาแผ่นไม้ที่มีผิวเรียบที่สุดออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นวางฝอยไม้ที่ได้จากใต้เปลือกไม้ลงไปด้านบนจำนวนหนึ่ง ความคิดขยับเล็กน้อย สร้อยเงินตรงข้อมือพลันเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มนั้นใหม่อีกครั้ง ก่อนจะลอยหยุดอยู่เหนือแผ่นไม้

ปลายกระบี่อันแหลมคมปักลงบนแผ่นไม้ที่อยู่ด้านล่างโดยมีฝอยไม้คั่นกลาง กระบี่หมุนขึ้นมาด้วยความเร็วอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ ไม่นานก็มีสะเก็ดไฟปะทุขึ้นมา จากนั้นเป็นควัน แล้วก็มีเปลวไฟลุกขึ้น

เสื้อผ้าวางไว้บนกิ่งไม้ ไอน้ำลอยฟุ้งออกมา

ครั้นเห็นความหนาแน่นของไอน้ำและความเร็วที่มันลอยออกมา ชายหนุ่มก็คิดคำนวณได้อย่างง่ายดายว่าต้องใช้เวลาอีกสามเค่อ[3]  เสื้อผ้าจึงจะแห้งสนิท

จะใช้ช่วงเวลาที่รอคอยนี้กระทำอันใด สำหรับเขาแล้วมันมิใช่เรื่องที่จำเป็นต้องครุ่นคิดเลย

สำหรับเขาแล้ว เวลาทั้งหมดมีไว้เพื่อเป้าหมายเดียว

เขานั่งขัดสมาธิ หลับตาลงแล้วเริ่มสงบจิตภาวนา ท่าทางดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

แต่จากนั้นเขาพลันลืมตาขึ้น ก่อนจะครุ่นคิดอย่างงุนงงว่า ‘เคล็ดเข้าสมาธิมันว่าอย่างไรนะ?’

……………………………………………..

[1] ฉื่อ  หน่วยวัดความยาวในสมัยก่อน โดยหนึ่งฉื่อยาวประมาณ 0.33 เมตร

[2] จ้าง หน่วยวัดความยาวในสมัยก่อน โดยหนึ่งจ้างยาวประมาณ 3.33 เมตร

[3] เค่อ เป็นหน่วยบอกเวลา โดยหนึ่งเค่อคือเวลาประมาณ 15 นาที

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset