มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 31 ชาหนึ่งกาไม่มีความหมาย

ไม่มีใครมาถามจิ๋งจิ่ว คนของยอดเขาซั่งเต๋อเองก็มิได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วพาเขาไปยังคุกกระบี่อันเยือกเย็น

เห็นได้ชัดว่าหลิ่วสือซุ่ยมิได้บอกใครเรื่องที่เขาไม่ได้อยู่ในถ้ำคืนนั้น

เขาได้รู้มาจากทางศิษย์น้องอวี้ซานว่าในช่วงนี้ การฝึกฝนของหลิ่วสือซุ่ยนั้นยิ่งยากลำบากมากขึ้น ดูแล้วยากลำบากกว่าเมื่อสามปีก่อนเสียอีก อีกทั้งเจ้าหนุ่มนั้นยังนิ่งเงียบขึ้นกว่าเดิม มิรู้ว่าวันๆ กำลังคิดสิ่งใดอยู่ เพียงแต่รู้ว่าสภาวะของเขากำลังรุดหน้าขึ้นด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้

จิ๋งจิ่วพอจะเข้าใจถึงสาเหตุของการที่หลิ่วสือซุ่ยฝึกหนักและนิ่งเงียบ ด้วยเหตุนี้ เขาเองก็มีแต่ต้องนิ่งเงียบเหมือนกัน

ลูกศิษย์ขั้นล้างกระบี่คนอื่นเองก็กำลังฝึกฝนอย่างหนัก ทุกวันจะมองเห็นเงาคนจำนวนมากบนยอดเขากระบี่ บางคนก็สามารถเดินไปถึงขอบนอกของชั้นเมฆได้

ในเวลาหลายวันหลังจากนั้นก็มีลูกศิษย์สามารถเอากระบี่จากบนยอดเขากระบี่ได้สำเร็จคนแล้วคนเล่า ริมธารสี่เจี้ยนจะได้ยินเสียงหัวร่ออย่างมีความสุข เสียงร้องประหลาดและเสียงที่มีความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

สำหรับกระบี่เซียนที่ได้มาอย่างยากลำบาก เหล่าลูกศิษย์ย่อมต้องรู้คุณค่าของมันอย่างมาก แม้นจะใช้คำว่ารักจนมิอาจวางมือมานิยามก็ยังมิพอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาเรียนหรือเวลากินข้าว พวกเขาก็จะพกกระบี่ไว้ข้างกาย คอยเลียนแบบลักษณะท่าทางของเหล่าศิษย์พี่หญิงและชายอย่างระมัดระวัง ทั้งยังใช้เชือกที่อ่อนนุ่มที่สุดมามัดมันเอาไว้แล้วสะพายเอาไว้ด้านหลัง

ส่วนควรจะใช้เชือกชนิดไหน มัดแบบไหนจึงจะดูดีที่สุด สร้างภาระให้กับตัวกระบี่น้อยที่สุด ย่อมต้องกลายเป็นประเด็นที่เหล่าศิษย์ในศาลาสี่เจี้ยนพูดคุยกันมากที่สุด

มีลูกศิษย์บางคนกระทั่งเวลาเข้าห้องน้ำหรือเข้านอนก็ยังกอดกระบี่เอาไว้ข้างกาย

เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินไปจนกระทั่งอาจารย์อาเหมยหลี่แห่งยอดเขาชิงหรงรู้สึกโกรธ ถึงจะค่อยๆ ลดน้อยลง

……

……

จิ๋งจิ่วมิได้ออกจากถ้ำ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นศิษย์น้องอวี้ซานและชายหนุ่มแซ่หยวนจากจังหวัดเล่อหลางผู้นั้นบอกเล่าให้เขาฟัง

สำหรับเขาแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องราวไม่สำคัญที่แทรกเข้ามา ซึ่งมิจำเป็นต้องไปใส่ใจอะไรมาก

เรื่องราวที่เจอกับเจ้าล่าเยวี่ยบนยอดเขากระบี่และสังหารอาจารย์อาแห่งยอดเขาปี้หูในคืนนั้น สำหรับเขาแล้วก็เป็นเรื่องไม่สำคัญเช่นเดียวกัน

เขาคิดว่าเจ้าล่าเยวี่ยเฉลียวฉลาดมากพอ นางน่าจะรู้ว่าคนสองคนที่มีความลับควรรักษาระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ อย่างนั้นเรื่องนี้คงจะจบลงเพียงเท่านี้

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการคาดคะเนของตนจะเกิดข้อผิดพลาดนิดหน่อย

ดังนั้นเขาจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้ง เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก

ข่าวคราวข่าวหนึ่งแพร่กระจายไปยังสองฝั่งของธารสี่เจี้ยน

คนที่ได้ยินข่าวนี้พากันตะลึงลานอย่างยิ่ง

ภายในศาลาสี่เจี้ยนตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนพากันพูดคุยถกเถียงกัน

เซวียหย่งเกอส่งเสียงประหลาดออกมา จากนั้นตะโกนว่า “เป็นไปได้อย่างไร!”

จากนั้นเขาคิดว่ามีบางอย่างแปลกๆ คล้ายเมื่อครั้งที่อยู่ที่ศาลาหนานซง ตนเองก็เคยมีความรู้สึกแบบเดียวกันนี้

ข่าวนี้ทำให้กระทั่งเหล่าอาจารย์เซียนที่สอนอยู่ในศาลาสี่เจี้ยนอย่างเหมยหลี่พากันตกใจ

อาจารย์อาแห่งยอดเขาชิงหรงผู้นี้และหลินอู๋จือต่างมีความคาดหวังในตัวจิ๋งจิ่วอย่างล้ำลึก แต่พวกเขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าจิ๋งจิ่วจะมีชื่อเสียงรวดเร็วขนาดนี้

ตรงหน้าผาที่อยู่ปลายสุดของลำธาร เจ้าอ้วนหม่าหวายื่นผ้าฝ้ายให้แก่หลิ่วสือซุ่ยที่ทั้งตัวเปียกโชก สายตามองดูเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่? คุณชายของเจ้าคนนั้นมีชื่อเสียงอีกแล้ว”

มือที่กำลังเช็ดหน้าของหลิ่วสือซุ่ยหยุดชะงัก เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา พลางถามอย่างวิตกังวลว่า “ทำไมหรือ?”

“เจ้าล่าเยวี่ยเสร็จสิ้นการฝึกฝนบนยอดเขากระบี่ และกลับมายังธารสี่เจี้ยนแล้ว”

หม่าหวากล่าวอย่างทอดถอนใจ “ดูเหมือนว่า นางจะสำเร็จวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาแล้วจริงๆ”

หลิ่วสือซุ่ยตกตะลึง

เจ้าล่าเยวี่ยเป็นต้นแบบของลูกศิษย์ธรรมดาทั้งหมด และยังเป็นต้นแบบของเขาด้วย เขามิเคยพบเจอกับศิษย์พี่ที่ผู้คนพากันร่ำลือผู้นี้มาก่อน

ศิษย์พี่เสร็จสิ้นการฝึกฝนบนยอดเขากระบี่ นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่ เพียงแต่เรื่องนี้…มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับคุณชายกันล่ะ?

“ปัญหาอยู่ที่ หลังเจ้าล่าเยวี่ยลงจากยอดเขา นางมิได้ไปคารวะอาจารย์ที่ศาลาสี่เจี้ยน มิได้กลับไปยังถ้ำของตน หากแต่ไปยังถ้ำของจิ๋งจิ่ว”

สายตาหม่าหวามองไปยังด้านล่างของลำธาร พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เวลานี้นางกำลังพูดคุย…กับจิ๋งจิ่วอยู่”

หลิ่วสือซุ่ยโล่งใจ ภายในใจแอบครุ่นคิดคุณชายย่อมมิใช่ธรรมดา และก็มีเพียงอัจฉริยะอย่างศิษย์พี่ล่าเยวี่ยเท่านั้นที่เขาจะยินดีพูดคุยด้วยสักหลายประโยค

เมื่อคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา เวลาที่จิ๋งจิ่วอยู่กับเขา แต่ไหนแต่ไรมามิค่อยพูดจา นี่จึงทำให้เขาพลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

หม่าหวาดึงสายตากลับมามองดูเขา กล่าวว่า “เจ้าไม่อยากไปดูหรือ?”

หลิ่วสือซุ่ยส่ายหัว วางผ้าฝ้ายปูลงไปบนหิน รอตากแดดจนแห้ง ก่อนจะเดินกลับลงไปในลำธารแล้วเริ่มตั้งใจฝึกกระบี่ต่อ

หม่าหวามองดูร่างกายเล็กผอมที่อยู่บนแม่น้ำ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย

เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้านี่กันแน่

ในช่วงหลายวันนี้ หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ตั้งใจฝึกมากกว่าเดิม คล้ายในที่สุดก็เจอเป้าหมายอะไรบางอย่าง แล้วก็คล้ายกำลังแบกรับความกดดันอะไรบางอย่าง

วิถีของยอดเขาเหลี่ยงว่างนั้นอยู่ที่ความเพียรและความอดทน การแสดงออกของหลิ่วสือซุ่ยควรจะเป็นเรื่องที่ดี แต่เขามักรู้สึกมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

หม่าหวาเดินกลับมายังศาลาธรรมชาติที่เกิดจากเงาต้นไม้จำนวนมาก เขามองกู้หานพลางกล่าวถาม “ตอนนี้ท่านยังคิดว่าจิ๋งจิ่วเป็นพวกไร้ประโยชน์อีกหรือไม่?”

กูหานกล่าวสีหน้าราบเรียบ “เอากระบี่มาไม่ได้ล้วนเป็นพวกไร้ประโยชน์ แม้นเขาจะเป็นอัจฉริยะในสายตาของทั้งโลกก็ตาม”

หม่าหวาเข้าใจความหมายของเขา มิกล่าวกระไรอีก

……

……

การเรียนที่ริมฝั่งธารสี่เจี้ยนจบสิ้นลง ลูกศิษย์สิบกว่าคนกรูกันออกมาจากศาลาสี่เจี้ยน มาถึงริมฝั่งธาร

พวกเขาบางคนล้างกระบี่ในลำธาร บางคนก็ล้างผลไม้ในลำธาร บางคนแสร้งทำเป็นจับกลุ่มคุยกัน

แต่ความจริงแล้ว พวกเขาทุกคนต่างกำลังมองดูหน้าผาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งแม่น้ำ

ตรงหน้าผามีก้อนหินตั้งเรียง ด้านหลังก้อนหินคือถ้ำแห่งหนึ่ง เทียบกับถ้ำอื่นบนหน้าผามิได้มีอะไรต่างกัน

เวลานี้ ตรงด้านหน้าถ้ำมีเงาคนตะคุ่มๆ อยู่สองคน

“ใช่ศิษย์พี่เจ้าจริงหรือ?”

“เจ้าดูผิดหรือเปล่า?”

“อวี๋คุนเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักพร้อมกับศิษย์พี่ เคยอยู่กับศิษย์พี่ในศาลาสี่เจี้ยนมาหลายสิบวัน เขาจะมองผิดได้อย่างไร?”

“ศิษย์พี่เจ้าลงเขามาแล้วจริงๆ หรือ? อย่างนั้นเหตุใดนางจึงไปอยู่ในนั้น?”

“รีบดูเร็ว!” นางกำลังพูดกับจิ๋งจิ่วจริงๆ ด้วย!”

……

……

เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ข้างลำธารพูดคุยถกเถียงกันเสียงเบาๆ ทั้งตื่นเต้นและประหม่า

สำหรับพวกเขาแล้ว เจ้าล่าเยวี่ยคือศิษย์พี่ที่น่าเคารพมากที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นเทพธิดาที่พวกเขามิอาจเอื้อมถึง

มิว่าผู้ใด่างก็รู้ว่าศิษย์พี่เจ้ามีนิสัยเย็นชาและพูดน้อย ไม่ว่ากับใครก็เหมือนกัน ล้วนแต่รู้สึกห่างเหิน กระทั่งยอดเขาเหลี่ยงว่างที่อยากจะได้ตัวนางมาโดยตลอด นางก็ยังมิยอมเข้าใกล้ เช่นนั้นเหตุใดนางเพิ่งจะเสร็จการฝึกฝนอันยากลำบากบนยอดเขามา ถึงได้มาหาจิ๋งจิ่ว?

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ นางกำลังพูดคุยกับจิ๋งจิ่วอยู่จริงๆ

หรือว่าจิ๋งจิ่วจะมีอะไรที่ยอดเยี่ยมอยู่จริงๆ?

เมื่อหลายวันก่อน การเข้าไปในเมฆบนยอดเขากระบี่ของเขาได้สร้างความตกตะลึงให้กับหลายคน แต่สุดท้ายเขาก็เอากระบี่ลงมาไม่ได้ ไม่ถือว่ายอดเยี่ยมอะไร

“ในช่วงสองปีกว่านี้ไม่เคยเห็นศิษย์พี่จิ๋งทำอะไร แต่ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญ เขามักจะทำเรื่องที่น่าตกตะลึงอยู่เสมอ ช่างแอบซ่อนความสามารถเอาไว้จริงๆ”

ชายหนุ่มแซ่หยวนจากจังหวัดเล่อหลางมองดูภาพที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลางกล่าวอย่างอิจฉา

ในเวลานี้มีใครบ้างไม่อิจฉาจิ๋งจิ่ว?

“หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็เป็นคนธรรมดา?”

นี่ลูกศิษย์คนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ

ทุกคนถามหมายความว่าอย่างไร

ลูกศิษย์คนนั้นยกมือขึ้นมาวาดบนใบหน้า

ทุกคนจึงเข้าใจความหมายของเขา ก่อนจะพากันหัวร่อพลางด่าทอขึ้นมา

“ข้ารู้แล้ว!” เซวียหย่งเกอพลันโบกไม้โบกมือขึ้นมา พลางกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า  “ทุกวันจิ๋งจิ่วจะต้องแอบไปฝึกวิชาในตอนกลางคืน แล้วก็มานอนกลางวันเป็นแน่ เสแสร้งทำเป็นไม่เดือดเนื้อร้อนใจ มิเช่นนั้นเหตุใดจึงเดินเข้าในเมฆของยอดเขากระบี่ได้ ทั้งยังรู้จักกับศิษย์พี่ใหญ่ด้วย ข้าเคยเห็นคนแบบนี้มามากตอนที่อยู่ในโรงเรียนในเมือง! ไอพวกจอมปลอม!”

……

……

ในสายตาของศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่ริมฝั่งตรงข้ามของลำธาร จิ๋งจิ่วนั้นเป็นคนที่น่าอิจฉามากที่สุด แต่เขายังคงเป็นเหมือนปกติ ไม่ได้พูดอะไรมาก

เขายังคงนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่นั่น หากมิเป็นเพราะวานรที่อยู่ด้านหลังหน้าผาเคลื่อนย้ายก้อนหินก้อนใหญ่มาสองก้อน เขาก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าล่าเยวี่ยควรจะนั่งตรงไหน

“อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว?”

“อืม”

“เจตน์กระบี่หลอมกายาสำเร็จแล้ว?”

“อืม”

คำพูดของจิ๋งจิ่วน้อย คำพูดของเจ้าล่าเยวี่ยก็มิได้มาก

สำหรับเรื่องนี้ เขารู้สึกดีมาก

หลิ่วสือซุ่ยเองก็ดีมาก เพียงแต่บางครั้งค่อนข้างขี้บ่นไปหน่อย

เขาไม่มีประสบการณ์ในการคุยเล่นมากนัก จึงนึกว่าบทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น จากนั้นมองไปทางจานกระเบื้องใหม่อีกครั้ง ในมือหยิบทรายขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แล้วครุ่นคิดว่าควรจะวางไว้ตรงไหน

เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร สองตาปิดลง แล้วเริ่มครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ภายใต้แสงอาทิตย์ และคอยซึมซับพลังวิญญาณในธรรมชาติ

อาการบาดเจ็บในคืนวันนั้นส่วนใหญ่หายดีแล้ว ยาวิเศษที่จิ๋งจิ่วให้นางเอาไว้เม็ดนั้นก็ช่วยนางได้เป็นอย่างมาก แต่การอาศัยที่ยอดเขากระบี่มาหนึ่งปีกว่า ฝึกเจตน์กระบี่หลอมกายาจนสำเร็จ ร่างกายของนางได้รับความเสียหายหลายแห่ง เส้นลมปราณเองก็มีรูเล็กๆ อยู่หลายแห่ง พลังของโอสถกระบี่เองก็ได้รับผลกระทบ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เวลาค่อยๆ ทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร นางลืมตาขึ้นมา ก่อนจะพบว่าดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตกแล้ว

จิ๋งจิ่วยังคงหนีบทรายเหล่านั้นเอาไว้ มองดูจานกระเบื้อง ท่าทางเหมือนตอนแรกเริ่มมิผิดเพี้ยน

ราวกับเวลาผ่านไปเพียงพริบตา

เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขา รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ลึกล้ำมิอาจเข้าใจได้

ที่ว่าลึกล้ำมิอาจเข้าใจได้นั้นมิใช่สภาวะ หากแต่เป็นสิ่งอื่น

การที่สามารถมีความอดทนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ จะต้องมิใช่คนธรรมดาแน่

จิ๋งจิ่วคล้ายกำลังเล่นหมากรุก ดูลังเลมิแน่ใจว่าจะวางหมากอย่างไร

สายตาเจ้าล่าเยวี่ยทอดมองไปบนจานกระเบื้อง มองดูทรายเล็กละเอียดที่กองอยู่ตรงกลางจานเหล่านั้นอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นกล่าวว่า “มีความหมาย”

จิ๋งจิ่วเงยหน้าขึ้นมา พลางเหลือบมองนาง กล่าวว่า “มีความหมาย”

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยผู้นี้จะสามารถมองเห็นความหมาย

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ยากเกินไป ข้าไปล่ะ”

เห็นได้ชัด แม้นนางจะรู้สึกมีความหมาย แต่ก็ไม่คิดว่าควรจะเอาเวลาที่มีค่าที่สุดมาใช้กับเรื่องแบบนี้

จิ๋งจิ่วกล่าว “เชิญ”

……

……

ผ่านไปอีกหลายวัน เจ้าล่าเยวี่ยกลับมาใหม่

เมื่อเห็นลำแสงกระบี่สายนั้นตกลงตรงหน้าถ้ำของจิ๋งจิ่ว เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของลำธารยังคงตกตะลึง

“มาแล้ว?”

จิ๋งจิ่วพบว่าผมของนางยังคงสั้น ยุ่งเหยิง มีฝุ่นเกาะเป็นชั้น คล้ายต้นหญ้าในที่รกร้าง

มิรู้ว่าเป็นเพราะภาพที่อยู่ในจิตจำแนกแห่งกระบี่นี้ชัดเจนเกินไปหรือไม่ เขาพลันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมา

เวลานี้ไม่มีหลิ่วสือซุ่ยชงชาให้ น้ำในกาน้ำชาของเขาเป็นน้ำจากบนภูเขาที่วานรไปตักมาให้ทุกวัน

กาน้ำชาอยู่บนโต๊ะหิน เขาอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่

เขากำลังจะเอื้อมมือไป พลันนึกขึ้นได้ว่าข้างกายมีคน จึงเหลือบมองไปทางเจ้าล่าเยวี่ย

เจ้าล่าเยวี่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “เทน้ำให้ข้าหน่อย”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่”

“เอ่อ”

เวลานี้จิ๋งจิ่วถึงได้เข้าใจ นางมิใช่หลิ่วสือซุ่ย

น้ำจากบนภูเขาใสสะอาด รสชาติมิได้ด้อยไปกว่าชา

ด้านหนึ่งเขาดื่มน้ำที่อยู่ในถ้วย อีกด้านหนึ่งก็ครุ่นคิด

………………………………………………………………………….

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset