มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 51 ความเป็นมาของจิ๋งจิ่ว

ในตอนที่บนลานต้อนรับเกิดเหตุการณ์เล็กๆ นี้ขึ้นมา ภายในอารามของยอดเขาซีไหลเองก็มีการถกเถียงเกิดขึ้น

วันนี้เนื่องเพราะต้องหารือกันเรื่องปัญหาบางอย่างที่สำคัญยิ่ง แต่ละยอดเขาจำเป็นต้องเข้าร่วมการประชุมด้วยตนเอง ไม่สามารถใช้กระบี่ส่งเสียงมาเหมือนเวลาปกติได้

ผู้ที่เข้าร่วมการประชุมหาใช่เจ้าแห่งยอดเขาของแต่ละยอดเขา หากแต่เป็นบุคคลสำคัญของแต่ละยอดเขา อย่างเช่นยอดเขาซั่งเต๋อก็ส่งฉือเยี่ยนมา ยอดเขาชิงหรงส่งเหมยหลี่มา ยอดเขาเทียนกวงส่งไป๋หรูจิ้งมา ยอดเขาปี้หู ยอดเขาอวิ๋นสิงและยอดเขาซื่อเยวี่ยส่งผู้อาวุโสที่มีสถานะสูงส่งมาสองสามคน มีเพียงยอดเขาซีไหลซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานประชุมที่เจ้าแห่งยอดเขามาด้วยตนเอง

หลายปีมานี้เจ้าสำนักและหยวนฉีจิงมิค่อยได้ปรากฏกายในงานเช่นนี้ แต่เหตุใดเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงที่ชื่นชอบความคึกครื้นและเจ้าแห่งยอดอวิ๋นสิงที่มิชื่นชอบการถูกจับตามองถึงไม่มาเข้าร่วมการประชุม? นั่นเพราะเช้าวันนี้หลังจากยอดเขาเสินม่อเผยโฉมอีกครา บรรดาบุคคลสำคัญของสำนักชิงซานเหล่านี้พลันพบปัญหาที่น่ากระอักกระอ่วนใจปัญหาหนึ่ง

จู่ๆ มีลูกศิษย์รุ่นที่สามกลายเป็นผู้อาวุโสระดับเดียวกับพวกเขา

หากนี่เป็นการประชุมของเจ้าแห่งยอดเขา นั่นมิเท่ากับว่าต้องตะโกนเรียกสาวน้อยเจ้าล่าเยวี่ยนั่นมาหรอกหรือ?”

เวลาเจอกับสาวน้อยผู้นั้น หรือพวกเขาต้องคารวะกระบี่กับอีกฝ่าย?”

ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มา

เมื่อดูจากจุดนี้ มิรู้ว่าความสามารถของเหล่าอาจารย์ของสำนักชิงซานสูงส่งกว่าเหล่าศิษย์อย่างกู้หานตั้งเท่าไร

“ประเด็นแรก” ฉือเยี่ยนนั่งอยู่บนเบาะอาสนะ กล่าวกับทุกคนว่า “ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อวานนี้ กู้ชิงใช้เพลงกระบี่ของยอดเขาซื่อเยวี่ย มหาบรรพตที่ดวงสุริยามิอาจข้ามผ่าน….เขาแอบเรียนมันด้วยตัวเองหรือว่ามีใครสอนเขา? เรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบให้กระจ่าง”

ภายในอารามเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดรับคำ

กู้ชิงอาศัยอยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่างมาตั้งแต่เล็ก เป็นน้องชายแท้ๆ ของกู้หาน ทั้งยังเป็นเด็กติดตามของกั้วหนานซาน…ที่บอกว่าแอบเรียน ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อแน่นอน

ปัญหาอยู่ที่ กั้วหนานซานและกู้หานล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ที่มาจากยอดเขาเทียนกวง โดยเฉพาะกั้วหนานซานนั้นเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนัก

ยอดเขาซั่งเต๋อต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการฉวยโอกาสนี้เล่นงานยอดเขาเทียนกวง ศิษย์พี่หยวนจะเปิดศึกกับเจ้าสำนักอีกคราอย่างนั้นหรือ?

เหล่าผู้อาวุโสที่ล่วงรู้ความลับในอดีตเหล่านั้นนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร การต่อสู้ระหว่างสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งชิงซาน ต่อให้เป็นพวกเขาก็มิกล้าเข้าไปข้องเกี่ยว

สายตาฉือเยี่ยนไปตกอยู่ที่ตัวผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย

ผู้อาวุโสคนนั้นหัวร่อเจื่อนๆ ในใจครุ่นคิดเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติอย่างมาก ในเวลาปกติจะมีผู้ใดมานั่งตรวจสอบกัน จะโทษก็ต้องโทษศิษย์ที่ชื่อกู้ชิงนั่น เรียนเพลงกระบี่อะไรไม่เรียน ไฉนต้องมาเรียนกระบี่ของยอดเขาตนด้วย

“ตรวจสอบ ย่อมต้องตรวจสอบแน่นอน…เพียงแต่ ต่างฝ่ายต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน อย่าทำให้ต้องเกิดความบาดหมางกันเลย”

คำพูดของผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยประโยคนี้ต้องการไกล่เกลี่ยอย่างเห็นได้ชัด

ฉือเยี่ยนเองมิได้ใส่ใจ ขอเพียงยอดเขาซื่อเยว่เอ่ยปาก ยอดเขาซั่งเต๋อก็ยิ่งมีความมั่นใจที่จะตรวจสอบต่อไป

“แอบเรียนเพลงกระบี่ย่อมต้องตรวจสอบแน่นอน แต่เรื่องของยอดเขาข้าล่ะ?”

ผู้อาวุโสเฉิงจากยอดเขาปี้หูพลันกล่าวเสี่ยงต่ำขึ้นมา

ผู้อาวุโสแซ่เฉิงผู้นี้ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนบนยอดเขาปี้หู อารมณ์ค่อนข้างรุนแรง

เหลยพั่วอวิ๋นซึ่งเป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูคนก่อนหน้าธาตุไฟเข้าแทรก จากนั้นตายลงอย่างกะทันหัน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความลับหลายๆ อย่าง เจ้าสำนักเป็นคนเอ่ยปากออกมา ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าท้วงติงกระไร

แต่มีหรือที่ศิษย์ยอดเขาปี้หูจะยอม พวกเขาย่อมไม่ยอมรับ โดยเฉพาะก่อนหน้านั้นไม่นาน ยอดเขาปี้หูยังเกิดเรื่องเศร้าขึ้นเรื่องหนึ่ง

ผู้อาวุโสเฉิงกล่าวเสียงดังว่า “หรือศิษย์น้องจั่วต้องนอนตายตาไม่หลับเช่นกันอย่างนั้นหรือ!”

ฉือเยี่ยนสังเกตเห็นคำว่า ‘เช่นกัน’ ในคำพูดประโยคนี้ของผู้อาวุโสเฉิง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว “คดีนี้มีเบาะแสเล็กน้อย แต่ยังมิอาจแน่ใจได้”

ผู้อาวุโสเฉิงจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “มิอาจแน่ใจได้? แล้วเมื่อไรถึงจะแน่ใจได้?”

ฉือเยี่ยนกล่าว “การสืบสวนของยอดเขาซั่งเต๋อ มิจำเป็นต้องรายงานผู้ใด”

ครั้นเห็นบรรยากาศเริ่มดูอึดอัด เสียงที่นุ่มนวลเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

“ฉวยโอกาสครั้งนี้….ยอดเขาเสินม่อยังไม่มา พวกเรารีบคุยกันเรื่องนั้นดีกว่า”

ผู้ที่กล่าวขึ้นมาคือเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด

เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลคือผู้แข็งแกร่งแห่งวิถีกระบี่ที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเล คิ้วสีขาวสองข้างลู่ตกลง พลิ้วไหวตามลมเล็กน้อย ดูไปคล้ายเซียนยิ่งนัก

ภายในอารามไร้ซึ่งซุ่มเสียง ไม่มีใครกล่าวกระไรออกมาเป็นเวลานาน

ทุกคนต่างรู้ว่าเรื่องที่เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลว่านั้นคือเรื่องอะไร

พูดให้ถูกคือ เรื่องนั้นก็คือชายหนุ่มผู้นั้น

“ถูกต้อง ข้าเองก็อยากรู้เช่นเดียวกัน ศิษย์ที่ชื่อจิ๋งจิ่วผู้นั้นมันยังไงกันแน่”

ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงขมวดคิ้วกล่าวว่า “ป้ายกระบี่แสดงเอาไว้อย่างชัดเจน เขาเคยขึ้นยอดเขากระบี่เพียงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็กลับลงมามือเปล่า กระบี่ของศิษย์น้องม่อเล่มนั้น เขาเอามันลงมาจากเขาได้อย่างไร?”

จิ๋งจิ่วมาสำนักชิงซานได้สามปีแล้ว

เขาเกียจคร้านอย่างมาก ขณะเดียวกันก็มีชื่อเสียงอย่างมากเช่นกัน

เรื่องแปลกๆ ที่ยากจะอธิบายได้ที่เกิดขึ้นบนตัวเขาเหล่านั้น มีหรือที่เหล่าอาจารย์ที่มีเนตรกระบี่อันเฉียบคมจะไม่สังเกตเห็น?

ในขณะที่เหล่าอาจารย์คาดหวังและชื่นชม พวกเขาย่อมต้องเกิดความรู้สึกสงสัยด้วยเช่นกัน

สายตาไปตกอยู่ที่ตัวฉือเยี่ยน

นี่เป็นเรื่องที่ยอดเขาซั่งเต๋อควรจะสืบสวนให้กระจ่าง

ฉือเยี่ยนกล่าว “ประวัติความเป็นมาของศิษย์นามจิ๋งจิ่วผู้นี้ชัดเจนอย่างมาก มาจากเมืองเจาเกอ ไม่มีปัญหาใดๆ”

ผู้อาวุโสเฉิงแห่งยอดเขาปี้หูจ้องมองดวงตาเขา พลางกล่าว “เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ นั่นเป็นเวลาหนึ่งปี อีกทั้งในหมู่บ้านแห่งนั้นยังมีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดอยู่ด้วยคนหนึ่ง”

ท่องเที่ยว บำเพ็ญเพียร ถามทาง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็ล้วนแต่มิอาจอธิบายเรื่องนี้ได้ เพราะความเป็นไปได้มันน้อยยิ่งนัก

สิ่งที่หลายๆ คนรวมไปถึงตัวผู้อาวุโสเฉิงใคร่รู้มากที่สุดก็คือ หากหลิ่วสือซุ่ยคือหมากที่ท่านเจ้าสำนักวางเอาไว้ล่วงหน้า เช่นนั้นจิ๋งจิ่วล่ะ?

ฉือเยี่ยนมองไปทางไป๋หรูจิ้งที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร

จากนั้นคนอื่นๆ และผู้อาวุโสเฉิงก็มองตามสายตาของเขาไป

ตอนนี้ดูแล้ว จิ๋งจิ่วมีโอกาสที่จะเป็นคนของยอดเขาเทียนกวงมากที่สุด

เขาคอยจับตาดูหลิ่วสือซุ่ยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น แล้วตอนนี้ยังตามเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นยอดเขาเสินม่ออีก

หากเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแผนการของยอดเขาเทียนกวง เช่นนี้ก็บอกได้เพียงว่าความคิดของท่านเจ้าสำนักนั้นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึงได้

ไป๋หรูจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “การสงสัยกันเองคือสิ่งที่แย่ที่สุด เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับยอดเขาเทียนกวง”

แน่นอนว่าไม่มีทางที่เขาพูดอะไร แล้วทุกคนจะเชื่อเช่นนั้น แต่ตอนนี้งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนได้เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อย ตามหลักแล้วต่อให้จิ๋งจิ่วเป็นหมากที่ยอดเขาเทียนกวงวางเอาไว้ เขาก็มิจำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก นอกเสียจากเป้าหมายที่แท้จริงของยอดเขาเทียนกวงจะเป็นยอดเขาเสินม่อ….

“พวกเราต่างรู้ดีว่าข่ายพลังปิดกั้นที่อาจารย์อาคนเล็กทิ้งเอาไว้นั้นร้ายกาจแค่ไหน ต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยจะอัจฉริยะเพียงใด ก็ไม่มีทางขึ้นไปถึงปลายสุดของยอดเขาได้”

ฉือเยี่ยนกล่าว “จากที่ข้าดูแล้ว ที่ยอดเขาเสินม่อปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เกรงว่าจะเป็นฝีมือของจิ๋งจิ่วเสียส่วนใหญ่”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลเลิกคิ้วเล็กน้อย ผู้อาวุโสจากแต่ละยอดเขารู้สึกตกใจ

เหมยหลี่พลันเอ่ยถามขึ้นมา “สถานการณ์ในยอดเขาเมื่อคืนนี้ นอกจากท่านเจ้าสำนักก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้ แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร?”

ฉือเยี่ยนสีหน้าเรียบเฉย มิได้กล่าวกระไร

เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขายิ่งตกตะลึง ในใจครุ่นคิดหรือข่าวลือนั่นจะเป็นจริง? ศิษย์พี่หยวนบรรลุสภาวะทะลวงสวรรค์แล้วจริงๆ?”

ภายในอารามเงียบสงัด

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าสถานการณ์ภายในสำนักชิงซานคงต้องเปลี่ยนไปแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่ว่านี้ สะท้อนออกมาอย่างรวดเร็วจากคำพูดของผู้อาวุโสแห่งยอดเขาอวิ๋นสิง

ยอดเขาอวิ๋นสิงที่แต่ไหนแต่ไรมาติดตามเพียงยอดเขาเทียนกวง เป็นคนแรกที่เห็นด้วยกับความคิดของฉือเยี่ยน

เจ้าล่าเยวี่ยบาดเจ็บไปทั่วทั้งกาย แต่บนร่างกายของจิ๋งจิ่วกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ลูกศิษย์ของยอดเขาทั้งเก้ากล่าวว่าเขาอาศัยวิธีการที่ไร้ยางอาย ด้วยการเดินตามเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นไปบนยอดเขา แต่มันมีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน หากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็จะรู้ว่าในนี้มันมีปัญหา”

เหมยหลี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกท่านสงสัยอะไรจิ๋งจิ่วกันแน่?”

ผู้อาวุโสเฉิงแห่งยอดเขาปี้หูกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “บนร่างกายของศิษย์ผู้นี้มีอะไรหลายอย่างที่น่าสงสัย ไม่เคยมีผู้ใดเห็นเขาบำเพ็ญเพียรมาก่อน แต่เหตุใดเขาจึงสามารถบรรลุสภาวะได้สี่ขั้นติดต่อกันภายในเวลาสามปี เมื่อวานเอาชนะได้แม้กระทั่งกู้ชิง ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของเขามิได้ด้อยไปกว่าหลิ่วสือซุ่ยที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดเลย เขาทำได้อย่างไรกัน?”

เหมยหลี่กล่าว “บอกความคิดของท่านมาตามตรงดีกว่า”

ผู้อาวุโสเฉิงยิ้มเยือกเย็นพลางกล่าว “ข้าเพียงรู้เขามีปัญหา ส่วนจะมีปัญหาอะไรนั้น นั่นเป็นเรื่องของยอดเขาซั่งเต๋อ”

ฉือเยี่ยนกลายเป็นจุดรวมสายตาอีกครั้ง เขาลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าสงสัยว่าจิ๋งจิ่วจะมาจากวัดกั่วเฉิง”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ทั้งอารามพลันตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แต่บรรยากาศกลับมิได้ตรึงเครียดเหมือนก่อนหน้า

……………………………………………………………..

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset