มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 60 กลางดึกบนยอดเขาปี้หู

ค่ำคืนที่มีพายุฝนโหมกระหน่ำเป็นค่ำคืนที่มืดมิดที่สุด ชั้นเมฆหนาทึบ ไร้ซึ่งแสงดวงดารา ทุกที่ล้วนแต่ตกอยู่ในความมืด

จิ๋งจิ่วยืนอยู่บนยอดเขาปี้หู เงียบเชียบไร้ซึ่งซุ่มเสียง สายลมยามค่ำคืนพัดโชยชุดสีขาว เงียบเชียบไร้ซึ่งซุ่มเสียงเช่นเดียวกัน

ยอดเขาปี้หูไม่เหมือนยอดเขาอื่น ปลายสุดของยอดเขามีสภาพราบเรียบ อีกทั้งยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ ตรงกลางมีทะเลสาบใสกระจ่างอยู่แห่งหนึ่ง

นามของยอดเขาปี้หูก็ได้มาด้วยเหตุนี้

ตรงกลางทะเลสาบมีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง บนเกาะมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง ดูหมองหม่นเมื่ออยู่ภายใต้พายุฝน

ตำหนักแห่งนี้มิใช่ที่พำนักของเจ้าแห่งยอดเขาปี้หู หากแต่เป็นของอีกคนหนึ่ง

จิ๋งจิ่วมองดูตำหนักแห่งนั้นอย่างเงียบๆ มิรู้กำลังครุ่นคิดอันใด

ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานมีการคุ้มกันแน่นหนา การคุ้มกันของยอดเขาปี้หูยิ่งแน่นหนามากกว่านั้นเนื่องเพราะมีตำหนักแห่งนี้อยู่ ทุกหนทุกแห่งของยอดเขาส่วนแต่มีข่ายพลังกระบี่

ไม่รู้เพราะเหตุใด สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว ข่ายพลังกระบี่เหล่านั้นคล้ายว่าไม่มีอยู่อย่างไรอย่างนั้น พวกมันปล่อยให้เขาขึ้นมาถึงปลายยอดเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่ทำให้ใครรู้ตัว

หากเขาเป็นผู้ที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเล บางทีอาจมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่นี่เขายังเป็นเพียงศิษย์หนุ่มที่เพิ่งบรรลุขั้นสมความนึกคิด เหตุใดจึงทำเช่นนี้ได้?

ข่ายพลังชิงซานได้ทิ้งช่องเอาไว้ช่องหนึ่งตรงท้องฟ้าเหนือยอดเขาปี้หู คล้ายกับรูที่เปิดเอาไว้

พายุฝนโหมกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะตกลงไปบนเกาะที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบ คล้ายต้องการจะผ่าตำหนักแห่งนั้นให้กลายเป็นชิ้นๆ

เสียงฝนแน่นขนัด ทะเลสาบก่อเกลียวคลื่นหิมะขึ้นมา สายฟ้าเหล่านั้นกลับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับถูกตำหนักแห่งนั้นกลืนกินลงไป ดูแล้วช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก

จิ๋งจิ่วมองดูเกาะที่อยู่กลางพายุฝนแห่งนั้น สีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย

จากหมู่บ้านมาถึงศาลาหนานซง มาถึงธารสี่เจี้ยน แล้วมาถึงยอดเขาเสินม่อ ไม่ว่าจะพบเจอกับคนแบบไหน พบเจอกับเรื่องราวอะไร เขาล้วนแต่สงบนิ่ง

แต่คืนนี้กลับไม่ธรรมดา

เขารู้ว่าตำหนักแห่งนั้นคือสถานที่ลับที่สำนักชิงซานใช้เลี้ยงดูไม้วิญญาณด้วยสายฟ้า

ตำหนักแห่งนี้ไม่มีศิษย์ชิงซานคอยคุ้มกัน เนื่องเพราะไป๋กุ่ย[1]ที่เป็นหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์ของชิงซาน…อาศัยอยู่ที่นี่

พายุฝนยิ่งโหมกระหน่ำ แต่จำนวนครั้งของสายฟ้าที่ผ่าลงมากลับน้อยลงเรื่อยๆ จิ๋งจิ่วเดินลงไปในทะเลสาบ

ด้วยสภาวะของเขาในตอนนี้ เขาสามารถเดินไปบนผิวทะเลสาบได้แล้ว แต่เขามิได้ทำเช่นนั้น

เพราะแบบนั้นมีโอกาสที่จะถูกศิษย์ของยอดเขาปี้หูที่ขี่กระบี่บินกลับมาพบเห็นเข้าได้

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว

ในอดีตเขาไหลตามสายน้ำออกมาจากผนังหิน ก่อนจะตกลงไปในทะเลสาบ ตอนนั้นเขาได้เรียนรู้มาวิธีหนึ่ง แม้นจะดูงุ่มง่าม แต่มันก็ได้ผลดีมาก

ทว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องอุ้มก้อนหินหนักๆ แล้ว

เขาค่อยๆ จมลงไปยังก้นทะเลสาบคล้ายก้อนหิน จากนั้นสืบเท้าเดินไปเบื้องหน้า

น้ำในทะเลสาบลึกขึ้นทุกขณะ แต่ฝีเท้าเขายังคงมั่นคง อีกทั้งไม่มีเสียงใดๆ กระทั่งสายน้ำที่ไหลผ่านร่างกายไปก็แทบจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

เหล่ามัจฉาที่ถูกพายุฝนทำให้ตกใจจนแหวกว่ายไปมาไม่หยุด คล้ายจะไม่สังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของเขา

เวลาเคลื่อนผ่านไป ความเร็วของเขากลับยิ่งช้าลง สีหน้ายิ่งคร่ำเคร่งขึ้น

เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน เบื้องหน้ามีแรงกดดันอยู่ คล้ายเทพก็มิปาน

ยิ่งเข้าใกล้เกาะแห่งนั้น แรงกดดันนั้นก็ยิ่งทวีความน่ากลัว

น้ำในทะเลสาบเริ่มตื้นขึ้น บางครั้งสามารถมองเห็นแสงสว่างที่เกิดจากสายฟ้าที่อยู่เบื้องบน

เขาเดินขึ้นไปบนเกาะที่อยู่กลางทะเลสาบ ท้องฟ้าด้านบนคือช่องที่ข่ายพลังชิงซานเปิดเอาไว้

พายุฝนตรงนี้ยิ่งรุนแรง ท้องฟ้ายิ่งมืดมิด แล้วก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวของสายฟ้าที่ตกลงมาอยู่ตลอดเวลา

แรงกดดันนั้น มิได้มาจากบนท้องฟ้า

จิ๋งจิ่วรวมเป็นหนึ่งเข้ากับพายุฝน

เขามองดูตำหนักที่อยู่ไม่ไกลแห่งนั้นอย่างเงียบๆ

ที่นี่คือสถานที่ที่ผู้พิทักษ์อยู่อาศัย ศิษย์ของยอดเขาปี้หูห้ามเข้ามาโดยพลการ ด้วยเหตุนี้บนเกาะจึงมีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย

ภายใต้พายุฝนนี้ คล้ายจะได้ยินเสียงบางเสียง บนต้นไม้มีแสงสลัวสีเขียวอยู่เป็นจำนวนมาก

จิ๋งจิ่วรู้ว่านั่นมิใช่ผีภูเขา หากแต่เป็นแมวป่า

เหล่าแมวป่าถูกฝนตกใส่จนขนเปียกชื้น พวกมันกำลังพยายามเลียร่างกายตัวเองอย่างทุลักทุเล และมิได้สังเกตเห็นถึงการมาของเขา

จิ๋งจิ่วมองดูตำหนักที่อยู่ท่ามกลางสายฝนหลังนั้น พลางสืบออกไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว

เขามั่นใจว่าตนเองมิได้ส่งเสียงใดๆ

เขามิได้หายใจ อีกทั้งก้าวนี้ยังตรงกับช่วงที่หัวใจเขาหยุดเต้นพอดี

แต่ว่า สายตาคู่หนึ่งพลันจ้องมองมาที่เขา

ถูกเห็นเร็วขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ?

ดูเหมือนในการเจรจาครั้งนี้ ตัวเองคงต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียแล้ว

จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเช่นนี้ พลางมองไปยังที่นั่น

เวลาเดียวกันนี้เอง ในท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันมีเสียงกัมปนาทดังขึ้นมา

สายฟ้าขนาดใหญ่สายหนึ่งฟาดลง ส่องสว่างตำหนักทั้งหลัง

ณ มุมหนึ่งของตำหนักมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง

แมวสีขาวตัวหนึ่งฟุบหมอบอยู่บนขอบหน้าต่างล่าง

ตรงนั้นไม่มีฝน แต่ขนของมันก็ยังเปียกชื้น

ขนของแมวสีขาวยาวอย่างมาก หลังถูกฝนตกใส่จนเปียก ขนเหล่านั้นพันกันจนเป็นก้อนๆ ดูค่อนข้างน่าเกลียด

แต่หากจ้องมองไปนานๆ บางครั้งอาจจะเกิดความเข้าใจผิด มองว่าขนที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนเหล่านั้นคือกระบี่เป็นเล่มๆ

แมวตัวนั้นหรี่ตา ดูค่อนข้างเกียจคร้าน ไร้ซึ่งพิษภัย

แต่ดวงตาของมันได้แผ่กระจายลำแสงที่เย้ายวนและน่าพิศวงออกมา คล้ายกับความฝันที่ดูลอยล่อง และคล้ายกับหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้นหลุม ทำให้คนเพียงคิดอยากจะกระโดดลงไป

หากเป็นศิษย์ชิงซานธรรมดาถูกดวงตาที่น่าพิศวงคู่นี้จ้องมอง เกรงว่าคงจะตกใจจนเป็นลมสลบไปแล้ว

จิ๋งจิ่วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แต่สีหน้าเขาคร่ำเคร่งอย่างมาก

เมื่อครั้งที่อยู่บนยอดเขาอวิ๋นสิง จั่วอี้ซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับคเนจรก็ยังไม่รับรู้ไม่ได้ถึงการมีอยู่ของเขา จนกระทั่งถูกเขาลอบสังหารจนตาย

แต่แมวตัวนี้กลับพบเขาได้อย่างง่ายดาย

“ไม่เจอกันนานนะ”

จิ๋งจิ่วมองดูแมวตัวนั้นพลางกล่าว

พายุฝนกระหน่ำ บางคราวมีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นมา เสียงของเขาเบามาก จนแทบจะถูกกลบไปหมด แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินที่ตนเองพูด

แมวสีขาวหรี่ตา บิดศีรษะเล็กน้อย ปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อให้ฟุบหมอบได้สบายยิ่งขึ้น คล้ายมิได้ฟังที่จิ๋งจิ่วพูดเลย

จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “เหลยพั่วอวิ๋นเอาไม้วิญญาณอัศนีท่อนนั้นไปให้ใคร?”

แมวขาวหาวออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียง ดูเกียจคร้านยิ่งนัก

จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่เป็นเพียงสิ่งลวงตา อีกฝ่ายได้ขยับความคิดพร้อมจะโจมตีทุกเมื่อแล้ว

ด้วยสภาวะของเขาในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของแมวขาวตัวนี้ได้ เผลอๆ กระทั่งโอกาสในการตอบโต้ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ

สายฟ้าส่องสว่างตำหนักไม่หยุด

อันตรายตั้งอยู่เบื้องหน้า

สายฝนตกกระหน่ำลงมา

จิ๋วจิ่วจ้องมองดูมันที่ฟุบหมอบอยู่บนขอบหน้าต่าง โดยมีน้ำฝนที่เทลงมาราวกับน้ำตกคั่นกลางไว้ พลางกล่าวว่า “เจ้ามิได้แปลกใจกับการปรากฏตัวของข้า ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องนี้อยู่แต่แรกแล้ว มันก็ใช่ ในบรรดาพวกเจ้าทั้งสี่ เจ้าคือผู้ที่มีความละเอียด การรับรู้ว่องไวและระแวดระวังมากที่สุด พวกเขาทั้งสามอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะรับรู้ถึงเรื่องใหญ่แบบนี้ไม่ได้”

แมวขาวค่อยๆ เหลียวหน้ามา สายตาตกอยู่บนตัวเขา

“ข้ามีคำตอบแล้ว แต่คืนนี้เพียงคิดอยากมาหาเจ้าเพื่อยืนยันเสียหน่อย”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ายอมรับ ข้ามิค่อยพอใจเท่าไร”

ในดวงตาของแมวขาวเผยให้เห็นถึงความประชดประชันและความเย็นชา คล้ายจะกล่าวกับเขาว่า “เจ้าเองก็มีวันนี้อย่างนั้นหรือ?”

“เมื่อสี่ปีก่อน เจ้ามองดูข้าเกิดเรื่อง หรือเจ้าไม่เคยคิดว่าหากข้าไม่ตาย เจ้าจะทำอย่างไร?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ใช้กระดูกของเจ้ามาลับกระบี่ จุดจบแบบนี้เป็นอย่างไร?”

แมวขาวจ้องมองเขา หางของมันค่อยๆ ชูชัน ก่อนจะเบ่งบานออกไปรอบๆ คล้ายต้นกกที่อยู่ในดินชื้นๆ ทั้งสวยงาม และน่ากลัว

สายฟ้าในท้องฟ้ายามค่ำคืนฟาดลงมาถี่กระชั้นขึ้น พายุฝนยิ่งโหมกระหน่ำ ฟ้าดินแปรปรวนอย่างรุนแรง

…………………………………………………………..

[1] ไป๋กุ่ย แปลว่า ผีสีขาว

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset