มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 63 กล้วยหวีหนึ่ง

จากปลายฤดูใบหน้าผลิจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ทุกๆ สิบวันกู้ชิงจะมายังปลายยอดเขาครั้งหนึ่ง

เขามิทราบเรื่องที่จิ๋งจิ่วได้รับบาดเจ็บ

ทุกครั้งที่มายังปลายยอดเขา เขาจะเห็นจิ๋งจิ่วเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ นอกจากวันแรกของฤดูใบไม้ร่วงที่มีฝนตกวันนั้น ในวันนั้นซึ่งเป็นวันที่ข่ายพลังชิงซานเปิดออกตามคำขอของยอดเขาชิงหรง ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาในหมู่ยอดเขา ให้ความรู้สึกงดงามที่เปล่าเปลี่ยว จิ๋งจิ่วเนื่องเพราะต้องย้ายกลับเข้าไปในถ้ำ กลับรู้สึกอารมณ์มิค่อยดีเท่าไร

วันนี้กู้ชิงถือกล้วยหวีหนึ่งมายังยอดเขา

จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ สายตาเหลือบมองดูกล้วย กล่าวว่า “ลิงให้มา?”

กู้ชิงพยักหน้า กล่าวถามว่า “ไม้ไผ่ที่เอามาครั้งที่แล้วใช้สำหรับซ่อมขาเก้าอี้อย่างนั้นหรือ?”

เมื่อครั้งที่หลิ่วสือซุ่ยกลับมาจากหมู่บ้าน เขาเอาไม้ไผ่มาสิบกว่าท่อนจริงๆ จากนั้นไหว้วานให้กู้ชิงขนมาที่นี่

ได้ยินว่านอกถ้ำของผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งที่อยู่นอกเขาเทียนกวง ตอนนี้ก็มีไม้ไผ่ปลูกใหม่อยู่สองสามกอ

จิ๋งจิ่งกล่าว “พนักพิงก็ซ่อมแล้ว”

เวลานี้กู้ชิงถึงได้สังเกตเห็นว่า บนพนักพิงมีบางตำแหน่งที่มีแผ่นไม้ไผ่ใหม่ปะอยู่

“เมื่อก่อนเคยได้ยินข่าวลือของเจ้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะ….เกียจคร้านขนาดนี้จริงๆ”

เขามองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงจัง ในน้ำเสียงแฝงความรู้สึกยอมจำนนอย่างจริงใจเอาไว้สามส่วน

คนที่เกียจคร้านอย่างจิ๋งจิ่ว ยังสามารถก้าวข้ามสภาวะมาเอาชนะตนเองได้อย่างง่ายดายในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน

เขารู้สึกนับถือ หรือพูดอีกอย่างคืออยากเป็นอัจฉริยะเช่นนี้มาโดยตลอด

จิ๋งจิ่วกล่าว “การบำเพ็ญพรตมิใช่การฝึกยุทธ์อย่างคนทั่วๆ ไป จะนั่งขัดสมาธิ จะนอน จะอยู่ใต้น้ำพุหรือจะยืนอยู่ริมทะเล ความจริงแล้วมิได้มีสิ่งใดต่างกัน”

กู้ชิงครุ่นคิด พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่นั่นเป็นแค่การทำสมาธิเท่านั้น หรือเวลาดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติ เจ้ามิจำเป็นต้องฝึกฝนเพลงกระบี่?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ดื่มชา”

ฟังดูแล้วคล้ายเขากำลังเชื้อเชิญกู้ชิงดื่มชา แต่ความจริงกลับมิได้เป็นเช่นนั้น

กู้ชิงวางกล้วยหวีนั้นลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มจุดไฟต้มชา

จิ๋งจิ่วชื่นชอบเวลามีคนมาต้มชาให้เขา เพียงแต่กู้ชิงมิใช่หลิ่วสือซุ่ย เขาไม่สะดวกที่จะเรียกใช้ อีกทั้งพวกวานรก็โง่เขลาเกินไป….

ชากาหนึ่งรินลงในถ้วยสองใบ กู้ชิงหยิบไปถ้วยหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ที่อยู่ริมผา

ก้อนหินใหญ่สองก้อนนั้นคือก้อนหินที่เหล่าวานรขนมาจากบริเวณหน้าผา

กู้ชิงมองดูใบหน้าด้านข้างของจิ๋งจิ่ว พบว่าตอนนี้ตนเองสามารถรักษาความสงบนิ่งได้แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่งดงามเพียงใด ขอเพียงดูหลายครั้งเข้า…เอาล่ะ ก็ยังดูงดงามอยู่ดี เพียงแต่มิได้เจิดจ้าเหมือนอย่างในคราแรกแล้ว

สิ่งที่ทำให้กู้ชิงรู้สึกเจิดจ้าก็คือพรสวรรค์ในทางวิถีกระบี่ของจิ๋งจิ่ว

แม้นตอนที่อยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง กั้วหนานซานกับอาจารย์เหล่านั้นจะเคยชื่นชมพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของเขาก็ตาม

กู้ชิงกล่าว “ตอนแรกที่ข้าตัดสินใจบำเพ็ญเพียร ข้าไม่คิดว่าลูกศิษย์ชิงซานรุ่นนี้จะเป็นอัจฉริยะกันไปเสียทั้งหมดจนข้าเอื้อมไม่ถึง เช่นนั้นขอเพียงข้าพยายามทำในศิษย์คนอื่นทำไม่ได้ ข้าจะต้องสามารถเข้าไปในสำนักและกลายเป็นหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของชิงซานได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ดูเหมือนข้าจะคิดถูก เพราะสุดท้ายแล้วคนอย่างเจ้านั้นมีน้อยมาก”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าชื่นชมความคิดของเจ้า อีกทั้งในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ก็มิได้มีอัจฉริยะที่แท้จริงอะไรนั่นพอดี ยินดีด้วย”

กู้ชิงงุนงง ในใจครุ่นคิดหรือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดอย่างเจ้าล่าเยวี่ยกับหลิ่วสือซุ่ยก็ยังไม่อาจถือเป็นอัจฉริยะได้? แล้วเจ้าล่ะ?”

จิ๋งจิ่วมองดูกล้วยหวีนั้น พลางถาม “เจ้าเคยเข้าไปในถ้ำไหม?”

กู้ชิงส่ายศีรษะ

ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์สืบทอดกระบี่ แล้วก็มิใช่ผู้ดูแลของยอดเขาเสินม่อ หากแต่เป็นเพียงผู้พักอาศัยชั่วคราวของที่นี่เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง เวลาส่วนใหญ่จะทำสมาธิอยู่ภายในกระท่อมไม้เล็กๆ ตรงบริเวณหน้าผา บางครั้งเวลามายังปลายยอดเขาก็เพียงแค่นั่งเล่นอยู่ตรงริมผา ชงชาให้จิ๋งจิ่วเท่านั้น มิเคยคิดเข้าไปดูในถ้ำเลย

จิ๋งจิ่วกล่าว “ลองไปดูสิ”

กู้ชิงสีหน้าตะลึงลาน ถามว่า “ได้หรือ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ผู้พักอาศัยชั่วคราวก็เป็นแขกเหมือนกัน เข้าไปดูก็หาได้เป็นอะไรไม่”

ถ้ำของปรมาจารย์อาจิ่งหยาง มีหรือที่กู้ชิงจะไม่รู้สึกอยากรู้อยากเห็น

เขาครุ่นคิด ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในหอเล็กๆ แห่งนั้น

แต่มินานนัก เขาก็วิ่งเหมือนหนีอะไรบางอย่างออกมา

เขามองจิ๋งจิ่วด้วยอารมณ์สับสน พลางกล่าว “เป็น…เป็นเพราะข้าแอบเรียนเพลงกระบี่ ข้าถึงได้เป็นแบบนี้”

เคล็ดกระบี่ที่วางอยู่บนโต๊ะเล่มนั้น เห็นได้ชัดว่าจิ๋งจิ่วจงใจวางไว้ให้เขาเห็น

“ข้าคิดว่าตัวเจ้าในตอนนี้ดีมากแล้ว”

จิ๋งจิ่วหยิบเอากล้วยที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะโยนให้ลิงที่อยู่ในป่า

จากนั้นเขาเดินกลับเข้าไปในถ้ำ แล้วหยิบเคล็ดกระบี่เล่มนั้นมาวางไว้ในมือกู้ชิง พลางกล่าวว่า “เช่นนี้ก็มิใช่ขโมยแล้ว”

กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวว่า “ขอบคุณ”

จิ๋วจิ่วกล่าว “ไม่ต้อง”

กู้ชิงกล่าว “ความจริงข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าไม่ค่อยชอบข้า”

จิ๋งจิ่วกล่าว “แผนการในใจเจ้าค่อนข้างลึกซึ้ง แต่ข้ามิได้ชอบหรือเกลียดในเรื่องนี้”

กู้ชิงมิค่อยเข้าใจ เขาถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงช่วยข้า?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่ชอบพี่ชายเจ้า”

กู้ชิงยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าก็เหมือนกัน”

กู้ชิงกลับมายังริมผา เดินเข้าไปในกระท่อมไม้ที่เริ่มมีตะไคร่จับตัว เขาดึงเอาเปลือกไม้ที่ใช้กันลมออก แล้วยืมแสงธรรมชาติจากด้านนอก พลิกอ่านเคล็ดกระบี่ที่อยู่ในมือเล่มนั้น

เขาเคยเรียนเคล็ดกระบี่สุริยันของยอดเขาซื่อเยวี่ย แต่ในตอนที่ถูกขับออกมาจากยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ถูกเอากลับไป หลังจากนี้มิสามารถใช้ได้อีก

เขารู้สึกตื่นเต้น เพราะนี่อาจเป็นเคล็ดกระบี่เก้ามรณาของยอดเขาเสินม่อ นั่นคือเพลงกระบี่ที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางมิถ่ายทอดให้กับผู้ใด

แต่เขาคิดผิด

กู้ชิงมองดูหน้าแรกของเคล็ดกระบี่ เหม่อลอยอยู่เป็นเวลานาน

นี่มิใช่เคล็ดกระบี่เก้ามรณา

มือเขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

บนหน้าแรกของหนังสือเล่มนั้นเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน

แบกสวรรค์

……

……

ฝนฤดูใบไม้ร่วงโปรยปราย ความหนาวเย็นมาเยือน

ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานตัดขาดจากโลกภายนอก หนาวร้อนมิเด่นชัด แต่ยังคงแบ่งเป็นสี่ฤดูอย่างชัดเจน

ในที่สุดอาการป่วยของจิ๋งจิ่วก็หายดี

เสียงจักจั่น เสียงร้องของลิง เสียงไอของจิ๋งจิ่ว สามเสียงหลักของยอดเขาเสินม่อหายไปสองเสียง ยอดเขาพลันเงียบลงไปมาก

ภายนอกมิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เหล่าลูกศิษย์ต่างบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำของตน น้อยครั้งนักที่จะออกมาจากในถ้ำ หมู่ยอดเขาแมกไม้ไล่ตัวเป็นชั้นๆ ทิวทัศน์งดงามดูอ้างว่างโดดเดี่ยว

วันหนึ่งมีข่าวแพร่มาจากนอกสำนัก แม่น้ำจั๋วตอนเหนือที่อยู่นอกเมืองเฉาหนานมีปีศาจที่น่ากลัวปรากฏขึ้นมาตัวหนึ่ง

ว่ากันว่าปีศาจตัวนี้นิสัยโหดร้าย ชื่นชอบกินเนื้อคน โดยเฉพาะเหล่าเด็กหญิงเด็กชาย

ช่วงกลางสารทฤดู[1] จู่ๆ ปีศาจยักษ์ตัวนั้นพลันปรากฏกายออกมาแล้วทำลายหน้าผาที่อยู่นอกเมืองเฉาหนานไปแถบหนึ่ง ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านบนหน้าผาต่างบาดเจ็บล้มตายไปหลายร้อยคน

สำนักชิงซานย่อมมิอาจปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างขี่กระบี่มุ่งหน้าไปกำจัดปีศาจร้ายในคืนวันนั้น

แต่สิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจก็คือ ในกลุ่มลูกศิษย์ที่ออกไปกำจัดปีศาจครั้งนี้ มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าหลิ่วสือซุ่ยอยู่ด้วย

ตอนนี้หลิ่วสือซุ่ยยังคงเป็นลูกศิษย์ในนามยอดเขาเทียนกวง สืบทอดกระบี่ไม่ถึงครึ่งปีก็สามารถออกไปกำจัดปีศาจได้แล้ว เห็นได้เลยว่ายอดเขาเหลี่ยงว่างให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก

สถานการณ์เร่งด่วน ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างออกมาอย่างรีบร้อน ในยอดเขาทั้งเก้ามีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเรื่องนี้

หลิ่วสือซุ่ยมิได้ไปยังยอดเขาเสินม่อ เขาเพียงแต่ฝากกู้ชิงไปบอกจิ๋วจิ่ว

“สือซุ่ยกำชับข้ามา ให้บอกเจ้าว่า อย่าบอกผู้อื่น”

กู้ชิงเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “….ก็คือเรื่องที่เขาบอกเจ้าว่าเขาจะออกไปข้างนอก อย่าไปบอกคนอื่น”

คำพูดที่ค่อนข้างอ้อมค้อมสองประโยคนี้มีความหมายแฝงเอาไว้มากมาย แต่จิ๋งจิ่วกลับมิมีปฏิกิริยาใดๆ เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ สายตามองดูหมู่ขุนเขาที่อยู่ด้านนอกหน้าผา คล้ายมิได้สนใจอะไรเลย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน กู้ชิงก็ขึ้นมายังยอดเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขายังคงมาถ่ายทอดคำพูดแทนผู้อื่น

“ในธารสี่เจี้ยนมีศิษย์นอกคนหนึ่งชื่ออวี้ซาน แล้วก็ยังมีศิษย์อีกคนหนึ่งจากจังหวัดเล่อหลางที่ชื่อ…”

กู้ชิงจำชื่อศิษย์น้องผู้นั้นมิค่อยได้

จิ๋งจิ่วกล่าว “เขาแซ่หยวน

“ใช่ ชายหนุ่มแซ่หยวนผู้นั้นอยากถามว่า ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนหลังจากนี้อีกสามปี ยอดเขาเสินม่อรับคนหรือไม่”

เจ้าล่าเยวี่ยเองก็อยู่ตรงริมผาเช่นกัน ครั้นได้ยินคำพูดนี้ นางจึงเหลือบมองจิ๋งจิ่ว ก่อนจะพบว่าตนเองลืมปัญหาข้อนี้ไปเลย

“รับ”

“ไม่รับ”

เสียงของนางและจิ๋งจิ่วดังขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน

กู้ชิงผายมือเพื่อบอกว่าตนเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดคำพูดที่ไม่รู้เรื่องราว

เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่วพลางถามว่า “ทำไมไม่รับ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “หนวกหู”

เจ้าล่าเยวี่ยมิใช่กู้หาน แล้วก็มิใช่หม่าหวา นางไม่มีทางจำนนต่อเขาด้วยคำพูดเพียงคำเดียว

“ข้าเป็นเจ้าแห่งยอดเขา”

นางกล่าวประโยคนี้ จากนั้นเดินกลับไปเข้าในถ้ำ

……

……

คิมหันต์เพิ่งมาเยือน หิมะแรกก็ตกลงมา หลังจากนั้นหลายวัน ชิงซานก็เจอกับพายุหิมะที่รุนแรงกว่าเก่า

ยังคงเป็นคำขอของยอดเขาชิงหรง ข่ายพลังชิงซานเปิดออก เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า

เพียงแค่คืนเดียว หมู่ยอดเขาพลันขาวโพลน เมื่อทอดมองออกไปกลายเป็นสีขาวไปทั้งแถบ งดงามยิ่งนัก

กระบี่เล่มหนึ่งฝ่าพายุหิมะขึ้นมายังปลายสุดของยอดเขาเสินม่อ

กู้ชิงทั้งตัวเต็มไปด้วยหิมะ ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย

นับตั้งแต่ที่ถูกขับออกมาจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขาก็แทบมิได้ขี่กระบี่เลย ที่ผ่านมาเวลาอยู่ในยอดเขาเสินม่อก็ใช้การเดินเท้าเอา

ดูแล้วน่าจะเกิดเรื่องด่วนอะไรขึ้น

จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากภายในถ้ำ

กู้ชิงมองพวกเขาพลางกล่าว “สือซุ่ยได้รับบาดเจ็บ”

……………………………………

[1] ช่วงกลางสารทฤดู คือ วันไหว้พระจันทร์

มรรคาสู่สวรรค์

มรรคาสู่สวรรค์

ข้าคือกระบี่ พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่ยอมเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าวไม่อยากเดิน พันลี้ปลิดชีพคน… สิบก้าว? ไม่เดิน!!! ——————- ผู้เป็นนายคือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาและใบหูที่กางดูน่ารัก ผู้เป็นบ่าวคือเด็กชายใสซื่อผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินทางมายังสำนักชิงซานซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ทว่าในระหว่างที่อยู่ในสำนัก ผู้เป็นนายกลับเอาแต่นอน ในสายตาคนอื่นเขาคือคนที่เกียจคร้านอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับขยันฝึกฝนจนบรรลุสภาวะขั้นต้นในเวลาอันสั้น แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ สาเหตุที่ผู้เป็นบ่าวสามารถบรรลุสภาวะได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเคล็ดการหายใจที่ผู้เป็นนายเคยสั่งสอนให้… บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้คือใครกันแน่ ไฉนจึงเอาแต่นอนเกียจคร้านทั้งวันเช่นนี้?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset