มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) – ตอนที่ 25 : จุดยืนของมาร์ค

ตอนที่ 25 : จุดยืนของมาร์ค

 

“ถ้านายแน่ใจแล้วว่าโซนสินค้าไอทีนั้นเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ ถ้าอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกคนที่ไม่ได้โดนกัด ? ถ้านายบอกพวกเขาไปเลยทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งที่นายรู้…จะเป็นยังไง”

 

“โจเซฟ หยุดได้แล้ว”

 

เบอนาร์ดจับไหล่ของลูกชายเขาเอาไว้

 

แต่ก็ยังไม่มีใครตำหนิโจเซฟเกี่ยวกับคำถามแบบนั้นที่เขาได้ถามออกไป เหมือนว่าทุกคนนั้นเข้าใจจุดประสงค์ของโจเซฟ จากที่พอลลาได้กล่าวออกมา มาร์คแนะนำพนักงานสองคนนั้นให้ช่วยพาคนข้างในโซนสินค้าไอทีไปซ่อนตัวโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลพวกเขาว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น มันก็อาจจะหมายความได้ว่าเขาไม่ได้คิดที่จะช่วยทุกๆคนเอาไว้ เขาอาจจะไม่ได้สนใจและปล่อยให้พวกเขาตาย

 

ทุกๆคนมองไปที่มาร์ค คิดว่ามาร์คนั้นอาจจะไม่ยอมตอบคำถามที่โจเซฟถามออกมา

 

แต่สุดท้ายพวกเขาต่างก็ตกใจ เมื่อมาร์คได้ตอบคำถามของโจเซฟไปอย่างตรงๆและดูเมินเฉย

 

“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้น?”

 

“นาย! นายไม่แคร์ถึงชีวิตคนอื่นเลยงั้นหรอ ?”

 

โจเซฟรู้สึกไม่พอใจ โดยเฉพาะกับการตอบคำถามของมาร์ค พวกเขากำลังพูดถึงชีวิตของคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่จำนวนเพียงแค่คนเดียวแต่มีถึงหลายสิบชีวิต โจเซฟนั้นไม่พอใจจนถึงขั้นเกือบลุกขึ้นมาแต่พ่อของเขาได้ห้ามไว้ก่อน

 

“นายช่วยบอกเหตุผลหน่อยได้มั้ยว่าทำไม? ฉันจะไม่ตั้งคำถามกับสิ่งที่นายทำลงไปหรือตัดสินใจไปแล้ว แต่ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไม”

 

น่าแปลกใจอย่างมาก แคลวินซึ่งไม่ค่อยพูดค่อยจาได้ถามคำถามขึ้นมา ดูเหมือนว่าทัศนคติและจุดยืนของมาร์คนั้นทำให้แคลวินสงสัย

 

“ก็ได้”

 

มาร์คถอนหายใจ

 

“อันดับแรกเลยนะ…” มาร์คมองไปที่โจเซฟอย่างจริงจัง

 

“นายเข้าใจผิดแล้วว่าใครเป็นเหยื่อที่โชคร้ายของที่นี่ มันไม่ใช่พวกเขาที่โดนเพิกเฉย แต่เป็นพวกเราที่ติดอยู่ที่นี่ต่างหาก”

 

โจเซฟตัวสั่นและมาร์คยังคงอธิบายอย่างต่อเนื่อง

 

“คนพวกนั้น ไม่สิ คนงี่เง่าพวกนั้นถูกช่วยไว้โดยพนักงานหลายๆคน พวกเขาจะถูกพาไปยังที่ที่ปลอดภัย พวกพนักงานซึ่งเป็นคนที่รู้ทางว่าควรไปที่ไหน และพวกเขาร้องตะโกนเหมือนเป็นบ้าและเอาแต่ขอความช่วยเหลือ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยคิดที่จะช่วยตัวเองก่อนเลย และอีกทั้งยังหักหลังคนที่คอยช่วยพวกเขาอีกด้วยซ้ำ เพราะว่าพวกนั้นนั่นแหละ คือสาเหตุที่พวกเราต้องมาติดอยู่ที่นี่ พวกเราจะเป็นต้องสู้ พวกเราได้ตกอยู่ในอันตราย และพวกเราก็สามารถมีชีวิตรอดมาได้อย่างยากลำบาก ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้หมายความไปในทางที่แย่นะ ลองคิดดูสิ จะเกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนั้น ถ้าฉันไม่อยู่ตรงนั้น?”

 

มาร์คมองไปที่ด้านซ้ายและด้านขวาของเขา ก็เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่เขาได้ช่วยเหลือเอาไว้

 

เขาพูดให้ทุกคนได้ลองคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาไม่อยู่ตรงนั้น ?

 

เฟอร์นานกับญาติของเขาอาจจะสามารถหนีออกมาได้ แต่พวกเขาก็จะทิ้งอาหารล้ำค่าที่พวกเขาหาเจอเอาไว้ หลังจากพวกเขาอาจจะสามารถเข้าไปยังโซนขายสินค้าไอทีได้ก่อนที่มันจะถูกปิดลง แต่ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในจุดจบของพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเช่นไร

 

พอลลาและแองเจอาจจะสามารถช่วยซาริยาไว้ได้ แต่เรห์ยาแม่ของเธอก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อที่โดนสังเวยให้กับพวกซอมบี้ และถ้าหากว่าทั้งพวกเธอสองคนตัดสินใจที่จะวิ่งหนีออกไปก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปในโซนขายสินค้าไอทีได้ด้วยเหมือนกัน และเป็นไปได้ร้อยเปอร์เซนต์ที่ทั้งหมดนั่นจะเกิดขึ้น จากนั้นอนาคตมันก็จะดับมืดไปตรงจุดนี้แหละ ระหว่างการหลบหนีพวกเขาก็ได้พึ่งพามาร์คและอาวุธของเขา ถ้าเขาไม่อยู่ที่นั่น มันเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่สามารถมาถึงที่โรงหนังได้เลย

 

ทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเป็นเพราะว่ามาร์คนั้นอยู่ตรงนั้นเวลานั้น ถ้าหากเขาไม่อยู่ตรงนั้นล่ะ…

 

พวกเขาตัวสั่นพร้อมกับคิดถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกซอมบี้กัดกิน

 

เมื่อได้มองท่าทางที่ดูขมขื่นของพวกเขา มาร์คก็ได้พูดต่อ

 

“เหล่าคนที่อยู่ข้างในนั้นต่างก็เพิกเฉยคนที่ถูกทิ้งอยู่ข้างนอกให้ตาย งั้นบอกฉันหน่อย ทำไมฉันต้องช่วยปกป้องพวกเขา? พวกเขามีค่าพอให้ปกป้องงั้นหรอ? จริงๆแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพนักงานสองคนนั้นที่รอพวกเราอยู่นั้นไม่ได้ถูกขู่เข็ญเอาไว้ ฉันก็จะไม่บอกคำแนะนำให้พวกเขาไปหรอกนะ”

 

“และอีกอย่างนะ… ฉันก็ไม่ใช่นักบุญ

 

และฉันก็ไม่ใช่ฮีโร่เช่นกันที่พวกนายพูดเหมือนว่าฉันเป็นแบบนั้น ฉันก็เป็นธรรมดาๆนี่แหละ หนึ่งในข้อดีของฉันก็คือ ฉันเก่งด้านการจำได้ดีว่าใครทำอะไรกับฉันบ้าง และฉันควรตอบแทนอะไรกลับไปให้ได้บ้าง วิธีที่ฉันทำกับพวกเขาก็คือการตอบแทนของฉันที่พวกเขาเคยทำอะไรไว้ให้กับฉัน พวกเขาทำให้พวกเราตกมาอยู่ในอันตรายซึ่งสามารถทำให้เราถูกฆ่าได้เลย ดังนั้นถ้าสนใจชีวิตของคนพวกนั้นถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุ้มค่าพอแล้วงั้นหรอ ?”

 

โจเซฟก็ได้เงียบลงไป

 

“และอีกอย่าง ถ้าพวกเขาไม่ได้ขังพวกเราไว้ข้างนอกล่ะ? นายคิดว่าฉันจะไม่บอกถึงอันตรายที่อยุ่ข้างในงั้นหรอ? แน่นอนฉันจะบอกพวกเขาเพราะว่าพวกเราก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน แต่นั่นมันจะไม่เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาได้จ่ายค่าตอบแทนที่พวกเขาทำแบบนั้นกับเราไปแล้ว มันก็ง่ายๆแค่นั้นแหละ”

 

ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบและโจเซฟก็ไม่สามารถต่อกรอะไรได้อีกกับสิ่งที่มาร์คพูด ทุกๆคนนั้นก็กำลังไตร่ตรองกับสิ่งที่มาร์คพูด

 

แม้ว่าสิ่งที่มาร์คทำนั้นดูผิดจริยธรรมในฐานะมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งที่คนเหล่านั้นก็ผิดจริยธรรมด้วยเช่นกัน จึงไม่มีใครสามารถตำหนิใครอย่างถูกต้องได้

 

พวกเขามองไปที่โจเซฟที่กำลังเอามือกุมหน้าอยู่

 

“เอาตรงๆเลยนะ เราก็ควรขอบคุณคนพวกนนั้นด้วย”

 

มาร์คลูบหัวเหมยที่กำลังเกลียดการโดนโจเซฟจ้องมอง ซึ่งมาร์คทำให้เธอใจเย็นลง ถึงอย่างนั้นโจเซฟก็ยังคงจ้องมองมาที่เธอไม่หยุด ด้วยความที่เธอกลัวพวกเขาแบบเห็นได้ชัดเธอจึงได้ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังมาร์ค ความโกรธของเธอก็ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้เช่นกัน

 

ในตอนแรก พวกเขานั้นก็สับสนว่าทำไมจะต้องขอบคุณคนพวกนั้นด้วย แต่พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมเมื่อพวกเขาเห็นมาร์คนั้นเอามือไปลูบศรีษะของเหมย

 

ถ้าคนพวกนั้นไม่ขังพวกเขาไว้ข้างนอก ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเหมย

 

แม้ว่าพนักงานทำความสะอาดสามคนนั้นจะไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงที่เกิดขึ้นกับเหมย แต่พวกเขาก็รู้ว่าเธอนั้นถูกช่วยเหลือไว้โดยกลุ่มของมาร์ค พวกเขาจึงเข้าใจความหมายที่มาร์คสื่อสารออกมา

 

โจเซฟรู้สึกไม่ดี เขารู้ตัวว่าเขาคิดไม่รอบคอบพอที่จะระเบิดอารมณ์ใส่มาร์ค และเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะถามอะไรมาร์คได้ตั้งแต่แรก ในเมื่อมาร์คนั้นได้ต่อสู้เอาชีวิตอยู่ข้างล่างนั่น เขามีชีวิตรอดมาถึงนี่ได้โดยมีท่าทางที่สั่นกลัว และเขาไม่ต้องการที่จะไปเผชิญหน้ากับสิ่งน่ากลัวแบบนั้นอีก

 

ในทางกลับกัน แคลวินก็ได้ยิ้มเยาะออกมาเมื่อมองไปที่มาร์ค เขาพบว่าเหตุผลของมาร์คนั้นช่างน่าสนใจ

 

เบอนาร์ดลูบหลังของลูกชายเขาก่อนและที่จะมองมาที่มาร์คและพูดออกไป

 

“ฉันเข้าใจเหตุผลของนายแต่มีบางอย่างไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่นายพูด”

 

“อะไรล่ะ?”

 

“นายพูดว่านายไม่ใช่นักบุญและก็ไม่ใช่ฮีโร่เช่นกัน แล้วทำไมนายถึงช่วยพวกนี้ล่ะ กลุ่มคนที่มากับนายน่ะ ฉันแค่สงสัยน่ะว่าพวกเขาทำดีอะไรให้นาย”

 

ในขณะเดียวกันมาร์คก็ได้มองไปที่เบอนาร์ด พวกคนในกลุ่มก็ต้องการรู้เหตุผลเช่นกันว่าทำไมมาร์คถึงช่วยไว้

 

“เหอะ ฉันไม่ได้ช่วยพวกเขา พวกเขาช่วยตัวเองกันต่างหาก”

 

ทุกๆคนก็ดูสับสนขึ้นมาอีกครั้ง

 

มาร์ครู้ว่าพวกเขานั้นกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ จึงพูดออกไป

 

เขามองไปที่เฟอร์นาน

 

“ถ้านายและญาติจองนายเพิกเฉยกับตะกร้าอาหารพวกนั้น นายคิดว่าฉันจะช่วยนายไว้หรอ? อาหารพวกนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆที่จะช่วยให้มีชีวิตรอดอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แม้ว่าฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าพวกนายจะทิ้งมันเอาไว้และเอาตัวรอดวิ่งหนีไป แต่พวกนายไม่ทำแบบนั้น ฉันก็เลยช่วยนายไว้ในตอนนั้น”

 

จากนั้นเขาก็มองไปที่ฝ่ายผู้หญิง

 

“ฉันแน่ใจว่าพวกเธอสองคนหนีมาจากฝั่งตะวันตก พอลลานั้นมีแนวโน้มที่จะยอมแพ้ไปแล้ว”

 

ตาของพอลลาเบิกก้าง ‘เขารู้ได้ยังไงกัน’ เธอคิด

 

“แต่แองเจคอยดึงพอลลาให้ลุกขึ้นสู้ ไม่ยอมแพ้”

 

แองเจหน้าแดงขึ้นมา

 

“ในตอนนั้นที่คุณอิสเมลล้ม ในขณะที่คนอื่นๆกำลังวิ่งหนีไม่สนใจ แต่เธอสองคนกลับหยุดที่จะวิ่งหนีและพยายามที่จะช่วยเธอ ถ้าเวลานั้น พวกเธอสองคนเพิกเฉยเธอและวิ่งหนีต่อไป ก็ไม่ต้องถามฉันหรอกว่าจะช่วยพวกเธอมั้ย”

 

“และคุณอิสเมล คุณก็เพียงแค่ขอให้พอลลาและแองเจช่วยปกป้องลูกสาวของคุณ แต่คุณยอมที่จะเสียสละตัวเองให้พวกซอมบี้สังเวย จริงๆแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ถ้าคุณโยนลูกสาวของคุณให้พวกซอมบี้กินไปเลยเพื่อที่คุณจะได้หนีออกไป”

 

“นายกำลังพูดอะไรน่ะ?! ฉันจะทำแบบนั้นกับลูกสาวของฉันได้ยังไง?!”

 

“แล้วก็เหมยน่ะ…”

 

มาร์คเพิกเฉยเรห์ยาไป

 

“มันค่อนข้างยากที่จะพูดออกมา ดังนั้นเอาเป็นว่าผ่านไปละกัน”

 

เหมยกัดริมฝีปากของเธอเมื่อคิดถึงเรื่องอันน่าเจ็บปวดขึ้นมา

 

“โอเค ฉันก็แค่พูดถึงความเป็นไปได้เอง แต่ถ้าความเป็นไปได้พวกนั้นมันเกิดขึ้นมาจริงๆ พวกคุณคิดว่าฉันจะช่วยพวกคุณเอาไว้มั้ย?”

 

เขามองหน้าเบอร์นาร์ด

 

“ฉันไม่ใช่คนดีจริยธรรมสูงขนาดนั้น แต่ฉันก็ชื่นชมคนที่สามารถใช้ความเป็นมนุษย์ช่วยเหลือกันในสถานการณ์แบบนี้ นี่คือเหตุผลที่ฉันช่วยพวกเขา”

 

คนในกลุ่มที่ถูกช่วยเหลือไว้ต่างก็รู้สึกเก้อเขิน

 

เขาหันศรีษะไปไปมองที่บันไดที่คนอื่นๆได้ปีนขึ้นมาก่อนที่จะมองไปที่ท้องห้า

 

“ฉันจะบอกพวกนายเอาไว้ ในเวลาที่ใกล้จะถึงจุดจบของโลกแบบนี้ ความรักแบบเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองนั้นเป็นสมบัติที่หายากที่สุดในเวลาแบบนี้”

 

มาร์คเริ่มดูเหมือนชายอายุเยอะที่ผ่านประสบการณ์หลายๆอย่างบนโลกใบนี้มาอย่างช่ำชอง

 

“การทรยศหักหลัง การลักขโมย ความเห็นแก่ตัว การฆ่าแกงกัน และสิ่งแย่ๆอื่นๆที่มนุษย์สามารถที่จะทำได้ มันไม่ขาดหายไปไหนหรอกโดยเฉพาะในเวลาหายนะแบบนี้ ก็เหมือนที่นายบอกฉันนั่นแหละว่าฉันเพิกเฉยไม่ช่วยเหลือคนพวกนั้น” เขาถอนหายใจและหันหน้าไปมองเบอนาร์ดจากนั้นเขาก็ยิ้มให้

 

“นายชอบคำตอบของฉันมั้ย?”

 

เบอนาร์ดพยักหน้าด้วยท่าทางอึดอัด เขาไม่ได้คิดเลยว่าคำตอบของมาร์คจะลึกซึ้งขนาดนี้

 

หลังจากนั้น…

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

พวกเขาก็ได้มองไปที่แคลวินที่หัวเราะอย่างหนักออกมา

 

“มีอะไรตลกงั้นหรอ?” มาร์คถาม

 

“ป่าว ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สิ่งที่นายพูดออกมา ไม่น่าเชื่อว่ามันมาจากคำพูดของเด็กหนุ่มแค่นั้นเอง”

 

“ฉันไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้วนะ ฉันอายุ 27 แล้ว”

 

“ไม่ อายุของนายน่ะยังเด็กอยู่เลยสำหรับฉัน นั่นมันเป็นทัศนคติที่ได้เห็นจากแค่เพียงคนที่เขาเคยเจอประสบการณ์เลวร้ายมาก่อนน่ะ ไม่คิดว่านายอายุเพียงเท่านี้จะคิดได้แบบนี้”

 

“มันผิดปกติอะไรมั้ยล่ะ?”

 

“มันไม่ผิดปกติอะไรหรอก ฉันก็แค่ตลกและสงสัยเฉยๆน่ะ”

 

เบอนาร์ดและโจเซฟก็ได้เงียบลงไปเลย ในขณะที่แคลวินผู้ไม่ชอบเสวนากลับเป็นคนพูดคุยอยู่ตลอด เหมือนปืนกลที่ได้แสดงฟังก์ชันออกมาให้เห็น

มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์

มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์

เรื่องย่อ เป็นเช้าอีกวันที่คล้ายจะปกติธรรมดาเหมือนในทุกๆวัน แต่ใครจะรู้ล่ะ วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ จุดกำเนิดเริ่มต้นของหายนะนั้นไม่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ แต่หารู้ไม่ เชื้อหายนะนั้นเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดจักรวาลแห่งนี้ แต่นั่นก็แค่เกิดขึ้นบริเวณนอกบรรยากาศของโลกเพียงเท่านั้นเอง ผู้คนและสัตว์ต่างๆกลับฆ่าฟันและกินกันเอง จากนั้นค่อยๆกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็รู้จักชื่อนี้ดี ‘ซอมบี้’ ในขณะที่บางคนนั้นโชคดีได้รับพลังและทักษะความสามารถที่จะต่อสู้กับมัน ทุกๆชีวิตในตอนนี้ที่ไม่ได้ ‘กลายร่าง’ ก็เริ่มพัฒนาหาวิธีทำลายล้างและหยุดเรื่องราวทั้งหมดนี้ในขณะที่โลกทั้งใบนี้กำลังติดเชื้อโดยสารก่อการกลายพันธุ์บางอย่าง มาร์ค ชายผู้เป็นโอตาคุ เกมเมอร์ และไม่ชอบออกไปสู่โลกภายนอก กลับติดแหงกอยู่ใจกลางแห่งความหายนะซึ่งดูเหนือธรรมชาติ การใช้ความคิด ความรู้ และความสามารถที่ไม่เหมือนใครและไม่เป็นไปตามแบบแผนของสังคมของเขานั้น จะทำให้เขามีชีวิตรอดไปอีกนานแค่ไหนกับหายนะที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดซอมบี้ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ และผู้คนชั่วร้ายสารเลวในฐานะผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ในประเทศบ้านเมืองที่มีประชากรล้นเหลือแบบนี้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset