มู่หนานจือ – บทที่ 14 พี่ชาย

หากเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ปลูกแล้วก็จะหยั่งรากและแตกหน่ออย่างรวดเร็ว

เจียงเซี่ยนคิดถึงชาติก่อน เซียวหรงเหนียงกับจ้าวสี่ก็ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันแบบนี้เหมือนกัน นางจึงยิ่งรู้สึกว่าจ้าวอี้กับเซียวหรงเหนียงมีความสัมพันธ์กันโดยมิชอบ ส่วนจ้าวสี่นั้นหลังจากจ้าวอี้ขึ้นครองราชย์แล้วก็คิดหาทางเพิ่มจ้าวสี่เข้าไปในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำราชวงศ์

น่าสงสารที่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยสงสัยเซียวหรงเหนียงกับจ้าวสี่เลย ชาติก่อนนางไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ

เจียงเซี่ยนค่อยๆ ดื่มชา

คิดดูแล้วชาติก่อนจ้าวอี้โปรดปรานเพียงเซียวหรงเหนียง ชาติกำเนิดของจ้าวสี่ถูกปิดเป็นความลับ หากจ้าวสี่เป็นลูกที่เซียวหรงเหนียงแอบคลอดออกมาอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรมจริงๆ ฉิงเค่อออกหน้าไม่เพียงแต่สืบอะไรมาไม่ได้ ยังอาจจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนทำให้จ้าวอี้หวาดระแวงและตาย

นางสั่งฉิงเค่อเสียงเบา “เจ้าตรวจสอบนางในและนางในระดับสูงทั้งหมดของวังฉือหนิง วังคุนหนิง และวังเฉียนชิงให้ข้าอีกรอบ ชื่อกับคนต้องตรงกัน เน้นตรวจสอบพวกชื่อที่ยังอยู่สามวังนี้ แต่ตัวกลับรับใช้ที่อื่น ส่วนคนที่ไม่อยู่สามวังนี้ เจ้าไม่ต้องสนใจอีกแล้ว เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”

เรื่องราวมาถึงเวลานี้กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาด แน่นอนว่าฉิงเค่อรู้ถึงความร้ายแรง นางพยักหน้าติดๆ กัน ด้วยกลัวว่าตนเองจะถูกฆ่าปิดปาก ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ

เจียงเซี่ยนนอนอยู่บนเตียง พลางคิดว่าจะให้ใครไปสืบเรื่องเซียวหรงเหนียง

คนๆ นี้ต้องสามารถเข้าออกวังได้อย่างอิสระ แถมยังต้องสนิทกับเหล่าขันทีของกรมวังและวังหลัง สามารถตรวจสอบบัญชีรายชื่อข้าราชการของวังหลังได้อย่างลับๆ …แน่นอนว่าเฉาเซวียนเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด แต่นางให้เฉาเซวียนไปทำเรื่องนี้ไม่ได้ พอเฉาไทเฮาสูญเสียอำนาจ เรื่องพวกนี้อาจจะกลายเป็นโทษฐานที่เฉาเซวียนสอดแนมพระราชวังชั้นในได้ เพียงโทษฐานนี้ก็สามารถทำให้เฉาเซวียนตายได้แล้ว

ยังมีใครที่เหมาะสมอีกล่ะ?

เจียงเซี่ยนทุ่มเทความคิดอย่างหนัก ทันใดนั้นก็นึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา

พี่ชายของนางอีกคนหนึ่ง หวังจ้าน ซื่อจื่อ[1]จวนชินเอินป๋อ

ลองคิดดูแล้ว ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบแปด กำลังเป็นองครักษ์ที่พกดาบที่หน่วยองครักษ์ และเขาก็เข้าออกวังอยู่บ่อยๆ เช่นกัน เพียงแต่เขาเป็นคนเงียบขรึม พูดน้อย และปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผน เมื่อมีเฉาเซวียนอยู่ข้างหน้า จึงมีคนสังเกตเห็นเขาไม่มากนักเท่านั้นเอง

หลังจากเจียงเซี่ยนเป็นไทเฮาก็เลื่อนขั้นให้เขาเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์

ในช่วงเจ็ดปีที่นางว่าราชการหลังม่าน ถึงแม้หวังจ้านจะไม่ได้สร้างความดีความชอบอะไร ทว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทำงานพลาดเช่นกัน

ตอนที่นางเป็นฮองเฮาก็รู้สึกว่าคนอย่างหวังจ้านนี้แค่เป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจเท่านั้น จนกระทั่งหลังจากนางได้เป็นไทเฮาและเริ่มไกล่เกลี่ยเรื่องใหญ่โตในราชสำนัก นางถึงพบว่าการทำงานไม่ให้พลาดนั้นยากยิ่งกว่าการสร้างความดีความชอบเสียอีก ยิ่งกว่านั้นคือการอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยองครักษ์นี้ และไม่เคยทำงานพลาดเลยตลอดเจ็ดปี

เจียงเซี่ยนถึงคิดว่าหวังจ้านเป็นคนที่มีความสามารถไม่แพ้เฉาเซวียน

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น นางก็ไปห้องอุ่นตะวันออกกับไป๋ซู่

ไทฮองไท่เฟยยังไม่มา ส่วนไทฮองไทเฮานั้นกำลังแต่งตัว

เจียงเซี่ยนช่วยไทฮองไทเฮาเลือกเครื่องประดับ พลางถามถึงฮูหยินชินเอินป๋อ “ท่านป้ากลับไปเมื่อไรหรือเพคะ? หม่อมฉันไม่ได้เจอนางหลายวันแล้ว เมื่อวานยังว่าจะมาคารวะนาง…”

ตามกฎของในวัง หากสตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอก[2]ต้องการเข้าเฝ้าสตรีบรรดาศักดิ์ข้างใน[3] จะต้องยื่นสาส์นมาก่อนล่วงหน้า เมื่อฮองเฮาที่รับผิดชอบดูแลวังทั้งหก[4]อนุญาตแล้ว ถึงจะเข้าวังได้ ไทฮองไทเฮาฐานะสูงศักดิ์ ส่วนจ้าวอี้ก็ไม่ได้ตั้งฮองเฮา เฉาไทเฮาที่ยังคงรับผิดชอบดูแลวังทั้งหกและตราประทับของฮองเฮาเช่นเดิมไว้หน้าไทฮองไทเฮาในเรื่องพวกนี้อย่างเต็มที่มาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อวานพอฮูหยินชินเอินป๋อยื่นสาส์นมา เฉาไทเฮาก็อนุญาตทันที เพียงแต่ฮูหยินชินเอินป๋อไปมาอย่างเร่งรีบ คุยกับไทฮองไทเฮาเพียงไม่กี่ประโยคก็ขอลาแล้ว นี่ยิ่งทำให้เจียงเซี่ยนคิดว่าท่านยายอยากยืมปากของฮูหยินชินเอินป๋อส่งข่าวการอภัยโทษนางในและนางในระดับสูงให้เจียงเจิ้นหยวนลุงของนาง

ไทฮองไทเฮาไม่ได้ใส่ใจนัก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หลายวันนี้ลุงของเจ้าไม่ค่อยสบาย ป้าของเจ้ายุ่งอยู่กับการดูแลลุงของเจ้า ข้าก็เป็นห่วงลุงของเจ้าเหมือนกัน จึงให้นางกลับไปแล้ว หากเจ้าคิดถึงนาง ข้าจะให้นางเข้าวังมาเยี่ยมเจ้าวันมะรืน”

เป็นเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่าเข้าไปยุ่งจะดีที่สุดกระมัง?

เจียงเซี่ยนครุ่นคิดอยู่ ทว่ากลับทำหน้าออดอ้อนเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “เสด็จยาย หม่อมฉันไม่ได้อยากเจอท่านป้า หม่อมฉันอยากเจอท่านพี่อาจ้าน…หม่อมฉันมีธุระกับเขาเพคะ!”

ไทฮองไทเฮาหัวเราะ แล้วเลือกปิ่นทองลายตัวอักษร โซ่ว[5]สองตัวที่ประดับหยกเขียวซึ่งเจียงเซี่ยนเลือกให้นาง และเอ่ยว่า “เด็กน้อย มีธุระอะไรที่ต้องหาท่านพี่อาจ้านของเจ้าด้วยหรือ?”

เจียงเซี่ยนรับปิ่นปักผมมาจากในมือของนางในที่หวีผม แล้วช่วยเสียบปิ่นให้ไทฮองไทเฮา และแสร้งเป็นเอ่ยอย่างงอนๆ ว่า “เสด็จยายก็อย่าถามเลยเพคะ! อย่างไรหม่อมฉันก็มีธุระกับเขา เสด็จยายก็ช่วยเรียกเขาเข้าวังมาให้หม่อมฉัน”

ไทฮองไทเฮารักเจียงเซี่ยนมากมาโดยตลอด เรื่องเล็กแบบนี้จะไม่ตกลงได้อย่างไร?

นางจึงให้เมิ่งฟางหลิงไปเรียกหวังจ้านเข้าวัง และเอ่ยว่า “หากเข้าเวรอยู่ก็บอกผู้บังคับบัญชาของเขาสักหน่อย ว่าให้เขามา”

เมิ่งฟางหลิงไปด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

รอไปหนึ่งชั่วยาม นางก็พาหวังจ้านมา

หวังจ้านสวมชุดทั่วไปสีเขียวขององครักษ์ระดับหกเดินเข้ามาตัวตรง แสงสว่างตอนเที่ยงตรงส่องลงบนใบหน้าอันงดงามของเขา จึงยิ่งแลดูขาวนวลและหล่อเหลา

ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วรอยยิ้มแห่งความสุขก็หลั่งไหลออกมาจากในดวงตาและสีหน้าอย่างหยุดไม่อยู่ จนเขาคารวะเสร็จก็สั่งให้นางในย้ายเก้าอี้ไท่ซือตัวหนึ่งมาวางข้างกายตนเองให้หวังจ้านไม่หยุด

หวังจ้านกล่าวขอบคุณหลายครั้ง ในน้ำเสียงนอบน้อมยังคงอบอุ่น ได้ยินแล้วก็ทำให้คนฟังรู้สึกดี

เจียงเซี่ยนอดที่จะถอนหายใจในใจไม่ได้

ทำไมคนที่ไป๋ซู่ชอบไม่ใช่หวังจ้านนะ?

หวังจ้านก็หน้าตาหล่อเหลามากเหมือนกันนะ!

นิสัย ความสามารถ และความประพฤติก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉาเซวียน…

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เข้าไปคารวะหวังจ้าน แล้วก็ลากหวังจ้านไปที่อุทยานหลวงของวังฉือหนิง

หวังจ้านท่าทางลำบากใจ ใบหน้าขาวหมดจดแดงก่ำ และมองไปทางไทฮองไทเฮาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ไทฮองไทเฮายิ้มกว้างขึ้น แล้วเอ่ยด้วยความรักปนเมตตาว่า “น้องเจ้าบอกว่ามีธุระกับเจ้า ข้าถามว่าเรื่องอะไร นางก็ไม่กล้าบอกข้า มีเรื่องอะไร พวกเจ้าพี่น้องก็ไปคุยกันเองเถอะ หากนางกล้ารังแกเจ้าก็มาบอกข้าได้เลย ข้าจะลงโทษให้นางคัด ‘มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร[6]’ ร้อยรอบ”

หวังจ้านเป็นคนอ่อนโยน ตอนที่ถูกไทฮองไทเฮาเรียกมาเล่นเป็นเพื่อนเจียงเซี่ยนในวังก็มักจะคอยตามหลังเจียงเซี่ยนอย่างเงียบๆ เจียงเซี่ยนบอกว่าอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น ถึงเจียงเซี่ยนจะไปปีนต้นไม้ เขาก็จะแค่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้อย่างกระวนกระวายและยื่นแขนออกไปปกป้องนางแทนที่จะตำหนินาง ทว่าหากนางทำผิดหรือก่อเรื่องแล้ว เขากลับต้องเป็นแพะรับบาปและถูกดุด่า

เขายิ้มอย่างอบอุ่น และเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมกับเป่าหนิงไปที่อุทยานหลวงแล้ว”

ไทฮองไทเฮาพยักหน้าโดยยิ้มตาหยี แล้วสั่งพวกติงเซียง “พกเสื้อคลุมไปด้วย ระวังอย่าให้เป่าหนิงเป็นหวัด…อากาศเย็นแล้ว ไม่ต้องให้นางดื่มชาดอกไม้แล้ว ให้ดื่มชาเหล่าจวินเหมย…เบาะผ้าฝ้ายกับเบาะหนังต้องพกไปคนละหลายๆ ใบ โดนลมพัดแล้วหนาวมากเช่นนี้ บนม้าหินจะต้องเย็นมากแน่ๆ…”

เหมือนนางไปเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ

เจียงเซี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเอ่ยว่า “เสด็จยาย หม่อมฉันแค่คุยกับท่านพี่อาจ้านนิดหน่อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพานางในและขันทีไปด้วยเพคะ” นางเอ่ย พลางลากหวังจ้านวิ่งไปทันที

หวังจ้านพยักหน้าให้ไทฮองไทเฮา แล้วรีบตามนางออกไปข้างนอก

ไป๋ซู่ถูกทิ้งไว้ที่ห้องอุ่นตะวันออก สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและอึ้ง

“อย่าสนใจพวกเขาเลย” ไทฮองไทเฮายิ้มพลางปลอบใจนาง แล้วเอ่ยว่า “เป่าหนิงยังเหมือนเด็กที่ไม่โต ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรถึงจะโตได้”

ไม่โตก็ยังจะยุให้นางหาสามีสักคนเหมือนเลี้ยงชายหนุ่มรูปงามที่เป็นของเล่นของสตรีชั้นสูง?

ไป๋ซู่คิดถึงคำพูดที่เจียงเซี่ยนเอ่ยกับนางคืนนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบไทฮองไทเฮาอย่างไรอย่างสิ้นเชิง

———————————

[1] ซื่อจื่อ ตำแหน่งของลูกชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้มักจะเป็นลูกชายคนโต แต่บางครั้งก็อาจมีข้อยกเว้นเป็นลูกชายคนรองก็ได้ ตามแต่ความตั้งใจของผู้เป็นบิดา

[2] สตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอก หมายถึง องค์หญิงที่แต่งงานแล้ว และบรรดาภรรยาหรือมารดาของเจ้านายหรือขุนนางที่ฮ่องเต้มอบบรรดาศักดิ์ให้อย่างเป็นทางการ ซึ่งบรรดาศักดิ์ของสตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอกนั้นจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งขุนนางของสามี โดยแบ่งระดับตามตำแหน่งขุนนางของสามีเป็นระดับ 1 ถึง 9

[3] สตรีบรรดาศักดิ์ข้างใน หมายถึง สนมและนางในของฮ่องเต้ รวมถึงองค์หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน โดยมีฮองเฮาเป็นผู้นำ

[4] วังทั้งหก ที่ประทับของบรรดาสนมของฮ่องเต้ ซึ่งแม้จะเรียกว่าวังทั้งหก แต่แท้จริงแล้วมีทั้งหมด 12 วัง ทว่าด้วยความที่แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ฝั่งละ 6 วัง จึงเรียกว่าวังทั้งหก ซึ่งวังทั้งหกฝั่งตะวันออกนั้น ประกอบด้วย วังจิ่งเหริน วังเฉิงเฉียน วังจงชุ่ย วังจิ่งหยาง วังหย่งเหอ และวังเหยียนสี่ ส่วนวังทั้งหกฝั่งตะวันตกนั้น ประกอบด้วย วังหย่งโซ่ว วังอี้คุน วังฉู่ซิ่ว วังเสียนฝู วังฉางชุน และวังฉี่เสียง(ตำหนักไท่จี๋) โดยวังทั้งสิบสองนั้นจะอยู่ขนาบข้างวังทั้งสาม อันได้แก่ วังเฉียนชิง ซึ่งเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ตำหนักเจียวไท่กง ซึ่งเป็นที่เก็บพระราชสมบัติอันล้ำค่า และวังคุนหนิง ซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮา

[5]  寿 อ่านว่า โซ่ว แปลว่า อายุยืน

[6] พระสูตรว่าด้วยปัญญาอันเป็นหัวใจพาไปถึงฝั่งพระนิพพาน

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset