มู่หนานจือ – บทที่ 34 ร่วมทาง

“เข้าไปหรือไม่นั้นไม่สำคัญ” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานั้นพวกเจ้าหาของมาให้ข้าก็พอ”

เรื่องนี้จัดการง่าย!

หลี่เชียนรับปากอย่างเต็มปากเต็มคำ เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็นชุดผ้าไหมลู่[1]สีน้ำเงินเข้มที่ตระกูลมั่งคั่งในเมืองหลวงมักจะสวมใส่ในฤดูนี้ เขาทิ้งเซียงเอ๋อร์ไว้ แล้วขึ้นรถม้าไปตรอกใต้เท้าเจิ้งกับเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนถึงได้รู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาหยุดพักเมื่อครู่คือเรือนด้านหลังของโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่ตรอกหลัวถง

โรงน้ำชานั้นมีพื้นที่ประมาณหนึ่งหมู่[2] สูงสองชั้น สร้างแบบเจดีย์ เช้าตรู่ก็มีคนไปมาตลอดแล้ว ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง

ไม่รู้ว่านี่เป็นสถานที่ที่หลี่เชียนหามาเพื่อคุยกันชั่วคราวหรือเป็นฐานที่มั่นของตระกูลหลี่?

เจียงเซี่ยนแอบคิดในใจ และเห็นว่าหลังจากพวกเขาออกจากตรอกหลัวถงแล้วก็มีรถม้าคันหนึ่งตามอยู่ข้างหลังพวกเขา

นางมองหลี่เชียนครั้งหนึ่ง

หลี่เชียนยิ้มพลางอธิบายว่า “เป็นคนที่มาช่วยทำงาน”

เจียงเซี่ยนไม่ถามอะไรเพิ่มอีก

แต่หลี่เชียนกลับวางท่าคุยกับนาง แล้วเอ่ยว่า “ท่านต้องการหาสิ่งใดหรือ?”

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “เจ้าไปถึงก็รู้แล้ว” แล้วพิงหมอนอิงใบใหญ่ของรถม้าหลับตาพักผ่อน

หลี่เชียนไม่อาจถามต่อไปได้อีก คิดแล้วคิดอีกก็เดาไม่ถูกว่าเจียงเซี่ยนต้องการหาอะไร

ประมาณครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ถึงตรอกใต้เท้าเจิ้งแล้ว

ในความทรงจำของเจียงเซี่ยน ตอนที่เฉาไทเฮายังมีชีวิตอยู่ คนสกุลฟางก็เหมือนพวกขันทีที่กุมอำนาจในวัง ซึ่งแอบซื้อบ้านไว้ข้างนอก บางทีอาจจะยังเกรงกลัวเฉาไทเฮาอยู่ นางจึงเลือกบ้านที่ตรอกใต้เท้าเจิ้งที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวและเงียบสงบหลังวัดว่านหยวน

เจียงเซี่ยนก็มาเป็นครั้งแรก

ทว่านางสืบมาอย่างชัดเจนแล้ว

เรือนด้านนอกของคนสกุลฟางคือบ้านหลังที่สามนับจากทางตะวันออกไปตะวันตกของตรอกใต้เท้าเจิ้ง

นางให้รถม้าค่อยๆ แล่นผ่านตรอกใต้เท้าเจิ้งไป เหมือนบังเอิญผ่านมา แล้วแง้มม่านของรถม้ามองออกไปข้างนอก

นั่นเป็นเรือนหลังเล็กที่แบ่งเป็นสองส่วนเหมือนตัวอักษร ‘รื่อ’[3] ประตูหรูอี้ทาสีแดงกลางเก่ากลางใหม่ กำแพงด้านนอกหลุดลอกเล็กน้อย แต่ต้นฉัตรจีนโบราณที่ยื่นออกมาเหนือกำแพงกลับมีใบไม้หนาแน่น เจริญงอกงาม และเขียวชอุ่ม ดูมีอายุประมาณหนึ่งแล้ว ทั้งเรือนเผยความเงียบสงบที่เรียบง่ายและโบราณออกมา ดูท่าทางไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

หลี่เชียนมองนางสำรวจรอบด้านอย่างเงียบๆ จนกระทั่งรถม้าแล่นออกจากตรอกใต้เท้าเจิ้งแล้วจอดลงหน้าประตูร้านขายของชำแห่งหนึ่งริมถนน เขาถึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ที่นี้ก็คงบอกข้าได้แล้วกระมังว่าท่านกำลังตามหาสิ่งใด?”

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับเอ่ยว่า “เจ้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าต้องการหาคือบ้านไหนแล้วหรือ?”

นี่นางกำลังทดสอบเขาใช่หรือไม่?

หลี่เชียนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ และเอ่ยว่า “บ้านหลังที่สามนับจากทางตะวันออกไปตะวันตก ใต้ชายคาประตูหรูอี้มีรังนกนางแอ่นที่ว่างเปล่าอยู่”

นางไม่เห็นรังนกนางแอ่น

เจียงเซี่ยนยิ้มเล็กน้อย

คิดว่าหลี่เชียนจะต้องไม่ทำให้นางผิดหวังอย่างแน่นอน

“เจ้าช่วยหาผู้หญิงท้องให้ข้าคนหนึ่ง” นางเอ่ยอย่างเงียบๆ “ข้าไม่รู้ว่านางคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร หากพวกเจ้าเจอแล้วก็อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น แค่บอกข้าว่านางคนนั้นลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไรก็พอแล้ว”

นางไม่เชื่อหรอก จ้าวอี้เป็นฮ่องเต้และเติบโตใต้จมูกของเฉาไทเฮา เขาไม่ได้มีโอกาสออกจากวังมากไปกว่านาง

งั้นผู้หญิงคนนี้ก็ต้องเป็นนางในในวังอย่างแน่นอน

ขอเพียงรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร นางก็มั่นใจว่าจะหาตัวมาได้!

หลี่เชียนได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก กลายเป็นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันใด

สตรีที่สามารถถ่ายทอดสายเลือดของบรรพบุรุษให้ครอบครัวของสามีได้ นั่นเป็นเรื่องมงคลเหนือสิ่งอื่นใด ต่อให้มาจากตระกูลที่ไม่ดี เมื่อมีความดีความชอบที่สืบทอดทายาทนี้แล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็มีที่ที่พึ่งพาได้แล้ว นอกเสียจากว่าตระกูลของเด็กคนนี้มีปัญหามาก

ท่านหญิงเจียหนานเกิดมาร่ำรวย เติบโตในวังหลวง หากเป็นลูกของจวนเจิ้นกั๋วกง นางก็ไม่มีสิทธิมาควบคุม…

เด็กคนนี้เป็นลูกของฮ่องเต้งั้นหรือ?

ทว่าถึงจะเป็นเช่นนี้ ข้างบนยังมีไทฮองไทเฮา แล้วก็ไทเฮา ทั้งสองท่านต่างไม่พูดอะไร แล้วนางออกหน้าทำไมล่ะ?

บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านหญิงเจียหนานมีใจให้ฮ่องเต้?

พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ในใจของหลี่เชียนก็รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์

เขาคิดว่าด้วยฐานะและจิตใจของท่านหญิงเจียหนาน ถึงฮ่องเต้จะแอบเลี้ยงลูกไว้ข้างนอก นางก็ไม่น่าจะมาหาด้วยตนเองแบบนี้…เด็กที่เกิดนอกวังเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องสนว่าเฉาไทเฮาจะยอมรับหรือไม่ แม้แต่กรมวังก็ไม่มีทางบันทึกชื่อของเด็กคนนี้ลงในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำราชวงศ์ให้ปะปนกับสายเลือดของราชวงศ์อย่างง่ายดาย และต่อให้หลังจากนี้ฮ่องเต้ไม่มีลูกชายสืบทอดบัลลังก์ กรมวังก็จะยอมยกลูกชายของอ๋องอื่นให้เป็นรัชทายาท แต่ไม่มีทางให้เด็กคนนี้สืบทอดบัลลังก์ และองค์ชายที่ไม่มีสิทธิในการสืบทอดบัลลังก์ ต่อให้เขาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เฉลียวฉลาดและกล้าหาญ มีความสามารถที่น่าตื่นตะลึง ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อองค์ชายในอนาคตเช่นกัน แล้วท่านหญิงเจียหนานจะสนใจทำไม?

หรือว่าในนี้มีอะไรน่าสงสัยที่เขาไม่รู้?

หลี่เชียนหน้าผากกระตุกจนเต้นตุบๆ

ก่อนหน้านี้เขาเคยคาดเดาไว้มากมาย ทว่าไม่มีข้อไหนสอดคล้องกับเรื่องนี้

นี่ท่านหญิงเจียหนานขุดหลุมให้เขากระโดดลงไป[4]!

อยู่ที่เขาแล้วว่าจะยอมโดดลงไปหรือไม่?

หลี่เชียนลังเลเล็กน้อย พอเหลือบตาขึ้นก็เห็นเจียงเซี่ยนกำลังจ้องมองเขาอยู่ นัยน์ตาที่เหมือนกระสุนเงินสีดำนั้นสงบนิ่งไร้คลื่น ลึกซึ้งราวกับบ่อน้ำโบราณใต้ดวงจันทร์ และปรากฏแสงสีเงินออกมาอย่างเบาบาง

หลี่เชียนมองแล้ว ในใจก็รู้สึกหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก

นางก็คงไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกันกระมัง?

หวังจ้านกับเจียงลวี่ต่างหายตัวไป ไป๋ซู่เป็นสตรี อย่างมากที่สุดก็ช่วยนางปิดบัง ฮ่องเต้มีคนที่ชอบแล้ว และไม่เพียงแต่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นตั้งครรภ์ ทว่ายังเลี้ยงอยู่นอกวังโดยไม่สนคำครหาด้วย เฉาไทเฮาต้องไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงจะถูกฮ่องเต้เคียดแค้นตาย ส่วนผู้อาวุโสที่ใส่ใจอย่างไทฮองไทเฮานั้น นางก็ยิ่งไม่กล้าพูดแล้ว…ก็เหมือนอย่างที่นางเอ่ยเมื่อครู่ ต่อให้คนในวังรู้ว่านางออกจากวังก็ต้องชั่งน้ำหนักกับผลประโยชน์เช่นกัน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะเปิดเผยเบาะแสของนางแก่ไทฮองไทเฮาหรือไม่ เรื่องที่ฮ่องเต้มีคนอยู่ข้างนอก หากนางบุ่มบ่ามตะโกนออกไป มีแต่จะทำให้ทุกคนเสียเกียรติ และถูกบังคับให้ไปช่วงชิงเกียรติยศเท่านั้น

เขาวู่วามจนกระโดดลงไปในหลุม “ข้ารู้แล้ว ข้าเห็นข้างหน้ามีโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง พวกเราก็รอในโรงน้ำชาดีกว่า ข้าจะให้คนไปสืบในบ้านนั้น”

พอเอ่ยจบ เขาก็เหมือนเสียใจที่ทำเช่นนั้นลงไป จึงทำได้เพียงปลอบใจตนเอง เขาทำแบบนี้ก็ถือว่าสร้างความสัมพันธ์กับฮ่องเต้และจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ขอเพียงท่านหญิงเจียหนานคนนี้ไม่ถีบหัวส่งคนที่เคยช่วยเหลือหลังจากบรรลุเป้าหมาย ตระกูลหลี่ก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างราบรื่น…แต่ท่านหญิงเจียหนานน่าจะไม่ไร้คุณธรรมขนาดนั้นกระมัง? ทว่าหากนางถีบหัวส่งจริงๆ ล่ะ?

หลี่เชียนรู้สึกปวดสมองมากกว่าเดิม และเดินเข้าไปในโรงน้ำชาอย่างยังตัดสินใจไม่ได้

เจียงเซี่ยนตามอยู่ข้างหลังเขาเหมือนสาวใช้คนหนึ่ง จนกระทั่งเข้าไปในห้องส่วนตัว และพนักงานของโรงน้ำชานำชาและของว่างมาให้แล้ว นางถึงถอนหายใจออกมายาวเหยียดและนั่งลงตรงข้ามหลี่เชียน

หลี่เชียนเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านกังวลมากหรือ? ท่านกังวลอะไรหรือ?”

เจียงเซี่ยนไม่ตอบ นางนั่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางทั้งไม่อยากดื่มชาและไม่อยากกินของว่าง ทำให้คนมองรู้สึกเหงาหงอยเล็กน้อย

หลี่เชียนถอนหายใจในใจ

เขาอยากเตือนเจียงเซี่ยนว่าอย่าโกรธเลย อย่างไรเฉาไทเฮาก็ไม่มีทางให้ฮ่องเต้แต่งงานกับนาง ทำไมนางจะต้องไปสนใจเรื่องนี้ด้วย เด็กคนนี้จะเป็นหรือตายก็ดี จะเข้าวังหรือเลี้ยงไว้ข้างนอกอย่างไร้ชื่อเสียงและฐานะก็ดี ก็มีฮองเฮาในอนาคตมากังวลอยู่แล้ว หากนางยุ่งมากไป คนอื่นยังอาจจะคิดว่านางอยากก้าวก่ายวังหลัง และหากฮ่องเต้สืบสาวราวเรื่องขึ้นมา นี่ก็เป็นโทษที่ใหญ่เช่นกัน

หลี่เชียนอยากพูดแต่ก็หยุดไปอีก ทว่าสุดท้ายก็ยังทนไม่ไหวอยู่ดี จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “หากพวกเราหาผู้หญิงท้องเจอจริงๆ ท่านคิดจะทำอย่างไร?”

————————————-

[1] ผ้าไหมลู่ ผ้าไหมที่ผลิตที่มณฑลซานซี

[2] 1 หมู่ = 666.67 ตร.ม.

[3] รื่อ = 日

[4] ขุดหลุมให้คนอื่นกระโดดลงไป หมายถึง วางแผนให้คนอื่นเข้าไปติดกับ

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset