มู่หนานจือ – บทที่ 56 ไป

ไทฮองไท่เฟยทำได้เพียงเอ่ยอีกว่า “ถึงอย่างไรวันนั้นก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮา ไทฮองไทเฮาเป็นผู้อาวุโส หม่อมฉันเป็นหม้าย ไม่ไปก็สมเหตุสมผล แต่ท่านหญิงต้องคบหากับพวกสตรีบรรดาศักดิ์นั้น หากนางไม่ไป ถึงไทเฮาจะไม่ตรัสอะไร พวกสตรีบรรดาศักดิ์ที่ประจบประแจงเบื้องบนและกดขี่ข่มเหงเบื้องล่างก็จะวิพากษ์วิจารณ์ และสุดท้ายก็จะไม่เป็นผลดีต่อท่านหญิง”

 

“วันงานคือวันที่สิบสี่ไม่ใช่หรือ?”

 

“หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาทจะเสด็จไปตั้งแต่วันที่สิบสาม”

 

“พวกคณะกายกรรมจะต้องไปฝึกซ้อมล่วงหน้าก่อนอย่างแน่นอน และคงจะไปถึงก่อนเวลาด้วย เพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์”

 

“ลองให้ท่านหญิงติดตามอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทก็ได้ ไปเช้าวันที่สิบสามและกลับมาตอนค่ำ วันนั้นคนที่อวยพรวันเกิดต่างเพิ่งจะเข้าไปพัก ทางตำหนักเที่ยวหย่วนต้องไม่มีคนและเงียบเหงาอย่างแน่นอน ดังนั้นคณะกายกรรมต้องแสดงอย่างเต็มรูปแบบครั้งหนึ่งแน่ ท่านหญิงก็สามารถดูได้ว่าคณะกายกรรมเหล่านั้นเชี่ยวชาญด้านไหนเป็นพิเศษบ้าง แบบนี้นอกจากทำให้ท่านหญิงสมปรารถนาแล้วยังขัดขวางพวกฮูหยินที่ชอบพูดจาซี้ซั้วนั้นได้ด้วย…”

 

ไทฮองไทเฮาได้ยินไทฮองไท่เฟยเอ่ยว่า ‘ถูกจำกัดให้อยู่ในวังฉือหนิงนี้กับพวกเราตลอดทั้งปี’ ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว นางคิดแล้ว ในที่สุดก็อนุญาตเจียงเซี่ยน

 

เพียงแต่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ต้องบอกจวนเจิ้นกั๋วกงด้วย ต้องให้เจียงเจิ้นหยวนอนุญาตถึงไปได้ และตอนไปก็ต้องพาหลิวเสี่ยวหม่านไปรับใช้อยู่ข้างกายด้วย

 

หากเจียงเซี่ยนไม่ได้เอ่ยว่าให้เก็บเฉาไทเฮาไว้สู้กับจ้าวอี้ และจวนเจิ้นกั๋วกงก็จะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งอันยืดเยื้อของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าอย่างไรเจียงเจิ้นหยวนก็ไม่มีทางอนุญาตให้เจียงเซี่ยนไปพัวพันกับที่ภูเขาวั่นโซ่วอย่างเด็ดขาด ทว่าตั้งแต่รู้ความทุกข์ในใจของเจียงเซี่ยน เจียงเจิ้นหยวนก็ไม่อาจเห็นนางเป็นเด็กสาวแสนธรรมดาได้แล้ว วิธีของไทฮองไทเฮาทำให้เขาคิดว่าเจียงเซี่ยนเป็นคนขอให้เขาช่วยทางอ้อม บวกกับเขาอยากคุยกับเจียงเซี่ยนสักคำสองคำก็ลำบาก เวลานี้ในใจเขาเจียงเซี่ยนเป็นเด็กสาวที่ช่างคิด สติปัญญาเฉียบแหลม และวางแผนเก่ง เขาไม่แน่ใจว่าเจียงเซี่ยนเพียงแค่อยากดูกายกรรมเท่านั้น หรือมีธุระอะไรที่ต้องไปภูเขาวั่นโซ่วให้ได้ ดังนั้นจึงอนุญาตทันที

 

ไทฮองไทเฮาคิดว่านางไม่รู้เรื่องที่ภูเขาวั่นโซ่วเลย เจียงเจิ้นหยวนเป็นลุงของเจียงเซี่ยน และทุกคนก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว อย่างไรเจียงเจิ้นหยวนก็ไม่มีทางที่จะทำร้ายเจียงเซี่ยน ในเมื่อเจียงเจิ้นหยวนคิดว่าเจียงเซี่ยนไปได้ เช่นนั้นก็ย่อมไปได้

 

นางจึงไม่ว่าอะไรอีกเช่นกัน และไม่เพียงแต่เรียกเจียงเซี่ยนไปกำชับรอบหนึ่ง ทว่ายังเรียกหลิวเสี่ยวหม่านไปบอกต่อหน้ารอบหนึ่งด้วย แล้วก็ให้เมิ่งฟางหลิงช่วยเตรียมของให้เจียงเซี่ยน วันที่สิบสามเดือนสิบไปภูเขาวั่นโซ่ว แต่กลับให้ไทฮองไท่เฟยกับไป๋ซู่อยู่ที่วังฉือหนิง

 

เจียงเซี่ยนโล่งอกแล้ว

 

ทว่าไทฮองไท่เฟยกับไป๋ซู่กลับแปลกใจมาก

 

ทั้งสองคนคิดอยู่นานมากก็คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะเหตุใด ไป๋ซู่ยังไปเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาโดยเฉพาะด้วย บอกว่าเจียงเซี่ยนไปภูเขาวั่นโซ่วคนเดียวนางไม่วางใจ อยากไปเป็นเพื่อนเจียงเซี่ยน

 

ไทฮองไทเฮาไม่อนุญาต

 

ไป๋ซู่กับไทฮองไท่เฟยต่างก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก จึงทำได้เพียงช่วยเมิ่งฟางหลิงเตรียมของกินของใช้ที่จะไปภูเขาวั่นโซ่วให้เจียงเซี่ยน

 

เจียงเซี่ยนคิดจะค้างที่นั่นคืนหนึ่ง ไม่ว่าไทฮองไท่เฟยกับไป๋ซู่เตรียมอะไรไปให้นาง นางก็คิดว่าได้ใช้ทั้งนั้น

 

ยุ่งแบบนี้ไปจนถึงวันที่หนึ่งเดือนสิบ ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางก็มารับเจียงเซี่ยนกลับไปไหว้บรรพบุรุษที่จวนเจิ้นกั๋วกง

 

เจียงลวี่ เจียงหาน และเจียงจ้งแห่งตระกูลเจียงต่างไม่ปรากฏตัว มีเพียงเจียงเจิ้นหยวน นาง และป้าสะใภ้ยืนอยู่ในหอบรรพบุรุษแสนใหญ่โตของตระกูลเจียงอย่างโดดเดี่ยวและคุกเข่าคำนับเหล่าบรรพบุรุษ

 

คิดว่าท่านลุงก็คงจะเตรียมการพร้อมมากแล้ว

 

หลังจากนั้นเจียงเซี่ยนก็ไปไหว้บิดามารดาหน้าสุสาน

 

ขณะที่เจียงเจิ้นหยวนถามว่านางมีธุระอะไรสำคัญ ผู้ช่วยของเขาก็มาหาด้วยสีหน้ากังวล เจียงเซี่ยนบอกเพียงว่าของของตระกูลหลี่ยังอยู่ในมือตนเอง เจียงเจิ้นหยวนคิดว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าผู้ช่วยคนนั้นก็เร่งและรอจนร้อนใจ เขาจึงไม่มีเวลาคุยกับเจียงเซี่ยนอย่างละเอียด และทำได้เพียงกำชับนางเป็นนัย “ไปถึงภูเขาวั่นโซ่วแล้วต้องระวังทุกฝีก้าว ไม่จำเป็นต้องติดตามอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทตลอดเวลาดังเช่นที่ไทฮองไทเฮาตรัส แต่ห้ามออกไปทางประตูวังทางทิศตะวันออก”

 

ความนัยที่แฝงอยู่ในนั้นก็คือ วันที่อวยพรวันเกิดให้เฉาไทเฮานั้น ประตูวังทางทิศตะวันออกเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

 

เจียงเซี่ยนพยักหน้า นางมีความคิดของตนเองแล้ว

 

เจียงเจิ้นหยวนเห็นนางรับฟังคำสอนอย่างเชื่อฟัง แม้จะแอบรู้สึกว่านี่ไม่ใช่นิสัยของนาง ทว่าก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร จึงจากไปอย่างลำบากใจเล็กน้อย

 

เจียงเซี่ยนกลับถึงวังฉือหนิง โชคไม่ดีเจอจ้าวอี้ที่เพิ่งออกมาจากวังฉือหนิงหน้าประตูวังฉือหนิง

 

จ้าวอี้ลากนางมาคุยกันข้างหนึ่ง “เสด็จย่าตรัสว่าเจ้าจะไปดูกายกรรมที่ภูเขาวั่นโซ่ว ให้ข้าคอยดูเจ้า เจ้าชอบดูกายกรรมมากหรือ?”

 

“ไม่ชอบ” อาจเป็นเพราะใช้ชีวิตอยู่ที่วังฉือหนิงมาตลอด ตั้งแต่เล็กเจียงเซี่ยนจึงไม่ชอบสถานที่ที่เสียงดังเอะอะ นางเอ่ยว่า “แต่หม่อมฉันสนใจงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮามาก จึงอยากไปดูเพคะ”

 

จ้าวอี้ยิ้มตาหยี และเอ่ยว่า “เสด็จย่าฝากเจ้าไว้กับข้าแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าเดินเพ่นพ่าน หากเจ้าบาดเจ็บตรงไหนขึ้นมา เสด็จย่าต้องตำหนิว่าข้าไม่ดูแลเจ้าให้ดีแน่ และต่อไปก็คงจะไม่ให้ข้าพาเจ้าออกไปเที่ยวแล้ว”

 

พูดอย่างกับเขาเคยพานางออกไปเที่ยวเสียเมื่อไร

 

เจียงเซี่ยนไม่อยากคุยกับเขามาก จึงเอ่ยอย่างขอไปทีว่า “ฝ่าบาทวางพระทัยได้ หม่อมฉันจะไม่เดินเพ่นพ่านเพคะ”

 

ทว่าพอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นซ่งเสียนอี๋ที่ตามอยู่ข้างหลังจ้าวอี้ไกลๆ

 

นางอดที่จะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

 

เมื่อก่อนซ่งเสียนอี๋แทบอยากจะแปลงร่างเป็นหางของจ้าวอี้และติดตามจ้าวอี้อย่างใกล้ชิด

 

นางรู้เรื่องของแม่นมฟางแล้วงั้นหรือ?

 

เจียงเซี่ยนคาดเดา และเอ่ยกับจ้าวอี้ว่า “หากฝ่าบาทไม่วางพระทัย ก็ให้ซ่งเสียนอี๋อยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันแล้วกัน หากกายกรรมไม่สนุกก็ยังมีคนพอเล่นไพ่โต๊ะหนึ่งได้”

 

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อติดตามรับใช้อยู่ข้างกายนาง นางไปไหนก็จะตามไปที่นั่น

 

แต่ครั้งนี้จ้าวอี้ที่ปกติตามใจนางทุกอย่างกลับลังเลอยู่ชั่วครู่

 

เจียงเซี่ยนคิดว่าตนเองเดาถูกแล้ว จึงเดินผ่านจ้าวอี้ไปเอ่ยกับซ่งเสียนอี๋โดยตรงว่า “เดี๋ยวเจ้ามากับข้า ช่วยไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อจัดสัมภาระให้ข้า ถึงเวลานั้นจะได้เป็นผู้ช่วยพวกนางได้”

 

ซ่งเสียนอี๋มองจ้าวอี้ครั้งหนึ่ง และเดินมาอย่างตะกุกตะกัก ทว่าหน้าตากลับดีใจจนแทบจะปิดไม่มิด

 

เจียงเซี่ยนรู้อยู่แก่ใจ

 

จ้าวอี้ขมวดคิ้วอย่างที่เห็นได้น้อยครั้ง สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น และขึ้นเกี้ยวไป

 

สายตาที่ซ่งเสียนอี๋มองเจียงเซี่ยนแทบจะเรียกได้ว่ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ

 

เจียงเซี่ยนแสร้งทำเป็นไม่เห็น และไปพบไทฮองไทเฮา

 

ไทฮองไทเฮาถามถึงการไหว้ลูกสาวและลูกเขย เจียงเซี่ยนปลอบใจไทฮองไทเฮาอยู่หลายวัน จนถึงวันที่สิบสองเดือนสิบก็สั่งให้ฉิงเค่อส่งของที่ควรนำไปด้วยทั้งหมดให้หลิวเสี่ยวหม่าน นางอยู่คุยเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาจนถึงดึกดื่น หยอกให้ไทฮองไทเฮายิ้มได้ แล้วถึงกลับตำหนักตงซาน

 

ไป๋ซู่รอนางอยู่ตลอด

 

พอเห็นนางกลับมาก็รีบเร่งนาง “รีบเข้านอนเถอะ! นี่ก็ยามจื่อ[1]แล้ว ทางวังเฉียนชิงบอกว่า ยามอิ๋น[2]จะออกเดินทางไปภูเขาวั่นโซ่ว”

 

เจียงเซี่ยนหาวและงีบไปสองชั่วยามก็ถูกไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อปลุก

 

ตั้งแต่นางฟื้นคืนชีพมา นางยังไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้ จึงไม่ค่อยชินนัก

 

ปล่อยให้ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อแต่งตัวให้อย่างสะลึมสะลือ แล้วนางก็นั่งเรือไปภูเขาวั่นโซ่วพร้อมกับจ้าวอี้

 

บนเรือ จ้าวอี้ยังตั้งใจเข้ามาเยี่ยมนางโดยเฉพาะด้วย ถามนางว่าอยากไปชมทิวทัศน์สองฝั่งตรงกาบเรือหรือไม่

 

เจียงเซี่ยนไม่อยากอยู่กับจ้าวอี้มากนักอยู่แล้ว

 

นางจึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด และบอกว่าตนเองนอนไม่ค่อยหลับ จึงอยากจะนอนต่อ

 

จ้าวอี้หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจนัก และจากไปอย่างอารมณ์ดี

 

คงจะคิดว่าในที่สุดตนเองก็สามารถเหยียบมารดาที่กดหัวเขามาตลอดให้อยู่ใต้เท้าได้จึงตื่นเต้นดีใจมากกระมัง?

 

เจียงเซี่ยนนึกถึงจ้าวอี้อย่างประสงค์ร้าย พลางถอดปิ่นปักผมกับต่างหูและหลับต่อ

 

———————————–

 

 

[1] ยามจื่อ = ช่วงเวลา 23.00-00.59 น.

 

[2] ยามอิ๋น  = ช่วงเวลา 03.00-04.59 น.

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ
Status: Ongoing
แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset