มู่หนานจือ – บทที่ 60 สร้างชื่อเสียงและบารมี

อวิ๋นหลินกับเซี่ยหยวนซีแอบคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ ทว่าหลี่เชียนกลับแอบรู้สึกร้อนใจ

ท่านหญิงเจียหนานคงจะไม่ได้ไม่อยากเจอเขาใช่หรือไม่?

ภูเขาวั่นโซ่วในเวลานี้เหมือนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย นางจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

อย่างไรก็ต้องส่งนางออกไป

แต่หากนางไม่เจอเขา ต่อให้เขาพูดเก่งมากก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี!

หลี่เชียนขอพบเจียงเซี่ยนอีกครั้ง

เจียงเซี่ยนนั่งอยู่บนเตียงอรหันต์ที่พนักพิงเป็นแร่อวิ๋นหมู่[1]ลายสวัสดิกะซึ่งวางอยู่ที่ห้องกลางของห้องโดยสารบนเรืออย่างสุขุมเยือกเย็น พลางดื่มชาอย่างเงียบๆ

เสียงของหลี่เชียนค่อยๆ ดังเข้ามาอย่างชัดเจน เหมือนแสงแดดยามรุ่งอรุณ ทว่าก็ปนความเยือกเย็นและลุ่มลึกที่ทำให้คนฟังสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เจียงเซี่ยนหรี่ตา

เงาร่างของหลี่เชียนที่ยิ้มอย่างสดใส ท่าทางที่มีชีวิตชีวา และนั่งยองๆ อยู่บนต้นไป่โบราณในอุทยานหลวงค่อยๆ ผสานเข้ากับหลี่เชียนที่หน้าตาสุขุม นิ่งดุจขุนเขา และโต้ตอบอย่างคล่องแคล่วที่ตำหนักจินหลวนในชาติก่อน

นางยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าใบชาที่ลอยอยู่บนถ้วยชาเบาๆ

หลิวเสี่ยวหม่านกังวลมาก

เขาไม่เคยเห็นท่านหญิงเจียหนานเป็นแบบนี้มาก่อน

สายตาลุ่มลึกราวกับบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น สีหน้าเย็นชาดั่งประติมากรรมน้ำแข็งและหิมะ

เหมือนเพียงชั่วพริบตา ท่านหญิงเจียหนานก็กลายเป็นคนที่เขาไม่รู้จักแล้ว

เป็นเพราะหมิ่นโจวถูกคนช่วยชีวิตแล้วหรือเป็นเพราะคนที่ช่วยชีวิตหมิ่นโจวคือองครักษ์วังคุนหนิง?

เขารินชาให้เจียงเซี่ยนใหม่อย่างแผ่วเบาจนไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล

เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย

นางนึกถึงเมิ่งฟางหลิง

หลังจากไทฮองไทเฮาเสียชีวิต เมิ่งฟางหลิงก็อยู่ข้างกายนาง

ทุกครั้งที่นางโมโห เมิ่งฟางหลิงก็จะเงียบแบบนี้  ทว่าก็มองนางอย่างเต็มไปด้วยความกังวล ช่วยนางเก็บกวาดของที่นางทำแตกอย่างเงียบๆ และทับสาส์นที่นางโยนลงไปบนพื้นให้เรียบอย่างเงียบๆ ทีละนิด…

ชีวิตฮองเฮาสามปี ทำให้เจียงเซี่ยนเข้าใจตั้งนานแล้วว่า มีเพียงคนที่ห่วงใยนางจริงๆ เท่านั้นที่จะใส่ใจความทุกข์ของนาง

สีหน้าของเจียงเซี่ยนค่อยๆ ผ่อนคลาย นางเอ่ยกับหลิวเสี่ยวหม่านว่า “หลี่เชียนนั่น เขาอยากคุกเข่าก็คุกเข่าไปเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเขา เจ้าแค่ไปเรียกคนที่เวลานี้ยังสามารถคุมงานที่ภูเขาวั่นโซ่วได้เข้ามาก็พอ ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”

หลิวเสี่ยวหม่านเห็นบนหน้านางมีรอยยิ้มแล้ว และท่าทางก็ผ่อนคลายลง เขาจึงยิ้มพลางขานรับและออกไป

หลี่เชียนรู้จักหลิวเสี่ยวหม่าน

พอเห็นว่าคนที่ออกมาเป็นเขา ก็รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารบนเรือต้องเป็นเจียงเซี่ยนอย่างแน่นอน เขาจึงรู้สึกดีใจ

แต่ใครจะรู้ว่าหลิวเสี่ยวหม่านกลับเหมือนไม่รู้จักเขา และพาขันทีที่แข็งแรงสองคนเดินผ่านข้างตัวเขาไปอย่างแน่วแน่

หลี่เชียนรู้สึกไม่สบายใจนัก

คนที่มุงดูริมฝั่งมองหน้ากันเลิกลั่ก มองหลี่เชียนที่คุกเข่าอยู่ แล้วก็มองหลิวเสี่ยวหม่านที่หน้าตาเฉยเมย ปากแต่ละคนต่างปิดแน่นสนิทเป็นเปลือกหอย

หลิวเสี่ยวหม่านไม่มีท่าทีอึดอัดที่ถูกคนจับจ้องแม้แต่นิดเดียว เขาเดินไปหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าหมิ่นสี่อย่างรวดเร็วและว่องไว และถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเมตตากรุณา “อาลักษณ์หมิ่น เวลานี้ผู้ช่วยขันทีหมิ่นหมดสติ เจ้าว่า…ภูเขาวั่นโซ่วนี้ยังคุยกับใครได้บ้าง? ท่านหญิงของเรามีเรื่องจะถาม”

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หมิ่นสี่

ภูเขาวั่นโซ่วนี้นอกจากหมิ่นโจวก็มีเพียงหมิ่นสี่ที่เป็นขุนนางที่มีระดับ เวลานี้หมิ่นโจวเป็นแบบนี้ ก็แน่นอนว่างานของภูเขาวั่นโซ่วต้องตกอยู่กับหมิ่นสี่แล้ว

ขันทีสองคนที่เดิมทีติดตามอยู่ข้างกายหมิ่นสี่เห็นสถานการณ์ก็แอบถอยหลังไปสองสามก้าว ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถปกปิดความสัมพันธ์กับหมิ่นสี่ได้และจะไม่เดือดร้อนเพราะหมิ่นสี่

ทว่าหมิ่นสี่กลับตกใจจนหน้าซีดไร้สีเลือด และเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก “ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น…ผู้ช่วยขันทีว่าอย่างไร ข้าก็ทำอย่างนั้น…”

หลิวเสี่ยวหม่านได้ยิน สีหน้าก็ค่อยๆ จริงจัง

หมิ่นสี่รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่พักหนึ่ง

หลิวเสี่ยวหม่านก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็เชิญขันทีหมิ่นตามข้าไปเถอะ!”

“ไม่ ข้า…” หมิ่นสี่ส่ายหน้าด้วยอยากปฏิเสธ แต่หลิวเสี่ยวหม่านกลับถอยไปข้างๆ ขันทีสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาเข้ามาหามหมิ่นสีคนละข้างแล้วลากตัวไปขึ้นเรือ

บางคนอยากเข้าไปพูด ทว่าคนที่อยู่ข้างกายกลับลากออกไปข้างๆ

หลี่เชียนอารมณ์แปรปรวน

นี่เจียงเซี่ยนจะทำอะไร?

ปิดบังความสัมพันธ์กับเขาหรือ?

แต่เรื่องนี้จำเป็นด้วยหรือ?

หลี่เชียนมองหมิ่นสี่ที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งร่าง และต้องพึ่งขันทีสองคนถึงจะขึ้นเรือได้ สมองก็เริ่มแล่นอย่างเร็วมาก

หมิ่นสี่เข้าไปในห้องโดยสารบนเรือแล้ว ทว่ากลับไม่มีแม้แต่แรงจะยืนด้วยซ้ำ

จนกระทั่งขันทีทั้งสองปล่อยมือแล้ว เขาก็ทรุดตัวลงตรงหน้าเจียงเซี่ยน

“ท่านหญิงไว้ชีวิตด้วย! ท่านหญิงไว้ชีวิตด้วยขอรับ! ข้าไม่ได้ตั้งใจเมินท่านหญิง…” เขาคุกเข่าพลางโขกศีรษะคำนับเจียงเซี่ยนจนน้ำตาและน้ำมูกกระเด็นพร้อมกัน

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว

หลิวตงเยว่เข้าไปเตะหมิ่นสี่สองทีทันที และเอ่ยว่า “ให้เจ้าตอบ เจ้าก็ตอบดีๆ เจ้าร้องไห้ไม่จบไม่สิ้นแบบนี้ใช้ได้หรือ? หากอยู่ในวังคงลากตัวออกไปโบยจนกว่าจะตายตั้งนานแล้ว รีบคุกเข่าให้ดีแล้วตอบ”

หมิ่นสี่คุกเข่าตัวตรงอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก

เจียงเซี่ยนก็ขี้เกียจที่จะสนใจเขาเช่นกัน จึงเอ่ยตรงๆ ว่า “ข้าอยากพักที่ตำหนักชิ่งซั่น และรับประทานอาหารกลางวันที่นั่น”

ตำหนักชิ่งซั่นอยู่ทางตะวันออกของตำหนักเล่อโซ่ว หลังตำหนักอี๋เล่อ ตรงข้ามกับตำหนักอี๋อวิ๋นแต่อยู่ห่างไกลมาก เป็นสถานที่พักผ่อนชั่วคราวสำหรับสมาชิกราชวงศ์ที่เป็นผู้หญิงที่มาดูงิ้ว หันหน้าไปทางทิศใต้ ตกแต่งได้กำลังดีโดยไม่เสียความสบายและความสว่างไป

เจียงเซี่ยนชอบที่นั่นมากมาตลอด

นางไม่ไปตำหนักอี๋อวิ๋นกับตำหนักอวี้หลานหรอก!

หมิ่นสี่กะพริบตาเหมือนคาดไม่ถึง

ท่านหญิงเจียหนานเรียกเขามาเพียงเพื่อเรื่องนี้?

เจียงเซี่ยนท่าทางหงุดหงิด

หมิ่นสี่รีบเอ่ยว่า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ!” เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย ก็นึกได้ว่าที่จัดให้เจียงเซี่ยนไปพักที่ตำหนักอวี้หลานนั้นเป็นความต้องการของฮ่องเต้…เขาก็ทำหน้าลังเลอีก

เจียงเซี่ยนยิ้มอย่างดูแคลน

หมิ่นสี่รีบเอ่ยว่า “อาหารกลางวันก็จัดที่ตำหนักชิ่งซั่นเช่นกันขอรับ!”

ล่วงเกินฮ่องเต้ ต้องให้หัวหน้าขันทีเป็นคนไกล่เกลี่ย ซึ่งก็เพียงแค่เสียเงินหรือลดตำแหน่งเท่านั้น

ทว่าล่วงเกินท่านหญิงเจียหนานเวลานี้ หมิ่นโจวก็เป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว

ไม่ตายก็ถูกถลกหนังอยู่ดี

และอาจจะสู้หมิ่นโจวไม่ได้ด้วย…ถึงอย่างไรหมิ่นโจวก็มีองครักษ์ที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรคอยช่วยเหลือ หากเขาถูกท่านหญิงเจียหนานโยนลงไปในทะเลสาบ ใครยังจะกล้าไปช่วยเขา?

เวลานี้องครักษ์คนนั้นยังคุกเข่าอยู่ที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษาอยู่เลย!

อย่างไรมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าตาย

จัดการตอนนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

หมิ่นสี่คิดไป ขาก็ค่อยๆ มีแรง

หลิวเสี่ยวหม่านส่งสายตาให้ขันทีที่แข็งแรงสองคน

ขันทีสองคนก็หามหมิ่นสี่ออกไปจากห้องโดยสารบนเรือ พวกเขาผลักไปถึงบนฝั่ง และหันตัวกลับไปยังห้องโดยสารบนเรือ

ไม่มีคนของเจียงเซี่ยนแล้ว บนฝั่งก็เริ่มกระซิบกระซาบ

หมิ่นสี่เหมือนปลาที่กระโดดลงไปในน้ำอีกครั้ง เขาเรียกคนที่อยู่ข้างกายอย่างมีชีวิตชีวา “เร็วเข้า ไปเก็บกวาดตำหนักชิ่งซั่น ท่านหญิงเจียหนานบอกว่าที่นั่นทิวทัศน์งดงาม นางอยากไปพักที่นั่น อาหารกลางวันก็กินที่นั่นเช่นกัน!”

ทุกคนต่างแปลกใจมาก จนกระทั่งมีขุนนางของกรมพิธีการเถียงกับหมิ่นสี่อย่างไม่พอใจ “วันเฉลิมพระชนมพรรษาต้องจัดติดต่อกันสามวัน มีทั้งหมดหกคณะที่เข้ามาแสดงในวัง อย่างน้อยที่สุดทุกวันก็ต้องแสดงงิ้วสามองก์ ท่านหญิงเข้าไปพักที่นั่น ถึงเวลานั้นพวกสตรีบรรดาศักดิ์อยากเติมเครื่องสำอางและพักผ่อนชั่วคราวจะทำอย่างไร? ปรับเปลี่ยนกำหนดการตามใจชอบแบบนี้ อาจจะวุ่นวายได้!”

เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?

หมิ่นสี่พึมพำในใจ

เขาไม่ฟังท่านหญิงเจียหนานอาจจะตายได้

เทียบกันแล้ว ใครสำคัญกว่า?

หมิ่นสี่ตอบขุนนางคนนั้นอย่างขอไปทีสองสามคำด้วยความนอบน้อม แล้วก็ให้ขันทีที่อยู่ข้างกายไปช่วยเก็บกวาดตำหนักชิ่งซั่นให้เจียงเซี่ยน

นี่ท่านหญิงเจียหนานจะสร้างชื่อเสียงและบารมีใช่หรือไม่?

หลี่เชียนดูอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจแล้ว เขารู้สึกเจ็บปวดมาก

หากไม่ถูกรังแก ทำไมเจียงเซี่ยนต้องใช้ให้ขันทีสองคนลงมือสร้างบารมีเชือดไก่ให้ลิงดูก่อนเล่า?

จะเห็นได้ว่าปกตินางก็ถูกเฉาไทเฮารังแกไม่น้อยเลยทีเดียว…

———————————

[1] แร่อวิ๋นหมู่ = แร่ไมกา

Related

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ
Status: Ongoing
แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset