มู่หนานจือ – บทที่ 73 ก่อกบฏ

เฉาไทเฮาตกใจ

ข้างกายนางมีคนรับใช้มากมาย องครักษ์เล็กๆ คนหนึ่งกล้าบุกมาถึงตรงหน้านางตั้งแต่เมื่อไรกัน?

เฉาไทเฮาต่อสู้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาโดยตลอดจึงความรู้สึกไวมาก ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางเป็นไทเฮาที่สำเร็จราชการแทนคนแรกในราชวงศ์ปัจจุบันได้เช่นกัน

นางลังเลเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที พลางสั่งนางในที่มาบอก “เข้ามา!”

นางในออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าลนลาน

เฉาไทเฮาหันหน้าเข้าหากระจกและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วไปตำหนักหลักที่อยู่ข้างๆ

หลี่เชียนสีหน้ากังวล เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ดาบยาวอยู่นอกฝัก บนผมก็ยังมีหญ้าแห้งติดอยู่เล็กน้อย เหมือนทะลุออกมาจากในป่า กระเซอะกระเซิงมาก

หัวใจของเฉาไทเฮาร่วงลงไปแล้ว

นางมองคนที่มาอย่างเย็นชา

หลี่เชียนก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวและคุกเข่าลงตรงหน้าเฉาไทเฮา แล้วเอ่ยเสียงร้อนใจว่า “ไทเฮา กระหม่อมคือหลี่เชียนหลี่จงเฉวียนบุตรชายคนโตของหลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยน ไทเฮารีบเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ! ใต้เท้าเฉาถูกสังหารแล้ว ฝ่าบาทกับเจิ้นกั๋วกงกำลังพาคนมาทางนี้ บอกว่าจะบังคับให้ไทเฮาพระราชทานอำนาจคืนให้ฝ่าบาท…”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” เฉาไทเฮายากที่จะปิดบังความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวในใจได้ นางลุกขึ้นยืนทันที และถามอีกครั้งอย่างเสียงสั่น “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ?”

บางทีเฉาไทเฮาก็คงจะไม่เคยคิดฝันเหมือนกันว่าตนเองจะมีวันนี้กระมัง!

หลี่เชียนแอบคิดในใจ ทว่าเสียงกลับยิ่งร้อนใจมากขึ้น และเอ่ยว่า “ไทเฮา กระหม่อมไม่ได้ปดไทเฮานะพ่ะย่ะค่ะ หากไทเฮาไม่เชื่อ ลองส่งใครสักคนออกไปดูก็ทราบแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็น่าจะมาถึงแล้ว ไทเฮารีบเสด็จไปกับกระหม่อมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ! ตอนนี้ยังพอมีหนทางรอด ช้ากว่านี้อาจจะไม่ทันเวลาแล้ว ไทเฮารีบเสด็จไปกับกระหม่อมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมรู้โดยบังเอิญ กลัวคนอื่นรู้เข้า จึงมาคนเดียว…ยังมีองครักษ์อีกสองสามคนช่วยปกปิดให้กระหม่อมอยู่ข้างหลัง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน…ขอแค่ไปถึงวารีเคียงพฤกษาได้ก็พอ เรือมังกรจอดอยู่ที่นั่นหมด…กระหม่อมได้ยินบิดาของกระหม่อมบอกว่า…ผู้บัญชาการกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครจงรักภักดีต่อไทเฮามาก ขอเพียงเข้าเมืองหลวงได้ก็พอแล้ว…”

เขาพูดจาสะเปะสะปะ แต่เฉาไทเฮากับเบิกตาโต

มีแต่ตอนที่คนเจออันตรายเท่านั้นที่จะพูดจาแบบนี้ได้

แสดงว่าหลี่เชียนพูดความจริง!

นางจ้องตาหลี่เชียนอย่างไม่วางตา

ข้างในมีความตื่นตระหนก ความกระวนกระวาย ความหวาดกลัว ความว้าวุ่นใจ แล้วก็ฝืนทำเป็นเยือกเย็น…แต่กลับไม่มีความคิดร้าย!

ดูเหมือนนี่จะเป็นเรื่องจริง!

เฉาไทเฮายกมือ ถ้วยชาและภาชนะโลหะบนโต๊ะชาถูกกวาดลงไปบนพื้นทั้งหมด

“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน ปีกกล้าขาแข็งแล้ว กลับกล้าล้มล้างราชสำนัก!” นางเบิกตาโต ในดวงตาราวกับมีกองเพลิงกำลังลุกไหม้ แผดเผาจนแทงตาคน สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ จนกลายเป็นบิดเบี้ยวเล็กน้อย

หลี่เชียนตกใจเป็นอย่างมาก

ทว่าชั่วพริบตาความโกรธแค้นอย่างรุนแรงในดวงตาของเฉาไทเฮาก็กลายเป็นความเกลียดชังอย่างเต็มหัวใจแล้ว นางกัดฟันยับยั้งอารมณ์ไว้ แล้วสั่งนางในที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไปเรียกเฉิงเต๋อไห่มาให้ข้า แล้วช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้!” แต่ประโยคสุดท้ายเอ่ยกับหลี่เชียน

หลี่เชียนรู้สึกเคารพนับถือขึ้นมาในทันใด

ตัดสินใจได้ทันทีในช่วงเวลาสำคัญ กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว อย่าว่าแต่ผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างเฉาไทเฮาเลย แม้แต่ผู้ชายที่มักจะเสี่ยงชีวิตสร้างความดีความชอบในสนามรบอย่างพวกเขาก็น้อยที่จะมีความรับผิดชอบแบบนี้เช่นกัน มิน่าเฉาไทเฮาถึงเป็นฮองไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่านคนแรกในราชวงศ์ปัจจุบัน

เจียงเจิ้นหยวนจะเอาชนะนางได้หรือไม่?

ความเห็นใจแล่นผ่านไป หลี่เชียนก็เก็บกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในความทรงจำจนเกลี้ยงทันที และเริ่มช่วยเฉาไทเฮาเก็บสัมภาระ “ไทเฮาว่ากระหม่อมพอจะช่วยงานตรงไหนได้บ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เวลานี้เฉาไทเฮากลับมายืนตัวตรงเหมือนต้นสนแล้ว และชมเขาว่า “พ่อของเจ้าสามารถสอนลูกชายอย่างเจ้ามาได้ แสดงว่าเขาลงแรงกับเจ้าไปมากทีเดียว เจอพ่อเจ้า ข้าจะขอบคุณเขาอย่างดี”

หลี่เชียนก็เหมือนกับคนหนุ่มที่ทะเยอทะยานทั่วไป พอได้รับคำชมจากผู้บังคับบัญชาก็ตื่นเต้นจนหน้าแดง และพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

เฉาไทเฮาเข้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมยาวธรรมดาในห้องด้านในอย่างรวดเร็ว และถือห่อผ้าสีน้ำเงินออกมา

ฮูหยินอันเฉิงแม่นมของนางติดตามอยู่ข้างหลังนางเหมือนนกตัวน้อยที่ขวัญเสีย

นางในที่ไปหาเฉิงเต๋อไห่ยังไม่กลับมา

เฉาไทเฮาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “พวกเราไม่รอแล้ว คิดหาทางไปท่าเรือวารีเคียงพฤกษาเดี๋ยวนี้เลย”

ฮูหยินอันเฉิงตอบเสียงเบาว่า “เพคะ” แต่ไม่เดินตามเฉาไทเฮาเหมือนคนที่อยู่ในห้อง กลับเป็นขันทีสองคนที่ไม่สะดุดตาติดตามขนาบข้างกายเฉาไทเฮาแทน

หลี่เชียนอดที่จะมองฮูหยินอันเฉิงครั้งหนึ่งไม่ได้

เฉาไทเฮาเดินออกไปข้างนอกแล้ว

หลี่เชียนรีบตามไป

เฉาไทเฮาถึงอธิบายกับหลี่เชียนเสียงเบาว่า “คนที่ฝ่าบาทต้องการคือข้า ติดตามอยู่ข้างกายข้า พวกเขากลับยิ่งไม่ปลอดภัย อีกอย่างพวกเราก็พาคนพวกนี้ไปไม่ได้เช่นกัน”

หลี่เชียนพยักหน้า และอดที่จะมองเฉาไทเฮาอย่างนับถืออีกครั้งไม่ได้

เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “กระหม่อมสั่งคนของกระหม่อมไว้แล้วว่า หากรอดพ้นจากอันตรายได้ ให้เฝ้าอยู่ที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษาสองคน ส่วนคนอื่นให้มาที่ตำหนักเต๋อฮุย”

เฉาไทเฮาพยักหน้า นางเงียบไปหลายอึดใจ และเอ่ยเสียงเบาว่า “เฉากั๋วจู้ ตายแล้วจริงๆ หรือ?”

“กระหม่อมไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เชียนคิดว่าทำให้เฉาไทเฮารู้สึกว่าตัวคนเดียวและไม่มีใครช่วยจะดีที่สุด นอกจากตระกูลหลี่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยนางได้ดีกว่านี้แล้ว จึงปั้นเรื่องว่า “ก่อนหน้านี้กระหม่อมขัดแย้งกับท่านหญิงเจียหนานเล็กน้อย และพักผ่อนอยู่ในห้องตรงประตูวังทางทิศตะวันออก เพราะอารมณ์ไม่ดีและนอนไม่หลับ จึงออกมาเดินเล่นข้างนอก และได้ยินเสียงดาบปะทะกัน พอไปตามเสียงก็เจอองครักษ์สี่ห้าคนรวมกลุ่มกันอยู่ แถมยังชักดาบออกมา แต่ดูเหมือนจะเป็นคนของหน่วยองครักษ์ทั้งหมด กระหม่อมอยากรู้มาก กำลังจะเดินเข้าไป หนึ่งในนั้นก็ถูกอีกสามคนแทงล้มลงไปบนพื้น แล้วก็แน่นิ่งไป”

“พอคนกลุ่มนั้นโยนคนที่ถูกแทงลงไปในพุ่มไม้ก็จากไปอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว”

“กระหม่อมจึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ”

“คิดอยู่นานถึงได้ถึงเดินไปหาคนที่ถูกแทง”

“คนๆ นั้นยังไม่ตาย เขาเห็นกระหม่อมไปก็ทันบอกเพียงว่า ‘ไทเฮามีอันตราย ใต้เท้าเฉาถูกฆ่าแล้ว’ ก็ตาย”…

“ตอนนั้นกระหม่อมยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และกังวลความปลอดภัยของฝ่าบาท จึงแอบเข้าไปในตำหนักเหรินโซ่วอย่างระมัดระวัง ถึงได้รู้ว่าที่แท้เรื่องสังหารใต้เท้าเฉานั้นเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท…”

“กระหม่อมจึงรีบมาทันที…”

เฉาไทเฮาโกรธจนหน้าเขียว นางกัดฟันกรอดตลอด ความเกลียดชังอันท่วมท้นไหลทะลักออกมาจากในดวงตาของนาง ทำให้หลี่เชียนที่ถูกหลี่ฉางชิงพาปีนข้ามกองคนตายมาตั้งแต่เด็กรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น

เขาถอนหายใจในใจ

เมื่อก่อนเขาดูถูกเฉาไทเฮาเกินไปแล้ว

หากเขาใกล้ชิดเฉาไทเฮามากขึ้นอีกหน่อย เข้าใจเฉาไทเฮามากขึ้นอีกนิด ไม่รู้ว่าเขาจะยังกล้าทำตามเจียงเจิ้นหยวนหรือไม่!

คนทั้งกลุ่มผ่านลานกว้างไปถึงตำหนักไผอวิ๋นอย่างเร็วมาก

ทว่าประตูใหญ่ของตำหนักไผอวิ๋นกลับถูกผลักออกเสียงดังสนั่น

จ้าวอี้กับเจียงเจิ้นหยวนกรูกันเข้ามาปรากฏตัวต่อสายตาของเฉาไทเฮากับหลี่เชียนโดยมีขันทีหลายคนถือโคมไฟอยู่

เฉาไทเฮาชะงักฝีเท้า และมองไปอย่างแน่วแน่

ใต้แสงไฟนั้น แก้มที่ขาวเกลี้ยงเกลาของจ้าวอี้ขึ้นสีแดงสดใสสวยงามสองลูก นัยน์ตาสว่างไสวเหมือนดวงดาว ทั้งยังเปล่งประกายมีชีวิตชีวาและได้ใจปนภูมิใจกับผลงานที่ตนเองได้มามาก

ทว่าใบหน้าของเจียงเจิ้นหยวนซ่อนอยู่ในแสงไฟอย่างครึ่งมืดครึ่งสว่าง จึงมองเห็นสีหน้าไม่ชัด

หลี่เชียนรีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและขวางอยู่หน้าเฉาไทเฮา

เฉาไทเฮาตบบ่าของหลี่เชียน ส่งสัญญาณให้หลี่เชียนไปยืนข้างๆ แล้วจ้องไปที่เจียงเจิ้นหยวน โดยไม่มองจ้าวอี้แม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ พลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจียงเจิ้นหยวนจวนเจิ้นกั๋วกง ซื่อสัตย์และเสียสละชีวิตเพื่อแคว้นมาหลายรุ่น นึกไม่ถึงว่าจะถูกทำลายในมือเจ้า เจ้าบังอาจมากที่กล้ายุยงให้ฝ่าบาทอกตัญญูต่อมารดา!”

——————

Related

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ
Status: Ongoing
แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset