มู่หนานจือ – บทที่ 81 อุบัติเหตุ

ทั้งสองคนนินทาเจียงเซี่ยนเบาๆ อยู่ตรงนั้น เสียงฟาดแส้ครั้งที่แปดก็ดังขึ้น

 

จะตำหนักไผอวิ๋นก็ดี หรืออุโบสถก็ตาม ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนเรียงตามลำดับตำแหน่ง จนกระทั่งเสียงฟาดแส้ครั้งที่เก้าดังขึ้น เสียงที่สูงและแหลมเล็กน้อยของขันทีก็ดังมาอย่างต่อเนื่อง “ฝ่าบาทเสด็จ! ไทเฮาเสด็จ!”

 

สีหน้าของทุกคนยิ่งเคารพนอบน้อมมากขึ้น

 

ฮ่องเต้กับไทเฮาจะนั่งที่อุโบสถ รับการเข้าเฝ้าและอวยพรจากขุนนางทั้งราชสำนัก ตำหนักไผอวิ๋นอยู่ห่างจากอุโบสถประมาณหนึ่ง ทางนี้จึงไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวของทางนั้นอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีใครกล้ามองโดยรอบหรือเสียงดังเอะอะ ทุกคนต่างรอขันทีมาบอกอย่างเงียบเชียบ

 

เจียงเซี่ยนยืนอยู่คนที่สามทางซ้ายมือ ก่อนหน้านางคือท่านหญิงตงหยางกับท่านหญิงอู่หยาง ทั้งสองคนต่างหลุบตาลง มีแต่เจียงเซี่ยนที่ถอดลูกประคำปี้สี่[1]สิบแปดอรหันต์ที่สวมอยู่บนข้อมือออกมานับอย่างเบื่อหน่าย และคิดเรื่องในใจตนเอง

 

นางเคยอ่านลำดับที่กรมพิธีการร่างเอาไว้

 

เฉาไทเฮากับจ้าวอี้จะรับการอวยพรจากเหล่าขุนนางในอุโบสถก่อน หลังจากนั้นถึงจะเสด็จมาที่ตำหนักไผอวิ๋น รับการอวยพรจากสตรีบรรดาศักดิ์ ฮูหยินทั้งหลาย งานเลี้ยงของพวกสตรีจัดที่เรือนชิงหวาและเรือนเจี้ยโซ่ว ส่วนงานเลี้ยงของเหล่าขุนนางจัดที่ตำหนักอวี้หวาและตำหนักอวิ๋นจิ่น ซึ่งเฉาไทเฮาจะรับประทานอาหารกับเหล่าสตรีที่ตำหนักไผอวิ๋น

 

พวกเขาคิดจะประกาศเรื่องที่จ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเองหลังจากเฉาไทเฮารับการอวยพรจากทุกคน หรือรอประกาศต่อเหล่าขุนนางอย่างเป็นทางการที่ตำหนักเหรินโซ่วในวันพรุ่งนี้กัน?

 

หากพวกเขาตัดสินใจประกาศเรื่องที่จ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเองหลังจากอวยพรวันเกิดทันที ตอนที่เฉาไทเฮาอยู่อุโบสถก็ยังดี เพราะลุงของนางกับอ๋องเจี่ยนจะอยู่ข้างๆ แล้วตอนที่เฉาไทเฮามาตำหนักไผอวิ๋นใครจะคอยติดตามอยู่ข้างกายนางล่ะ? หากข้างกายนางไม่มีใคร นางจะฉวยโอกาสนี้หนีออกจากวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วหรือไม่?

 

ถึงแม้ทำแบบนี้จะไม่สามารถขัดขวางไม่ให้จ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเองได้อยู่ดี ทว่าเรื่องบางเรื่องถึงจะเล่าต่อได้แต่ก็มองไม่เห็น เกรงว่าต่อไปลุงของนางคงจะมีชื่อเสียงเป็นขุนนางที่กุมอำนาจสำคัญ หากประมาทไปนิดเดียว อาจจะมีคนถึงกับใช้เรื่องนี้เป็นจุดอ่อน และกล่าวโทษตระกูลเจียงเมื่อถึงเวลานั้น…

 

นางนึกถึงผู้หญิงที่เป็นสาวใช้ของหลี่เชียนคนนั้น

 

ผู้หญิงคนนั้นก็ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษด้วยหรือไม่?

 

ไม่รู้ว่าเขามีคนแบบนี้อยู่ในมือกี่คน น่าจะให้เขาส่งคนไปให้ท่านลุงสักสองสามคน แบบนี้ถึงเฉาไทเฮาจะอยากหนีก็มีคนขวางได้แล้ว…

 

อันที่จริงเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะอวยพรวันเกิดไปทำไม บังคับให้เฉาไทเฮามอบอำนาจคืนให้จ้าวอี้ก่อนถึงจะถูก แต่เรื่องในราชสำนักก็เป็นแบบนี้ อะไรๆ ก็ต้องไว้หน้า และมีขั้นตอน ถึงแม้ข้อศอกจะหักก็ต้องซ่อนไว้ในแขนเสื้อ…เวลานี้นางหงุดหงิดกับคนและเรื่องแบบนี้ที่สุดแล้ว

 

เจียงเซี่ยนคิดฟุ้งซ่านอยู่ตรงนั้น ทว่านางยืนจนขาชาขาแข็งก็แล้ว ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของขันทีดังมาอยู่ดี

 

ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

 

รอไปอีกประมาณหนึ่งก้านธูป เวลานี้เลยเที่ยงไปแล้ว ทุกคนต่างเริ่มหิวก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว

 

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในตำหนักไผอวิ๋น

 

ท่านหญิงตงหยางหันกลับมาถามเจียงเซี่ยนโดยมีท่านหญิงอู่หยางยืนคั่นอยู่ตรงกลางอย่างอดไม่ได้ว่า

 

“เป่าหนิง นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้ารู้อะไรบ้างหรือไม่?”

 

เจียงเซี่ยนส่ายหน้า และเอ่ยว่า “เมื่อคืนข้าพักที่ตำหนักชิ่งซั่นคนเดียว วันนี้พอตื่นเช้ามาก็มาที่นี่เลย และมาถึงก็เจอท่านหญิงทั้งสอง ไม่รู้อะไรเลยเจ้าค่ะ!”

 

“นี่มันผิดปกติ!” ท่านหญิงตงหยางได้ยินแล้วก็พึมพำ พลางแลกเปลี่ยนสายตาที่มีแต่พวกนางสองคนเท่านั้นที่เข้าใจกับท่านหญิงอู่หยางน้องสาวของตนเอง หลังจากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ด้วยสายตาว้าวุ่นใจ แล้วกัดฟันเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “เป่าหนิง ไม่งั้นเจ้าไปดูสักหน่อย? ในพวกเราก็มีแต่เจ้าแล้วที่ไทเฮาจะไม่พิโรธ”

 

เฉาไทเฮาโกรธ ใครจะรับไหว

 

เจียงเซี่ยนก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่อุโบสถเหมือนกัน ทว่านางไม่อยากถูกท่านหญิงตงหยางกับท่านหญิงอู่หยางใช้เป็นเครื่องมือเช่นนี้ ในเมื่อพวกนางสองคนเห็นนางเป็นเด็กไม่รู้ความ งั้นนางก็ทำตัวเป็นเด็กแล้วกัน

 

“ท่านหญิงทั้งสอง” นางเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮา ข้าก็ไม่ค่อยรู้กฎนัก เดิมทีเสด็จยายไม่อนุญาตให้ข้ามา แต่ฝ่าบาทเป็นผู้รับประกันให้ข้าทุกอย่างว่าข้าจะไม่เสียมารยาทอย่างเด็ดขาด เสด็จยายถึงให้ข้าตามฝ่าบาทมา ข้าไม่กล้าไป! หากไทเฮาทรงทราบ ไทเฮาไม่มีทางว่าข้าต่อหน้าคนมากขนาดนั้น แต่กลับวังไปแล้วจะต้องให้นางในไปทูลเสด็จยายของข้าอย่างแน่นอน…ข้าไม่อยากทำให้เสด็จยายเสื่อมเสียพระเกียรติ! ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ!”

 

ท่านหญิงตงหยางกับท่านหญิงอู่หยางต่างอึ้งไป

 

คนที่ยืนอยู่ต่ำกว่าเจียงเซี่ยนคือฮูหยินอันกั๋วกง

 

นางผึ่งหูฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบอยู่ตลอด ท่านหญิงทั้งสองตะลึงงันอยู่ นางกลับเข้ามาใกล้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิงกำลังกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยปีติงไฮ่…”

 

ท่านหญิงทั้งสองต่างหน้าซีด ท่านหญิงอู่หยางที่เงียบมาตลอดตวาดฮูหยินอันกั๋วกงเสียงเบาว่า “ฮูหยินกรุณาระวังคำพูดด้วย”

 

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับเข้าใจ

 

เฉาไทเฮาว่าราชการหลังม่านไม่ได้ราบรื่นนัก

 

ปีที่สองที่นางนั่งที่ตำหนักจินหลวน ซึ่งเป็นปีติงไฮ่ เจียงหนานฝนตกหนักติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง น้ำท่วมสามเมืองหกอำเภอเจ็ดสิบเก้าตำบล ทั้งเจียงหนานใกล้จะกลายเป็นหนองน้ำแล้ว ก็มีผู้ตรวจการกล่าวโทษเฉาไทเฮา ว่าผู้หญิงอย่างนางช่วงชิงอำนาจและฐานะทำให้สังคมวุ่นวาย ทำให้สวรรค์พิโรธ ขอให้เฉาไทเฮาถอยกลับไปอยู่วังฉือหนิง และให้ขุนนางใหญ่ที่ช่วยบริหารราชการแผ่นดินที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเลือกไว้ร่วมกันสำเร็จราชการแทน ขุนนางใหญ่ที่ยังหนุ่มมากมายในราชสำนักต่างก็ยื่นฎีกาตาม

 

เฉาไทเฮาไม่เพียงแต่ไม่กลัวการอธิบาย กลับส่งเฉากั๋วจู้ที่ตอนนั้นยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครออกไปจับพวกขุนนางใหญ่ที่ยื่นฎีกาทั้งหมดมาและสังหารทันทีโดยไม่ผ่านการพิจารณาและตัดสินคดี

 

ชั่วพริบตากลิ่นคาวเลือดปลิวไปตามสายลมในเมืองหลวง เลือดสาดกระเซ็นเหมือนสายฝน ผู้คนพากันหวาดกลัวจึงไม่กล้าพูด

 

นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงในปีติงไฮ่

 

หลังจากนั้นเฉาไทเฮาก็เริ่มให้ความสำคัญกับกรมกลาโหมขึ้นมา

 

ก็ถือว่าเฉาไทเฮาโชคไม่ดีด้วยกระมัง ใต้หล้าสงบสุขมาร้อยกว่าปี ยากที่จะหาเหล่าคนที่สามารถนำทหารทำสงครามได้จริงๆ เฉาไทเฮาประคับประคองอู๋เยี่ยนเต้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก ปรากฏว่าอู๋เยี่ยนเต้าเป็นแค่คนดีแต่พูด ไม่เพียงทำให้เฉาไทเฮาผิดหวัง ยังทำให้ลุงของนางฉวยโอกาสควบคุมค่ายทหารภูเขาตะวันตก…

 

เจียงเซี่ยนมองสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในราชสำนักสองสามคนนี้ แล้วก็อดที่จะถอนหายใจในใจไม่ได้

 

คนไม่รู้ความแค่ไหนมานั่งอยู่ในตำแหน่งแบบนี้แล้ว หากอยากมีชีวิตอยู่ก็ต้องฝึกฝนความสามารถในการคาดเดาความคิดของคนอื่น ไม่งั้นถูกริบทรัพย์แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น!

 

แม้พวกนางจะเดาผิด แต่กลับคิดมาถูกทางแล้ว

 

เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่อุโบสถจริงๆ

 

นางจะหาโอกาสไปดูสักหน่อยดีหรือไม่?

 

เจียงเซี่ยนกำลังครุ่นคิดอยู่ตรงนี้ ซุนเต๋อกงหัวหน้าขันทีฝ่ายประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้ก็ปรากฏตัวหน้าประตูตำหนักไผอวิ๋นอย่างรีบร้อน

 

นางรู้สึกกระวนกระวายใจ

 

ซุนเต๋อกงเป็นคนของจ้าวอี้

 

หลังจากจ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเอง เขาเป็นหัวหน้าขันทีฝ่ายตรวจการ

 

สีหน้าเขาว้าวุ่นใจมาก หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นงั้นหรือ?

 

เจียงเซี่ยนก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ซุนเต๋อกงยืนอยู่หน้าธรณีประตูของตำหนักไผอวิ๋นแล้ว และเอ่ยเสียงแหลมว่า “ข้ารับคำสั่งมาจากฝ่าบาท เชิญฮูหยินทุกท่านไปอวยพรวันเกิดไทเฮาที่ตำหนักอี๋อวิ๋นขอรับ!”

 

“อะไรนะ?”

 

ตำหนักไผอวิ๋นเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที

 

ท่านหญิงตงหยางกับท่านหญิงอู่หยางอดทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงเดินเข้าไปเรียกซุนเต๋อกงไว้อย่างรวดเร็ว “ขันทีซุน เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปอวยพรวันเกิดไทเฮาที่ตำหนักอี๋อวิ๋น?”

 

ตำหนักไผอวิ๋นเงียบมากจนเข็มหล่นก็ได้ยิน ทุกคนต่างรอให้ซุนเต๋อกงอธิบาย

 

ทว่าสายตาของซุนเต๋อกงกลับหยุดอยู่ที่เจียงเซี่ยนชั่วครู่ แล้วถึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเรื่องมงคลขอรับ! ไทเฮาตรัสว่า เวลานี้ฝ่าบาทโตแล้ว และถึงวัยที่จะแต่งตั้งฮองเฮาแล้ว ซึ่งไทเฮาช่วยรักษาอำนาจในการปกครองแคว้นให้ฝ่าบาทมาตลอดสิบปีก็ควรจะพักผ่อนและเสวยสุขกับการใช้ชีวิตสบายๆ ในช่วงบั้นปลายชีวิตแล้วเช่นกัน ดังนั้นตั้งแต่นี้ไปไทเฮาจะบำรุงพระวรกาย ส่วนงานในราชสำนักก็มอบให้ฝ่าบาทตัดสินใจทั้งหมด และจะมอบตราประทับของฮ่องเต้ให้ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาทคิดถึงการทรงงานอย่างหนักกับการทุ่มเทความคิดและจิตใจของไทเฮาตลอดหลายปีนี้ ทรงกันแสงจนควบคุมพระองค์เองไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ยอมรับสมบัติอันล้ำค่าของแคว้น”

 

“จนอ๋องเจี่ยนกับเหล่าราชเลขาธิการช่วยกันโน้มน้าว ฝ่าบาทถึงตกลง”

 

“อ๋องเจี่ยนกับเหล่าราชเลขาธิการพากันตามฝ่าบาทและไทเฮาไปที่ตำหนักเหรินโซ่วแล้ว อีกเดี๋ยวจะประทับตราพร้อมกัน และประกาศไปทั่วหล้า”

 

“นี่ก็เพราะวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วอยู่ห่างจากตำหนักเหรินโซ่วไกลเกินไปแล้วไม่ใช่หรือ? ฝ่าบาทจึงให้ฮูหยินทุกท่านไปอวยพรวันเกิดไทเฮาที่ตำหนักอี๋อวิ๋น ที่นั่นอยู่ใกล้ตำหนักเหรินโซ่ว แบบนี้ไทเฮาจะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาที่วัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วเช่นกัน…”

 

————————————–

 

 

[1] ปี้สี่ = ทัวร์มาลีนสีเขียว

Related

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ
Status: Ongoing
แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset