ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 14 ติดต่อไม่ได้

ตอนที่  1 4  ติดต่อไม่ได้

เช้าวันนี้ หลังจากแม่ยายของฉีเล่ยทำอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ร้องเรียกลูกเขย และลูกสาวให้มาร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า หลังจากนั้น เฉินอวี้หลัวก็ได้แต่งตัวออกไปทำงานตามปกติ

แม่ยายของฉีเล่ยนั้นมีชื่อเดิมว่าซูชางฉิน และเธอก็แต่งเข้าสกุลเฉินตั้งแต่อายุสิบแปดปี เริ่มตั้งท้องเฉินอวี้หลัวเมื่ออายุสิบเก้า

ใครๆที่เห็นลูกสาวของเธอต่างก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูกสาวของเธอนั้นสวยงดงามเหมือนกับแม่ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะความสวยของเฉินอวี้หลัวนั้น ถอดแบบมาจากซูชางฉินผู้เป็นแม่ไม่มีผิด

เพียงแต่ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีหลังจากสามีของเธอเสียชีวิตลง ใบหน้าของซูชางฉินก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียสามี และความโกรธแค้นในตัวฉีเล่ย ทำให้ใบหน้าของซูชางฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ที่คิ้วทั้งสองข้างของเธอจะไม่ขมวดเข้าหากัน

แต่เวลานี้ นับตั้งแต่ที่ฉีเล่ยมีบุคลิกที่เปลี่ยนไป และกลายมาเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังได้กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวด้วย ทำให้คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันตลอดเวลานั้น ได้คลายออกจากกัน และเวลานี้ ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ ก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนก่อนอีก

ชีวิตใหม่ที่สดใสราวกับฤดูใบไม้ผลินี้ ทำให้ซูชางฉินมีสีหน้าเบิกบาน เอิบอิ่ม และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด จนเพื่อนบ้านที่ไม่รู้อะไร ต่างก็พากันคิดว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้พบรักใหม่อีกครั้ง ..

แต่เมื่อหลายวันก่อน อาวุโสหวู่ได้สั่งให้ลูกชายมาจัดการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านให้ ทำให้เพื่อนบ้านต่างก็เริ่มรู้ว่า ลูกเขยของเธอได้ทำให้สกุลเฉินกลับมามีหน้ามีตาอีกครั้ง

และเมื่อสองวันก่อนที่ซูชางฉินไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนบ้าน ทุกคนต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ทำให้หญิงวัยกลางคนมีความสุขอย่างมาก

หลังจากเก็บโต๊ะอาหาร และล้างถ้วยล้างชามเรียบร้อยแล้ว ซูชางฉินก็ได้เตรียมผลไม้มาให้ฉีเล่ย เธอยกจานผลไม้เข้าไปวางให้ลูกเขยที่โต๊ะ ก่อนจะเดินไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนบ้านเหมือนที่ทำเป็นประจำ

ฉีเล่ยนอนราบอยู่บนโซฟา พร้อมกับหยิบองุ่นในจานใส่ปาก ในขณะเดียวกันก็เล่นกับ ‘จิตวิญญาณ’ ของตัวเองไปด้วย

ฉีเล่ยค้นพบว่า ขีดจำกัดของการรับรู้ทางจิตวิญญาณของตนนั้น อยู่ในรัศมีไม่เกินห้าสิบเมตร ..

ยกตัวอย่างเช่นเวลานี้ เขาสามารถรับรู้ได้ว่า คู่สามีภรรยาข้างบ้านกำลังสอนการบ้านเด็กๆ ส่วนปู่ก็กำลังรดน้ำต้นไม้

แต่เมื่อไกลจากนั้นไป เขาก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย ..

ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงได้คาดเดาเอาว่า หากเขาสามารถฝึกฝนจิตวิญญาณของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่แน่ว่า ความสามารถในการรับรู้ของเขา ก็อาจจะขยายรัศมีออกไปได้ไกลนับพันไมล์เลยก็เป็นได้

“ฮ่าๆๆๆ”

หลังจากที่คิดอะไรเช่นนั้น ฉีเล่ยก็อดที่จะหัวเราะขบขันกับความคิดของตนเองไม่ได้ !

‘นี่ฉันคิดบ้าอะไรเป็นตุเป็นตะกัน ?  เรื่องแบบนั้นมีแต่ในเทพนิยายเท่านั้นล่ะ !’

และในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“ท่านหมอครับ ไม่ทราบว่ากำลังยุ่งอยู่มั๊ยครับ ?  สะดวกที่จะคุยสายกับผมหรือเปล่า ? ”  เสียงของกวนไห่ผิงดังขึ้นจากปลายสาย

ฉีเล่ยตอบกลับไปในทันที “ไม่เลยเถ้าแก่กวน คุณมีอะไรก็พูดมาได้เลย !”

เสียงถอนหายใจของกวนไห่ผิงดังขึ้นจากปลายสาย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลใจ “ท่านหมอครับ คือว่า ..  เช้านี้ผมตื่นขึ้นมา กลับมีอาการไม่สู้ดีนัก ผมก็เลยอยากจะโทรมาถามท่านหมอเรื่องอาการหน่อย ”

ฉีเล่ยทำการฝังเข็มครั้งแรกให้กับกวนไห่ผิงไปเมื่อวันก่อน ต่อให้วันนี้กวนไห่ผิงไม่โทรมา เขาก็ต้องเป็นฝ่ายโทรหากวนไห่ผิงเอง ฉีเล่ยไม่พูดอะไรมาก แต่บอกให้เถ้าแก่กวนมาพบเขาที่บ้านทันที

“ผมอยู่ที่เฟิงจื่อการ์เด้น ล็อค  C6 บ้านเลขที่  502 คุณมาพบผมที่นี่ได้เลย !”

“ครับๆ ขอบคุณครับท่านหมอ ผมจะรีบไปพบท่านหมอเดี๋ยวนี้เลย ! ”

หลังจากวางสายไปไม่ถึงยี่สิบนาที กวนไห่ผิงก็มากดออดประตูหน้าบ้าน และไม่จำเป็นต้องเดินออกไปดู ฉีเล่ยก็รับรู้ได้ว่าเป็นกวนไห่ผิงที่อยู่ด้านนอก

ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นกับความสามารถใหม่นี้ของตนเองเป็นอย่างมาก เพราะหากเป็นเช่นนี้ ในวันข้างหน้า เขาก็จะสะดวกในการระมัดระวังโจรผู้ร้ายได้ง่ายขึ้น

ฉีเล่ยเดินออกไปเปิดประตู และเมื่อเปิดออกไป เขาก็พบกวนไห่ผิงยืนรออยู่ ในมือหอบของมาด้วยมากมาย มีทั้งบุหรี่ ไวน์ อาหารเสริม แล้วก็เครื่องสำอาง แม้กระทั่งของเล่นเด็กก็ยังมี

กวนไห่ผิงฉีกยิ้มให้ฉีเล่ยพร้อมกับทักทายออกไป “ท่านหมอ ผมไม่รู้ว่าที่บ้านท่านหมอจะมีใครอยู่บ้าง แล้วก็ไม่รู้ว่าท่านหมอมีภรรยาหรือยัง ?  ผมก็เลยเตรียมของมาให้ทั้งคนสูงอายุ หญิงสาว แล้วก็เด็กๆด้วย ..”

ฉีเล่ยยิ้มออกมา พร้อมกับยื่นมือไปรับของที่กวนไห่ผิงเตรียมมาให้อย่างเต็มใจ แล้วจึงบอกกับชายวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“เถ้าแก่กวนครับ วันหลังไม่ต้องเกรงใจ ซื้อของมามากมายแบบนี้อีกนะครับ  พวกเราสองคนต่างก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้ว !”

กวนไห่ผิงพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปทันที “ครับๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาบ้านท่านหมอ ก็ต้องมีของติดไม้ติดมือมาบ้าง มันเป็นมารยาทน่ะครับ !”

หลังจากเข้าไปในบ้าน และนำของฝากที่กวนไห่ผิงนำมาให้ไปเก็บแล้ว ฉีเล่ยก็ได้สั่งให้ชายวัยกลางคนถอดเสื้อออก พร้อมกับนอนราบลงบนโซฟา จากนั้น จึงเริ่มฝังเข็มให้กับเขาทันที และขั้นตอนการฝังเข็มก็ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่ฉีเล่ยเคยทำให้ไปเมื่อวันก่อน

หลังจากทำการฝังเข็มให้กับกวนไห่ผิงจนครบทุกขั้นตอนแล้ว ฉีเล่ยกลับรู้สึกว่า ครั้งนี้ตนเองไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหมือนครั้งแรก

และแทบไม่ต้องสงสัย นี่เป็นผลมาจากการที่เขาได้รับแก่นวิญญาณ ที่อยู่ภายในลูกทองแดงเข้าไปนั่นเอง !

หลังจากทำการฝังเข็มจนครบขั้นตอนแล้ว กวนไห่ผิงก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับยืดเส้นยืดสาย แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน

ครั้งนี้ กวนไห่ผิงรู้สึกว่า ร่างกายของเขาเบาสบายกว่าครั้งก่อนมาก !

กวนไห่ผิงหันไปจ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางเคารพนบนอบยิ่งกว่าเดิม

“ท่านหมอ ผ่านไปเพียงแค่ สอง สามวัน ผมกลับรู้สึกว่า ทักษะทางการแพทย์ของท่านหมอล้ำลึกขึ้นกว่าเดิมมาก และความศรัทธาของผมที่มีต่อท่านหมอ ก็เพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ด้วยครับ !”

ฉีเล่ยได้ฟังคำเยินยอซึ่งหน้าแบบนี้ เขาก็ถึงกับเก้อเขินจนหน้าแดง และรีบตอบกลับไปว่า “เถ้าแก่กวนชมผมจนเกินไป ! ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเถ้าแก่กวน ที่มอบลูกทองแดงนั่นให้ผม !”

ในเวลานั้น เป็นช่วยใกล้เที่ยงพอดี ความจริงฉีเล่ยอยากจะเอ่ยปากเชื้อเชิญกวนไห่ผิง ให้อยู่รับประทานอาหารเที่ยงกับเขาด้วย แต่เป็นเพราะแม่ยายของเขาเป็นคนทำอาหาร เขาจึงไม่กล้าที่จะชวนคนแปลกหน้าซึ่งเธอไม่คุ้นเคย ให้มาร่วมทานอาหารในบ้านด้วย และเกรงว่าเธออาจจะไม่พอใจได้

แม้ว่าตอนนี้ซูชางฉินจะเปลี่ยนไปมากแล้ว อีกทั้งยังมองเขาเปลี่ยนไปมากด้วย แต่เพราะสะสมความโกรธแค้นไว้ตลอดแปดปี ฉีเล่ยจึงไม่มั่นใจว่า เธออาจจะกลับไปเป็นอย่างเดิมเมื่อไรอีกก็ได้ ..

ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงได้โทรบอกซูชางฉินว่า เที่ยงนี้เขาจะไม่อยู่บ้าน จากนั้น จึงได้ชวนกวนไห่ผิงออกไปหาอะไรกินข้างนอกแทน

ทั้งคู่เดินออกไปนั่งกินอาหารที่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในบริเวณนั้น พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามอย่าง พร้อมกับสั่งเบียร์มาสองขวด จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งดื่มกิน และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

แต่ในระหว่างนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ ผู้ที่โทรมาก็คือรองประธานหวังของโรงพยาบาลประจำเมืองหนานหยาง ที่ภรรยาของเขาทำงานอยู่นั่นเอง

ทันทีที่ฉีเล่ยกดรับสาย เสียงของรองประธานหวังก็ดังขึ้นทันที “ฉีเล่ย ! อวี้หลัวอยู่กับคุณมั๊ย ? ทำไมวันนี้เธอถึงไม่มาทำงาน ?”

“เอ่อ .. อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ตำหนิอะไรเธอ ! เพียงแต่ว่า บ่ายนี้เธอมีนัดต้องผ่าตัดคนไข้ แต่ตอนนี้ไม่เพียงเธอไม่มาทำงาน ยังไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้อีกด้วย !”

“อะไรกันครับ ?  อวี้หลัวออกไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้วนะครับ ! ”

“แต่จนป่านนี้เธอยังมาไม่ถึงเลย !  และนี่การผ่าตัดก็กำลังจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมงนี่แล้ว .. ”

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะช่วยโทรตามเธอให้นะครับ ! ”

หลังจากวางสายไปแล้ว ฉีเล่ยก็ยังไม่โทรหาเฉินอวี้หลัวในทันที เขาเริ่มรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ

เฉินอวี้หลัวเป็นแพทย์กระดูกที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ โดยปกติ หญิงสาวเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่เป็นอย่างดี เธอไม่เคยทิ้งคนไข้ที่นัดไว้ไปเฉยๆแบบนี้เลยสักครั้ง แต่นี่ไม่เพียงเธอไม่ไปทำงาน แต่ยังละทิ้งการผ่าตัดไปโดยไม่บอกล่าวใครในโรงพยาบาลไว้เลย

ที่ผ่านมา หากมีเรื่องไม่สบายใจอะไรมากจริงๆ หญิงสาวก็จะเขียนใบลาอย่างเป็นกิจลักษณะ เพราะฉะนั้น การที่เธอหายไปเฉยๆแบบนี้ จึงไม่ใช่ปกตินิสัยของเธอเลย

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ฉีเล่ยก็รีบโทรหาเฉินอวีหลัวทันที แต่กลับไม่สามารถติดต่อได้ และดูเหมือนว่าเธอจะปิดโทรศัพท์มือถือทิ้ง

ฉีเล่ยยิ่งมั่นใจว่า ต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเฉินอวี้หลัวอย่างแน่นอน !

ฉีเล่ยกระดกเบียร์ในแก้วเข้าปาก พร้อมกับเริ่มใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ว่า จะเกิดสิ่งใดขึ้นกับหญิงสาวได้บ้าง ?

กวนไห่ผิงที่สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดของฉีเล่ย จึงได้ร้องถามออกไปว่า “ท่านหมอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ ?”

ฉีเล่ยไม่ตอบ แต่กลับผลุนผันลุกขึ้นทันที พร้อมกับหันไปบอกกวนไห่ผิงว่า “ตามผมมาเร็วเข้า !”

หลังจากใคร่ครวญอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ ดูเหมือนฉีเล่ยจะพอคาดเดาอะไรบางอย่างได้ ..

แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างเช่นรถชนอย่างแน่นอน นั่นเพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เธอจะต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แล้วทางโรงพยาบาลก็ต้องโทรแจ้งญาติ แต่จนถึงตอนนี้ ฉีเล่ยเองก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์แจ้งจากโรงพยาบาลเลย ..

แต่สิ่งที่ฉีเล่ยกังวลก็คือการลักพาตัว !

นั่นเพราะโดยปกติ เฉินอวี้หลัวจะเดินทางไปทำงานด้วยรถประจำทาง และเป็นไปได้ว่า ผู้ที่สะกดรอยตามเธอนั้น จะต้องรู้เส้นทางการเดินทางของเธอดี จึงสามารถดักรอเพื่อที่จะจับตัวได้ ..

และนี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉีเล่ยคิดได้ในเวลานี้ ภรรยาของเขาต้องถูกลักพาตัวไปอย่างแน่นอน !

แต่เรื่องราวหลังจากนั้น ฉีเล่ยเองก็ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้อีก เขาไม่รู้ว่า เพราะเหตุใดโทรศัพท์มือถือของเฉินอวี้หลัวถึงไม่สามารถติดต่อได้ ?

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset