ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 16 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (1)

ตอนที่  1 6  ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์  (1)

หลังออกมาจากห้องควบคุมกล้องวงจรปิดแล้ว ฉีเล่ยและกวนไห่ผิงก็กลับมาที่รอที่บ้านก่อน ..

ในเมื่อโจรลักพาตัวประกาศว่า จะเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเองเช่นนี้ ฉีเล่ยจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการรอคอย

เป็นธรรมดาที่โจรลักพาตัวไม่ต้องการจะคุยโทรศัพท์นาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบที่ซ่อน ฉะนั้น ฉีเล่ยจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เขาจะต้องได้รับการติดต่อกลับมาเป็นครั้งที่สองในคืนนี้แน่ !

ฉีเล่ยลังเลอยู่นานว่า จะบอกเรื่องนี้กับตำรวจดีหรือไม่ ?  แต่หลังจากใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผลแล้ว ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง !

ก่อนอื่น คงต้องรอให้โจรลักพาตัวโทรกลับมาหาเขาอีกครั้ง เพื่อแจ้งจำนวนเงิน และถึงตอนนั้น ฉีเล่ยก็จะได้รู้สถานที่ที่พวกมันนัดเอาเงินไปให้ ด้วยข้อมูลเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่า จะสามารถสะสางเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง ..

แต่หากเขาแจ้งตำรวจเรื่องนี้ หลิวไห่หยางก็จะกลายเป็นอาชญากร ที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไปทันที และเมื่อเรื่องนี้ตกไปอยู่ในกำมือของตำรวจ แน่นอนว่า เฉินอวี้หลัวก็จะตกอยู่ในอันตรายที่มากขึ้น

ในระหว่างที่นั่งรอโทรศัพท์นั้น กวนไห่ผิงก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านหมอ ไว้พวกมันโทรมาเมื่อไหร่ ผมจะไปกับท่านหมอเอง !  ถึงแม้ผมจะป่วย แต่ที่ผ่านมาก็ได้ฝึกวรยุทธประจำตระกูลมา นับว่าไม่เสียเปล่าจริงๆ ในที่สุดก็ได้ใช้งานเสียที !”

ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่า วรยุทธของกวนไห่ผิงนั้นลำเลิศเพียงใด ?

แต่ที่แน่ๆ เขาต้องมีทักษะการต่อสู้ที่เหนือกว่าคนทั่วไป แม้ว่าฉีเล่ยจะยังไม่เคยเห็นกวนไห่ผิงใช้วรยุทธที่ตนเองฝึกฝนมาก่อนก็ตาม แต่จากการที่เขาได้ทำการฝังเข็มให้กับชายวัยกลางคนผู้นี้ ก็พอจะทำให้ได้รู้พื้นฐานบางอย่างบ้าง

แม้กล้ามเนื้อตามร่างกายของกวนไห่ผิง จะไม่ใช่กล้ามเนื้อที่ใหญ่โตเหมือนเหล่านักเพาะกายก็ตาม และถึงแม้กล้ามเนื้อของเขาจะมีขนาดเล็ก แต่กลับแข็งแกร่งอย่างมาก

หากไม่ใช่เพราะเส้นลมปราณภายในร่างของกวนไห่ผิงเสียหาย จนทำให้ไม่สามารถเดินลมปราณไปทั่วร่างได้แล้วล่ะก็ ป่านนี้ เขาคงจะไม่ต่างจากเครื่องมือสังหารดีๆนี่เอง !

หากฉีเล่ยสามารถรักษาเส้นลมปราณ และสภาวะหยินหยางไม่สมดุลภายในร่างให้กับกวนไห่ผิงได้แล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้น แม้แต่ฉีเล่ยเองยังไม่มั่นใจว่า เขาจะสามารถเอาชนะชายวัยกลางคนผู้นี้ได้หรือไม่ ?

แม้ว่ามรดกความรู้ที่ฉีเล่ยได้รับจากบรรพชนสกุลเฉินนั้น จะมีเรื่องวิธีการบ่มเพาะกายาอยู่ด้วย รวมทั้งการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่เหนือคนธรรมดาทั่วไป หลังจากที่ได้ดูดซับเอาแก่นวิญญาณเข้าไปนั้น ฉีเล่ยเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะกวนไห่ผิงได้ ..

เวลานี้ ฉีเล่ยเข้าใจแล้วว่า เพระเหตุใดบรรพชนสกุลกวน จึงได้เป็นถึงหน่วยคุ้มภัยระดับต้นๆในอดีตกาล ..

แต่ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยก็ยังคงลังเลใจอยู่ดี ..

นั่นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่า โจรลักพาตัวภรรยาของเขานั้นมีจำนวนกี่คน และดุร้ายโหดเหี้ยมกันแค่ไหน ที่สำคัญ เขาไม่รู้ว่าพวกมันมีอาวุธร้ายแรงชนิดใดกันแน่ ?

และถ้าพวกมันมีปืน ต่อให้กวนไห่ผิงจะเก่งกาจ หรือแข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงต้องตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี !

คลิ๊ก !

ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้น ไม่นานนัก ซูชางฉินก็เดินเข้ามา และทันทีที่เห็นหน้าฉีเล่ย แม่ยายของเขาก็พุ่งเข้าไปจับมือของเขาไว้แน่น พร้อมกับร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ปากก็พร่ำรำพรรณว่า

“ฉีเล่ย อวี้หลัวถูกคนจับตัวไป ! รีบๆหาทางช่วยอวีหลัวเร็วเข้า !”

ฉีเล่ยหันไปมองแม่ยาย พร้อมกับถามขึ้นทันที “แม่รู้เรื่องที่อวี้หลัวถูกคนลักพาตัวไปได้ยังไง ?  พวกมันโทรหาแม่อย่างนั้นเหรอครับ ?”

ซูชางฉินรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา พร้อมตอบฉีเล่ยกลับว่า “ใช่แล้ว !  พวกมันโทรมาข่มขู่ว่า ห้ามไปแจ้งตำรวจ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกมันจะฆ่าอวี้หลัว แล้วก็สับร่างเป็นชิ้นๆ !  ฮือๆๆ”

“ไอ้พวกเลว ! ”

ฉีเล่ยกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่พวกมันโทรหาเขาแล้ว แต่กลับเห็นว่าตนเองไม่มีท่าทีตระหนกตกใจ ก็เลยโทรไปข่มขู่แม่ยายของเขาแทน เพราะถึงอย่างไร ผู้หญิงก็ย่อมอ่อนแอกว่าผู้ชายอยู่ดี การโทรไปข่มขู่ซูชางฉินทำให้พวกมันมั่นใจว่า จะไม่มีการนำเรื่องนี้ไปบอกตำรวจอย่างแน่นอน !

ฉีเล่ยไม่มั่นใจว่า แม่ยายของเขาจะสามารถทนต่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ได้มากเพียงใด ? เขาจึงได้แต่เอื้อมมือไปตบไหล่ซูชางฉินเบาๆ พร้อมกับพูดปลอบประโลมให้เธอคลายความกังวล

“แม่ครับ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ผมจะไปช่วยอวี้หลัวเอง รับรองว่า เธอจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย !”

ซูชางฉินเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบขาดใจ และเวลานี้ เธอก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ด้วยใบหน้าที่มีแต่น้ำตาอาบแก้ม

ฉีเล่ยนั่งคอยโทรศัพท์จนกระทั่งพลบค่ำ แต่จนแล้วจนเล่า โจรเรียกค่าไถ่ก็ยังไม่โทรมาเสียที ทำให้ชายหนุ่มกระวนกระวาย และร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างมาก ..

ในที่สุด เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรงพอดี !

และทันทีที่กดรับ เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นทันที “ขอโทษที่ให้คุณฉีต้องรอนาน เอาล่ะ ..  เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน !  ฉันต้องการเงินค่าไถ่จำนวนยี่สิบล้าน แกนำเงินไปให้ฉันที่ประตูด้านหลังของสวนสาธารณะบีโกเนีย เวลาเที่ยงคืนตรง ! ”

ฉีเล่ยมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ แล้วจึงตอบกลับไปว่า “นี่ก็ทุ่มตรงพอดี แกนัดให้ฉันเอาเงินไปให้ตอนเที่ยงคืน เวลาเพียงแค่ห้าชั่วโมง ฉันจะไปหาจำนวนเงินยี่สิบล้านมาให้แกทันได้ยังไง ?”

“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของฉัน !  อ่อ ..  แกช่วยชีวิตพ่อของหวู่เฉินเทียนไม่ใช่เหรอ ?  แกก็ไปขอยืมเขาสิ เงินแค่ยี่สิบล้านสกุลหวู่ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกน่า !”

“แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าภายในเที่ยงคืน แกยังไม่นำเงินยี่สิบล้านมาให้ฉันล่ะก็ ฉันจะค่อยๆตัดนิ้วของภรรยาแกทิ้งทีละนิ้ว ทุกๆสิบนาที นิ้วมือของเธอก็จะถูกตัดทิ้งไปหนึ่งนิ้ว ..”

ตู๊ดๆๆ

จากนั้น ผู้ที่โทรมาก็กดตัดสายทิ้งทันทีหลังจากพูดจบ ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอกหนักใจ ..

แต่ก็นับว่าโชคดี ที่อีกฝ่ายรีบร้อนที่จะคืนเฉินอวี้หลัวให้ในคืนนี้ ไม่อย่างนั้น ยิ่งหญิงสาวอยู่ในมือของพวกมันนานเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกาย และใจมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อครู่อีกฝ่ายหลุดปากเรื่องที่เขาช่วยชีวิตอาวุโสหวู่ขึ้นมา ทำให้ฉีเล่ยยิ่งมั่นใจว่า คนที่ลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไปก็คือหลิวไห่หยางอย่างแน่นอน นั่นเพราะคนที่รู้เรื่องนี้ มีแต่คนที่อยู่โรงพยาบาลในวันนั้น ..

ในระหว่างที่คุยโทรศัพท์อยู่นั้น มือของฉีเล่ยก็เผลอไปกดโดนปุ่มลำโพงเข้า ทำให้ซูชางฉินได้ยินทุกคำพูดของโจรลักพาตัว เธอจึงยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิม และโผเข้าไปกอดแขนฉีเล่ยแน่น ปากก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า

“ฉีเล่ย ! พวกเราจะทำยังไงดี ? เงินตั้งยี่สิบล้าน พวกเราจะไปหามาจากที่ไหน ?”

ฉีเล่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกชวนขนลุก “แม่ครับ ไม่ต้องห่วง ! ผมจะไม่ปล่อยให้อวี้หลัวเป็นอะไรไปแน่ !”

หลังจากปลอบประโลมซูชางฉิน และพาเธอเข้านอนแล้ว ฉีเล่ยก็ได้เตรียมพร้อม และออกจากบ้านในราวห้าทุ่มตรง

………..

เมื่อไปถึงบริเวณประตูด้านหลังของสวนสาธารณะบีโกเนียแล้ว เขาก็ได้เดินวนอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว

นับว่าโจรลักพาตัวเลือกสถานที่ และเวลาได้อย่างชาญฉลาด นั่นเพราะสวนสาธารณะแห่งนี้ เป็นสวนดอกไม้ที่กำหนดเวลาเข้าชม และจะปิดให้บริการในเวลาสองทุ่มตรง

ฉะนั้นแล้ว หลังเวลาสองทุ่มเป็นต้นไป ที่นี่ก็จะไม่มีผู้คนมาเดินเพ่นพ่านให้เห็นอีกเลย บริเวณนี้จึงกลายเป็นสถานที่ทั้งมืด และเปลี่ยว

ยิ่งไปกว่านั้น ประตูด้านหลังของสวนสาธารณะบีโกเนีย ยังเป็นสถานที่รกร้างอีกด้วย จึงยิ่งไม่มีผู้คนสัญจรไปมา ..

แต่ฉีเล่ยกลับเห็นว่าดี เพราะโดยปกติโจรลักพาตัวมักจะต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก หากนัดกันในสถานที่ที่ยังพอมีคนสัญจรไปมา พวกมันก็อาจหวาดระแวง จนกระทั่งเปลี่ยนใจไม่ปรากฏตัวก็ได้

จนกระทั่งเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสี่สิบนาที ..

ฉีเล่ยก็เห็นแสงไฟปรากฏขึ้น และดูเหมือนแสงไฟนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้บริเวณที่เขาอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด เขาก็เห็นรถมินิแวนสีบลอนซ์คันหนึ่งแล่นเข้ามา และเป็นคันเดียวกันกับที่ลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไปเมื่อเช้านี้

ทันทีที่รถมินิแวนจอด ก็มีชายฉกรรจ์สี่คนก้าวออกมาจากรถ รูปร่างของพวกมันที่สี่คนดูกำยำล่ำสันเป็นอย่างมาก และมีผ้าคลุมปกปิดอำพรางใบหน้าไว้

คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า หันมาร้องตะโกนถามฉีเล่ยว่า “เงินล่ะ ? แกเอามาด้วยมั๊ย ?”

“แน่นอน ! ”

ฉีเล่ยตอบกลับทันที พร้อมกับหยิบซองเงินในกระเป๋ากางเกงออกมาอวด แต่ชายคนนั้นกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก

“นี่แกคงคิดว่าฉันโง่มากสินะ ? ซองเล็กๆแบบนั้น จะใส่เงินสดยี่สิบล้านได้ยังไง ?”

ฉีเล่ยชูซองเงินขึ้น พร้อมตอบโต้กลับไปทันที “นี่ ..  ช่วยใช้สมองคิดหน่อยสิ !  เงินตั้งยี่สิบล้านนะ ฉันจะ มีปัญญาหอบเงินสดมาได้ยังไงกัน ?  นี่มันคือเช็คยี่สิบล้านหยวน .. ”

ชายคนนั้นดูเหมือนจะเห็นด้วยกับฉีเล่ย จึงรีบเดินตรงเข้าไปหา เพื่อที่จะหยิบซองในมืออของชายหนุ่มไป

“เดี๋ยวก่อน !”

ฉีเล่ยดึงมือกลับ พร้อมกับจ้องมองชายคนนั้น และพูดขึ้นว่า “ฉันนำเงินมาให้ตามสัญญาแล้ว แต่ตอนนี้คนอยู่ที่ไหน ?”

ชายคนนั้นโบ้ยปากไปทางรถมินิแวน พร้อมตอบกลับไปว่า “คนก็อยู่ในรถยังไงล่ะ ถ้าแกอยากจะเห็น ก็ตามฉันมา !”

ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มหยันอยู่ในใจ นั่นเพราะเขาเห็นแล้วว่า เฉินอวี้หลัวไม่ได้อยู่ในรถคันนั้น คนพวกนี้กำลังหลอกเขา เขารู้ว่า ถ้าตนเองเดินเข้าไปใกล้รถคันนั้น เขาก็จะถูกพวกมันลากขึ้นรถ และพาตัวออกไปจากที่นี่

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เพราะเขาเองก็กำลังรอให้พวกมันทำแบบนั้นอยู่แล้ว !

ฉีเล่ยกำซองจดหมายไว้ในมือแน่น และแกล้งทำเป็นมองไปทางรถมินิแวนอย่างระมัดระวัง ปากก็ร้องถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ

“ภรรยาของฉันอยู่ข้างในแน่นะ ? ฉันอุตส่าห์นำเช็คยี่สิบล้านมาแลกกับภรรยาแล้ว หวังว่าแกเองก็จะรักษาสัญญา ปล่อยภรรยาของฉันมา หลังจากได้เช็คนี้ไปแล้ว !”

ชายผู้นั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ “พวกเราก็แค่อยากได้เงิน อีกอย่าง การฆ่าคนตายก็จะยิ่งสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับพวกเรา ! ”

ฉีเล่ยพยักหน้า และตอบกลับไปทันที “ตกลง ! ถ้าอย่างนั้นก็พาฉันไปดูที่รถ หลังจากฉันมั่นใจแล้วว่า ภรรยาของฉันอยู่ในสภาพปลอดภัยดี ฉันก็จะมอบเช็คนี่ให้ !”

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ได้เดินไปที่รถมินิแวนพร้อมกับชายฉกรรจ์ทั้งสีคนทันที โดยสองคนเดินนำหน้าเขาไป ส่วนอีกสองคนเดินตามหลัง ภายใต้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้า ทั้งสี่คนกำลังแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย

แต่ที่พวกมันทั้งสี่คนไม่รู้ก็คือ ภายใต้แสงไฟสลัวนั้น รอยยิ้มเยือกเย็นชวนขนหัวลุก ก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉีเล่ยเช่นกัน !

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset