ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 2 หยุดร้องไห้ได้แล้ว

ตอนที่  2  หยุดร้องไห้ได้แล้ว

โจรหนุ่มกระหน่ำแทงมีดสั้นในมือลงไปที่ท้องน้อยของฉีเล่ยครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉีเล่ยก็อาศัยเรี่ยวแรงสุดท้ายที่มี คว้าข้อมือข้างซ้ายของโจรหนุ่มที่กำจี้หยกไว้ พร้อมกับออกแรงง้างฝ่ามือของมันอย่างแรง

และในที่สุด เขาก็สามารถช่วงชิงจี้หยกออกมาจากมือของโจรหนุ่มได้ จากนั้น โจรหนุ่มก็ได้วิ่งหนีไปในทันที !

หลังจากได้สติ เฉินอวี้หลัวก็รีบวิ่งเข้าไปดูฉีเล่ยที่นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นทันที เวลานี้ ชายหนุ่มดูเหมือนจะหมดเรี่ยวหมดแรง พร้อมกับใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปิดแบบแผลที่ท้องของตนไว้ และกำลังรอให้ใครสักคนมาช่วยห้ามเลือดให้กับเขา

ในระหว่างนั้น ฉีเล่ยรู้สึกคล้ายกับว่า ร่างของตนเองเปลี่ยนเป็นเบาหวิววราวกับปุยนุ่น และกำลังล่องลอยไปมาอยู่กลางอากาศ

“อย่าตายนะ !  นายต้องไม่เป็นอะไร ?  ฉันยังไม่อนุญาตให้นายตาย ! ”

เสียงร้องห่มร้องไห้ บวกกับเสียงร้องตะโกนของเฉินอวี้หลัวดังเข้ามาในโสตประสาทของฉีเล่ย น้ำตาของหญิงสาวไหลนองหน้า

เวลาผ่านมานานมากกว่าแปดปี นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้เห็นฉีเล่ยทำอะไรเช่นนี้ แม้ว่าภายในใจของเธอจะยังคงโกรธแค้นฉีเล่ยอยู่ แต่เมื่อเห็นเขากำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เฉินอวี้หลัวก็อดไม่ได้ที่จะร้องห่มร้องไห้ออกมา และรู้สึกเจ็บปวดคล้ายกับว่าหัวใจจะแหลกสลาย

ฉีเล่ยไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากเพียงแค่ยิ้มให้กับเฉินอวี้หลัวเท่านั้น !

ตลอดเวลาแปดปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีเล่ยรู้สึกว่า ตนเองได้ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย และเป็นอิสระที่สุด !

‘เถ้าแก่เฉิน !  ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว .. ’

‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว .. ’

‘เวลานี้ ..  ผมเป็นอิสระแล้ว ! ’

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ

ไม่มีผู้ใดได้เห็นว่า เวลานี้วิญญาณของฉีเล่ยได้ล่องลอยออกจากร่าง ที่กำลังนอนกองอยู่กับพื้นอย่างช้าๆ และค่อยๆล่องลอยขึ้นไปในอากาศ สูงขึ้น และสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันนั้น จี้หยกที่เขากำอยู่ในมือก็ค่อยๆ เปล่งแสงสีทองจางๆออกมา !

วิญญาณที่ล่องลอยออกจากร่างของฉีเล่ยนั้น เวลานี้ได้ถูกแสงสีทองสุกสว่างนั้นดึงดูดเอาไว้ และไม่นานนักแสงสีทองนั้นก็ได้อันตรธานหายไป

เวลานี้ วิญญาณของฉีเล่ยได้ยืนอยู่บนอากาศ และด้านหน้าของเขานั้น ก็มีชายชราผมขาวผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่

“คุณ ..  คุณเป็นใครเหรอครับ ?  นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ”  ฉีเล่ยร้องถามออกมาด้วยสีหน้า และแววตาตื่นตระหนก

“ข้าคือดวงจิตของบรรพชนตระกูลเฉินที่สิงสถิตอยู่ในจี้หยก ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเฉิน .. ”

“ฉีเล่ย ..  เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของเจ้าที่มีต่อตระกูลเฉินของข้า อีกทั้งเจ้าเองก็แต่งเข้าเป็นบุตรเขยตระกูลเฉินแล้ว จึงเสมือนทายาทคนหนึ่งของตระกูลเฉินเช่นกัน .. ”

ชายชราผมขาวโพลนจ้องมองฉีเล่ย พร้อมกับยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า ..

“เพื่อเป็นการตอบแทนความทุกข์กายทุกข์ใจตลอดระยะเวลาแปดปี ที่เจ้าได้รับ  ข้าจะมอ บ ทักษะทาง การแพทย์ที่ล้ำเลิศให้ แก่เ จ้า  และ จะ ขอให้เจ้าช่วยนำพาตระกูลเฉินของข้า ให้กลับมายิ่งใหญ่  และ สง่างามดังเช่นอดีต อีกครั้ง ..”

“แต่เจ้าจะต้องจำให้ขึ้นใจว่า ทักษะวิชาที่ข้าถ่ายทอดให้กับเจ้านั้น หาใช่เพียงเพื่อช่วยกู้ศักดิ์ศรีตระกูลเฉิน แต่ยังเพื่อช่วยเหลือ และสร้างประโยชน์ให้กับโลกใบนี้อีกด้วย ! ”

หลังจากที่ชายชราผมขาวพูดจบแล้ว ร่างของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างเจิดจ้า พุ่งเข้าสู่จุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของฉีเล่ยทันที

ฉีเล่ยรู้สึกราวกับว่าศรีษะของเขานั้นกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง จากนั้น ภาพตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นมืดสนิทขึ้นในทันที

……….

สามชั่วโมงต่อไป ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองหนานหยาง ..

เฉินอวี้หลัวสวมเสื้อกาวน์สีขาวยืนอยู่นอกห้อง และกำลังจ้องมองไปทางร่างของฉีเล่ย ที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียง

แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป แต่ในมือของฉีเล่ยก็ยังคงกำจี้หยกนั้นไว้แน่น กระทั่งแพทย์ที่ทำการรักษาพยายามจะแกะจี้หยกออกจากมือของเขา ก็ยังไม่สามารถทำได้

เฉินอวี้หลัวรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ระหว่างที่พักกลางวัน เธอจึงได้พยายามเดินออกไปนอกโรงพยาบาล เพื่อหาซื้อของให้จิตใจสงบ

แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะจิตใจของเธอยังคงจดจ่ออยู่กับชายหนุ่มที่เธอโกรธแค้น และเฝ้าข่มเหงรังแกเขามาตลอดระยะเวลาแปดปีว่า จะตายอย่างน่าเวทนาหรือไม่ ?

เพราะเหตุใดเธอถึงได้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง แล้วก็โศกเศร้าขนาดนี้ เมื่อคิดว่าเขาจะต้องตายไปจริงๆ ?

เฉินอวี้หลัวได้แต่ได้แต่สูดลมหายใจเข้า เพื่อให้ความรู้สึกว้าวุ่นสับสนต่างๆ ภายในใจสงบลง แล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องตรวจของตนเอง

พยาบาลสาวที่เดินผ่านมาพอดี จึงได้เดินเข้าไปกระซิบถามเฉินอวี้หลัวว่า “คุณหมอคะ นี่สามีของคุณเป็นคนเก็บเศษขยะจริงๆเหรอคะ ?”

แม้เพื่อนๆที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน จะรู้ว่าเฉินอวี้หลัวแต่งงานแล้ว แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าสามีของเธอเป็นใคร และทำงานทำการอะไร ?

ฉะนั้น เมื่อทุกคนได้รู้ว่า สามีของเฉินอวี้หลัวนั้น แท้จริงเป็นเพียงแค่คนเก็บเศษขยะตามท้องถนน เพื่อนร่วมงานต่างก็พากันตกอกตกใจไม่น้อย

หลังจากที่เฉินอวี้หลัวเดินจากไปได้ไม่นานนัก ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกตัว คิ้วทั้งสองบนใบหน้าซีดขาวของเขาขมวดเข้าหากันแน่น หลังจากรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตามบาดแผล

แต่แล้วจู่ๆ ฉีเล่ยก็ลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน พร้อมกับลืมตาขึ้นในทันที แต่แล้วแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาทั้งสองข้างของเขา

ฉีเล่ยหายใจหอบเล็กน้อย ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้น และกดลงไปบนจุดฝังเข็มสองสามแห่งกลางศรีษะของตนเอง ก่อนจะค่อยๆลูบไล้ไปมา จากนั้นอาการวิงเวียนศรีษะรุนแรงของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที

ภาพของชายชราผมขาวโพลน และภาพการแพทย์ที่ล้ำลึกพลันปรากฏขึ้นในห้วงมโนของฉีเล่ย เขาเริ่มรู้สึกว่า เรื่องราวที่คล้ายกับความฝันก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ

ฉีเล่ยเข้าใจได้ทันทีว่า นับแต่นี้ต่อไป เขาและสกุลเฉินจะไม่สามารถแยกขาดจากกันได้อีกแล้ว การปกป้องสกุลเฉินเป็นความปรารถนาสุดท้ายของบรรพชนตระกูลเฉิน และได้กลายมาเป็นภารกิจของเขาเช่นกัน !

ดวงจิตนั้นได้บรรจุความทรงจำ และทักษะทั้งหมดตลอดชีวิตของบรรพชนสกุลเฉินท่านนั้นไว้ ฉีเล่ยรู้สึกราวกับว่า เขากำลังเฝ้ามองบรรพชนสกุลเฉินท่านนั้น กำลังค่อยๆฝึกฝนไต่เต้าขึ้นไปทีละขั้น จากจุดที่อ่อนแอสุด ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่ง จนกระทั่งไปถึงจุดสูงสุดได้

ฉีเล่ยสัมผัสได้ว่า สภาพจิตใจของเขาในเวลานี้ แตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง !

เขารับรู้ได้ว่า บาดแผลที่ถูกแทงบริเวณท้องน้อยนั้น ค่อยๆได้รับการรักษาจากวิชาการแพทย์ที่ลี้ลับอยู่อย่างเงียบๆ พร้อมๆกับการที่เขาค่อยๆซึมซับมรดกของบรรพชนสกุลเฉินเข้าไปในร่างด้วย

ไม่เพียงแค่จิตใจเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เวลานี้ ฉีเล่ยยังสัมผัสได้ถึงร่างกายของตนที่เริ่มเปลี่ยนไป และแตกต่างจากเดิมมาก เวลานี้ เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นไม่เพียงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก แต่ดูเหมือนจะสง่างามขึ้นด้วย

ฉีเล่ยก้าวลงจากเตียงรักษาคนไข้ และเดินออกไปจากห้องด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคง ..

‘สิ่งใดที่บรรพชนสกุลเฉินสามารถทำได้ เวลานี้ฉันเองก็สามารถทำได้เหมือนกัน ! ’

“หลีกทาง !  หลีกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ! ”

ในระหว่างนั้น เสียงร้องตะโกนก็ดังมาจากด้านหลังของฉีเล่ย ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งตึงตัง พร้อมกับเปลคนไข้ที่ถูกเข็นเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ฉีเล่ยซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กับกลุ่มเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาล ซึ่งกำลังช่วยกันเข็นเปลผู้ป่วยเข้ามานั้น จึงได้แต่หันไปดู พร้อมกับหรี่ตามองอย่างลืมตัว

ดวงไฟสีแดงหน้าห้องฉุกเฉินสว่างขึ้น ทั้งหัวหน้าแพทย์ และหมออีกหลายๆคนในแผนกต่างๆของโรงพยาบาล ต่างก็พากันมายืนล้อมร่างของชายวัยกลางคน ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่กำลังยืนอยู่ข้างผู้ป่วยในเปล และใบหน้าของคนอื่นๆ ต่างก็บ่งบอกถึงความกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด

ฉีเล่ยเองที่ยังคงอยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล ได้แต่ยืนฟังบุคลากรทางการแพทย์สนทนากัน และในที่สุดก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ผู้ป่วยที่เพิ่งถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินเวลานี้ ก็คืออาวุโสหวู่ เป็นพ่อของผู้ที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในเมืองหนานหยาง ซึ่งก็คือหวู่เฉินเทียนนั่นเอง และก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมง ชายชราก็ได้เป็นลมหมดสติไปโดยไม่รู้สาเหตุ ..

ชายวัยกลางคนหน้าสี่เหลี่ยมที่ทุกคนต่างก็พากันรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ ก็คือเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหนานหยาง ที่ชื่อว่าหวู่เฉินเทียนนั่นเอง !

“คุณหวู่ครับ ไม่ต้องกังวลใจไปครับ !  มีคุณหมอหลิวดูแลรักษาให้แบบนี้ รับรองได้ว่าไม่มีอันตรายแน่นอนครับ ! ”

คนที่กำลังปลอบประโลมหวู่เฉินเทียน ให้คลายความกระวนกระวายร้อนใจอยู่นี้ ก็คือรองประธานหวังนั่นเอง

เวลานี้ประธานของโรงพยาบาลไม่อยู่ เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นภายในโรงพยาบาลเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นรองประธานของโรงพยาบาล แน่นอนว่าเขาย่อมต้องออกมารับหน้าแทน

หวู่เฉินเทียนเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ..

…………

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปราวยี่สิบนาทีได้ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก คุณหมอหลิวเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

“คุณหมอหลิว พ่อของผมเป็นยังไงบ้าง ? ”  หวู่เฉินเทียนพุ่งเข้าไปจับมือคุณหมอหลิวไว้ พร้อมกับร้องถามด้วยสีหน้า และน้ำเสียงกระวนกระวายใจอย่างมาก

“คุณหวู่ครับ ..  ผม ..  ขอโทษด้วย คือพวกเรา ..  พวกเราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ! ”

แต่ยังไม่ทันที่คุณหมอหลิวจะพูดจบประโยคดี หวู่เฉินเทียนก็ได้ผลักร่างของหมอหลิวออก แล้ววิ่งตรงเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที !

รองประธานหวังได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาเกือบจะเข่าทรุด และล้มลงไปกองกับพื้น นั่นเพราะหากทางโรงพยาบาลไม่สามารถช่วยชีวิตอาวุโสหวู่ได้ เขาคงจะไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่จะตามมาได้

ไม่ใช่เพียงเพราะว่าหวู่เฉินเทียนเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหนานหยางเท่านั้น แต่ฐานะของอาวุโสหวู่นั้น ใช่ว่าจะมีใครยอมให้เป็นอะไรไปได้ง่ายๆ

“รองประธานครับ ผม ..  ผมได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก่อนที่อาวุโสหวู่จะมาถึงโรงพยาบาล ท่าน ..  ท่านได้สิ้นลมไปก่อนหน้านั้นแล้ว .. ”  คุณหมอหลิวระล่ำระลักอธิบายให้รองประธาน ที่ยืนหน้าซีดเผือดฟังทันที

“พ่อ…”  เสียง กรีดร้องด้วยความเสียอกเสียใจ ดังออกมาจากห้องฉุกเฉิน

หวู่เฉินเทียนคุกเข่าลงข้างเตียงของอาวุโสหวู่ พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาเสียงดังอย่างไม่อายใคร

รองประธานหวังเองก็ได้แต่ยืนส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจ เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี หลังจากหันไปมองหน้าหมอหลิว ทั้งคู่ก็ถอนหายใจใส่กันอีกครั้ง

“เอาล่ะ !  หยุดร้องไห้ได้แล้ว ขืนคุณยังเอาแต่ร้องไห้อยู่แบบนี้ ชายชราตรงหน้าคงจะต้องตายจริงๆแน่ ! ”

ฉีเล่ยเดินเข้ามาเข้าไปยืนข้างเตียงผู้ป่วย พร้อมกับใช้ปลายนิ้วสัมผัสข้อมือของชายชราที่กำลังนอนแน่นิ่ง ในขณะเดียวกันก็ร้องบอกหวู่เฉินเทียนให้หยุดร้องไห้

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset