ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 24 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่ง

ตอนที่ 24 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่ง

 

“มาแล้ว! มาแล้ว!”

 

เสียงร้องตะโกนของใครบางคนดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนที่ยืนอยู่กลางสนาม ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างก็ยึดกายตรงในทันที แล้วเสียงพูดคุยกันหนวกหูก็พลันเงียบกริบทันที

 

รถออดี้สีดําเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ และยังไม่ทันที่รถยนต์จะจอดสนิทดี จ้าวโจวเฉินก็รีบพุ่งไปข้างหน้าทันที ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ พร้อมกับยิ้มอย่างประจบประแจง

 

“อ้าว! ผู้อํานวยการจ้าว นี่ถึงกับต้องลงมาต้อนรับด้วยตัวเองเชียวเหรอ?”

 

คนที่เดินออกมาไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่กลับเป็นผู้อํานวยการกรมอนามัยประจํามณฑลหนานเจียง ที่ชื่อว่าโจวเหอ!

 

และทันทีที่โจวเหอก้าวลงจากรถ เขาก็หันไปถามผู้อํานวยการจ้าวว่า “นี่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งยังมาไม่ถึงอีกอย่างนั้นเหรอ?”

 

จ้าวโจวเฉินโน้มศรีษะลง และตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางเคารพนบนอบ “ยังเลยครับ! แต่ผมสอบถามไปแล้ว อีกไม่นานก็คงจะมาถึง!”

 

โจวเหอที่เพิ่งก้าวลงจากรถ ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมปราศจากรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็รอเขามาพร้อมกัน!”

 

ในฐานะที่เป็นผู้บริหารระดับสูงกรมอนามัยประจํามณฑลหนานเจียง โจวเหอจึงค่อนข้างถูกกดดันจากเรื่องนี้มาก และทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าจ้าวโจวเฉิน เขาก็จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

 

“หึ! ตั้งแต่รักษาภรรยาท่านผู้ว่ามา ก็มีแต่เรื่องให้ฉันต้องปวดหัวเวลานี้ สถานการณ์กลับดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น นี่ถ้าฉันรู้แกไม่เอาไหนแบบนี้ แค่โรคท้องเสียธรรมดาๆยังรักษาไม่ได้ ถึงกับปล่อยจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้แล้วล่ะก็ ฉันคงจะไม่แต่งตั้งแกเป็นผู้อํานวยการแน่!”

 

โจวเหอได้แต่กร่นด่าผู้อํานวยการจ้าวอยู่ในใจ แต่เพียงแค่ไม่กี่นาที รถตํารวจก็แล่นเข้ามาด้านใน

 

ครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นรถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งจริงๆ ทุกคนในที่นั้นต่างก็แยกไปตั้งแถวต้อนรับ โดยที่ไม่ต้องให้ใครออกคําสั่ง และหากไม่ใช่เพราะคุณหมอจางลากเขาไปด้วยแล้วล่ะก็ ฉีเล่ยไม่มีทางที่จะไปยืนตั้งแถวด้วยแน่ๆ

 

และทันทีที่รถตํารวจหยุดลง ทั้งโจวเหอและจ้าวโจวเฉินก็ได้เดินออกไปด้านหน้าทันที เพื่อเตรียมต้อนรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งที่เพิ่งมาถึง

 

และทันทีที่ประตูรถเปิดออก เสียงปรบมือก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ

 

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งในวัยห้าสิบ ค่อยๆก้าวลงจากรถ ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมนั้นมีแว่นตากรอบดําหนาเตอะสวมอยู่ ผมบนศรีษะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนค่อนข้างถือเนื้อถือตัว

 

“ท่านหมอหลีมาได้ทันเวลา ขอบคุณมากนะครับ!”

 

จ้าวโจวเฉินเดินผสานมือไว้ข้างหน้า พร้อมกับโน้มลงพูดจาอย่างมีมารยาท “ผมของอนุญาตแนะนํานะครับ นี่คือผู้อํานวยการกรมอนามัยประจํามณฑหนานเจียง ชื่อว่าโจวเหอครับ! ผู้อํานวยการโจวมารอต้อนรับท่านหมอหลีด้วยตัวเองเลยนะครับ!”

 

“ขอบใจๆ แต่ไม่จําเป็นเลย วันหลังไม่ต้องทําอะไรแบบนี้ก็ได้” ชายชราตอบกลับพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขานั้นไม่บ่งบอกว่าสนใจกับการประจบประแจงเลยแม้แต่น้อย

 

จากนั้น จ้าวโจวเฉินจึงได้หันไปพูดกับโจวเหอว่า “ท่านนี้คือท่านหมอหลี่ ท่านเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารที่เก่งที่สุดของประเทศ และยังเป็นสมาชิกของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีนอีกด้วย ทั้งยังได้รับรางวัลความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยังได้รับเงินทุนพิเศษจากรัฐบาล ในฐานะนักวิชาการจากลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ปัจจุบันยังดํารงตําแหน่งเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชายประจํารัฐสภาด้วยครับ..”

 

หลังจากที่ผู้อํานวยการโจวแนะนําอย่างเป็นทางการแล้ว โจวเหอก็รีบยื่นมือออกไปเชคแฮนด์กับท่านหมอหลี่ทันที

 

“ยินดีต้อนรับครับอาวุโสหลี่! อาวุโสหลี่มาด้วยตัวเองแบบนี้ ทางเรารู้สึกคลายกังวลไปได้มากทีเดียวครับ!”

 

สีหน้าท่าทางของโจวเหอเวลานี้ ทั้งกระตือรือร้น และถ่อมเนื้ออ่อนตัวเป็นอย่างมาก ดูไม่เหมือนกับกําลังต้อนรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่คล้ายกับกําลังต้อนรับผู้นําประเทศเลยทีเดียว

 

ท่านหมอหลี่เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับไปว่า “เอาล่ะๆ อย่ามัวแต่พูดเรื่องไร้สาระอยู่เลย พวกเรารีบไปคุยกันเรื่องอาการของคนไข้จะดีกว่า”

 

“ครับๆ”

 

โจวเหอพยักหน้าหงึกๆ และรีบหันไปสั่งจ้าวโจวเฉินทันที “ผู้อํานวยการโจว ยังไม่รีบรายงานอาการคนไข้สําคัญให้อาวุโสหลี่ทราบอีก!”

 

จ้าวโจวเหินรีบเดินเข้าไปหาท่านหมอหลี่เพื่อที่จะรายงาน แต่เมื่อเขาเดินไปถึง ท่านหมอหลีก็เดินเอามือไขว้หลังเข้าไปในอาคารพร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“เดินไปคุยไปก็แล้วกัน!”

 

ทั้งโจวเหอและจ้าวโจวเฉิน ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็น ทั้งคู่รีบเดินตามอาวุโสหลีที่เดินดุมๆ เข้าไปในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

 

จากนั้น คณะแพทย์ และบุคลากรแผนกต่างๆที่พากันลงมาต้อนรับในสนาม ก็ได้เดินตามทั้งสามคนเข้าไปที่ตึกผู้ป่วยในทันที

 

ฉีเล่ยถูกบีบจนต้องไปเดินรั้งท้าย เขาอยากจะได้ฟังอาการคนไข้ แต่โชคร้ายที่อยู่ห่างไกลท่านหมอหลีไปมาก เขาจึงได้ยินเสียงพูดของจ้าวโจวเฉินได้ไม่ชัดเจน และในขณะเดียวกัน หมอจางยังเอาแต่พล่ามเรื่องฐานะของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ให้เขาฟังไม่หยุดอีกด้วย

 

ท่านหมอหลีนั้นชื่อเต็มว่าหลี่ฮั่วเฉิน นอกจากจะเป็นสมาชิกของสภาสาธารณสุขแห่งชาติแล้ว เขายังมีฐานะเป็น “แพทย์หลวง” ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแล้วสุขภาพของผู้นําในประเทศและต่างประเทศ

 

หลี่ฮั่วเฉินมีลูกศิษย์ลูกหากระจายอยู่แทบทุกระดับของสถาบันการแพทย์ และสาธารณสุขแห่งชาติ และศิษย์คนหนึ่งของเขายังเป็นถึงรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุขอีกด้วย

 

หลังจากที่ได้ฟังคําบอกเล่าจากปากจางฝู ฉีเล่ยจึงได้เข้าใจว่า เพราะเหตุใดผู้อํานวยการโจว และคณะแพทย์ของโรงพยาบาลถึงกับต้องลงมาต้อนรับมากันมากมายขนาดนี้!

 

ห้องของผู้ป่วยคนสําคัญนี้ อยู่ชั้นบนสุดของอาคารผู้ปวยใน และหน้าทางเข้าก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่ถึงสองคน

 

ที่โรงพยาบาลทหารประจํามณฑลนั้น ปกติเตียงมักจะเต็มอยู่เสมอ บางครั้งมีคนไข้แน่นจนกระทั่ง ต้องจัดเตียงชั่วคราวไว้ที่ระเบียงด้านนอกวอร์ด เพื่อให้คนไข้ระดับล่างได้นอนพักรักษา

 

ตรงข้ามกับห้องส่วนตัวชั้นบนสุดนี้ นอกจากจะมีพื้นที่กว้างขวาง แล้วยังมีลิฟท์ส่วนตัวสําหรับขึ้นมาถึงชั้นนี้โดยเฉพาะด้วย เรียกได้ว่า หากคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นมาถึงชั้นนี้ได้โดยเด็ดขาด

 

เวลานี้ ฉีเล่ยสวมใส่เสื้อกราวน์ของโรงพยาบาลทหารแห่งนี้ และมีบัตรประจําตัวติดอยู่ที่หน้าอก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียงแค่สํารวจมองด้วยสายตาเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้เขาเดินตามเข้าไปด้านใน

 

ทันทีที่ฉีเล่ยก้าวเข้าไปนั้น สิ่งที่เขาประทับใจที่สุดก็คือ ความใหญ่โตของห้องผู้ป่วย!

 

ห้องทั้งห้องนี้มีเนื้อที่กว้างกว่าหนึ่งร้อยตารางเมตร ซึ่งแบ่งเป็นห้องพักผู้ป่วย ห้องสําหรับญาติอีกสองห้อง และห้องสําหรับพยาบาลที่ดูแลอีกหนึ่งห้อง แล้วยังมีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่มากอีกด้วย ทุกห้องลัวนตกแต่งไว้อย่างหรูหรา เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้มีทั้งบุหนังชั้นดี และทําจากไม้มะฮอกกานี

 

เรียกได้ว่า ภายในห้องชั้นบนนี้ มีเครื่องเรือนครบครันแทบทุกประเภท ดูๆแล้วหรูหรา และใหญ่โตกว่าห้องสวีทของโรงแรมระดับห้าดาวเสียอีก

 

แน่นอนว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในห้องนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากภรรยาของผู้ว่าไต่คุณที่ชื่อว่าหลิวเฟิงเจิ้น ทั้งสองสามีภรรยาจึงมีฐานะเป็นบุคคลระดับสูงประจํามณฑล ในเมื่อหลิวเฟิงเจิ้นป่วย และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารแห่งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนที่เกี่ยวข้อง จึงต่างรู้สึกกดดันไปตามๆกัน

 

และเมื่อเข้าไปในห้องคนไข้แล้ว โจวเหอจึงรีบไปรายงานหลิวเฟิงเจิ้นทันที

 

“คุณนายหลิวครับ วันนี้ผมมีข่าวดีจะมาบอก ท่านอาวุโสหลี่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งมาถึงแล้ว อีกไม่นายคุณนายหลิวก็คงจะหายดีแล้วล่ะครับ ไม่ต้องกังวลใจไป!”

 

ในขณะที่จ้าวโจวเฉินนั้นกลับยืดอกขึ้น พร้อมกับชี้ไปข้างเตียงคนไข้ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

“การให้น้ำเกลือเป็นเรื่องสําคัญมาก ทําไมถึงไม่มีพยาบาลมาคอยดูแลที่นี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง!”

 

ฉีเล่ยฟังแล้วก็อดที่จะกร่นด่าในใจไม่ได้ “ไร้สาระที่สุด! เป็นถึงผู้อํานวยการซะเปล่า แต่กลับมาสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการให้น้ำเกลือ แทนที่จะสนใจเรื่องหยูกยาที่ให้คนไข้!”

 

ระหว่างนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็กําลังสวมถุงมือปลอดเชื้ออย่างใจเย็น ในระหว่างนั้นก็ได้ทบทวนข้อมูลที่ได้รับรายงานมาจากจ้าวโจวเฉินไปด้วย

 

“มีไข้สูงตลอดเวลา ถ่ายไม่หยุด แต่กลับตรวจไม่พบเชื้ออะไร ดูเผินๆคล้ายกับมีปัญหาเรื่องลําไส้”

 

หลังจากสวมใส่ถุงมือเสร็จแล้ว หลี่ฮั่วเฉินก็เดินไปยืนข้างเตียงคนไข้ เขาหันขวดน้ำเกลือด้านที่มีฉลากปิดอยู่ออกมา เพื่อดูว่าในน้ำเกลือนั้นผสมตัวยาอะไรไปบ้าง

 

จากนั้น จึงค่อยๆก้มลงสํารวจเนื้อตัวของคนไข้บนเตียงอย่างละเอียด ก่อนจะทําการเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างของผู้ป่วยดู แล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”

 

“เหนื่อย หนาว แล้วก็ไม่มีเรี่ยวมีแรงค่ะ”

 

หลิวเฟิงเฉินตอบกลับเสียงเบา เห็นได้ชัดว่า เวลานี้เธอแทบไม่หลงเหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะพูด เนื่องจากท้องเสียถ่ายไม่หยุด เธอเหนื่อยล้าแล้วก็อ่อนแรงมา แต่หลังจากที่ท่านหมอหลี่เอ่ยถาม เธอจึงได้พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่พอมี เอ่ยตอบกลับไป

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset