ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 29 หลับสนิท

ตอนที่ 29 หลับสนิท

 

ในขณะที่หลี่ฮั่วเฉินกําลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฉีเล่ยก็เขียนใบสั่งยาเสร็จพอดี หลังจากที่ตรวจทานอีกครั้งว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็ได้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับยื่นใบสั่งยาฉบับนั้นให้กับหลี่ฮั่วเฉินด้วยกิริยาถ่อมเนื้อถ่อมตัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“ท่านหมอหลี่ครับ ได้โปรดช่วยตรวจทานอีกครั้งว่า ใบสั่งยาฉบับนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?”

 

การแสดงออกของฉีเล่ย เหนือความคาดหมายของหลี่ฮั่วเฉินเป็นอย่างมาก!

 

นั่นเพราะหากจะพูดกันตามตรง เขาเป็นแพทย์เฉพาะทางแผนปัจจุบัน มีหรือที่จะเข้าใจทักษะทางการแพทย์แผนจีนได้อย่างกระจ่างแจ้ง?

 

แต่ท่าทางการแสดงออกของฉีเล่ยเวลานี้ ได้ทําให้หลี่ฮั่วเฉินพอใจเป็นอย่างมาก และความรู้สึกไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็ได้อันตรธานหายไปในทันที!

 

“อืมม ใบสั่งยาฉบับนี้สมบูรณ์ดี!”

 

หลี่ฮั่วเฉินรับใบสั่งยามาอ่านดู ก่อนจะพยักหน้า และตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เอาล่ะๆ รีบนําใบสั่งยาฉบับนี้ไปจัดยามาได้เลย!”

 

จากนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็ได้ยื่นใบสั่งยาฉบับนั้นคืนให้กับฉีเล่ย หลัง จากชายหนุ่มรับไปแล้ว ก็ได้พูดขึ้นว่า

 

“ในเมื่อท่านหมอหลี่เห็นด้วยแบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก!”

 

หลี่ฮั่วเฉินยืนเอามือไพล่หลังเช่นเคย และเวลานี้ เขาก็รู้สึกสบายใจ แล้วก็มีความสุขอย่างมาก ภายในใจก็แอบคิดว่า

 

“หมอหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! แม้จะมีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศ แต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตนไม่เย่อหยิ่งจองหอง!”

 

หลี่ฮั่วเฉินนึกเปรียบเทียบกับตนเอง ในสมัยที่ยังหนุ่มยังแน่นเหมือนกับฉีเล่ย เขาเองก็ไม่ได้สง่างามเหมือนอย่างที่ชายหนุ่มเป็นอยู่ นเวลานี้เลย หลี่ฮั่วเฉินรู้สึกว่า นายแพทย์หนุ่มคนนี้ช่างน่าจับตามองอย่างมาก!

 

จ้าวโจวเฉินถึงกับกังวลใจ เพราะเขายังไม่มีโอกาสแสดงฝีมือให้หลี่ฮั่วเฉินได้เห็นเลยแม้แต่น้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผู้อํานวยการโจวก็ตัดสินใจก้าวเท้าออกมาข้างหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“ท่านหมอหลี่ครับ เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของคนไข้ พวกเราควรจะปรึกษาหารือกันก่อนดีมั้ยครับ? ในโรงพยาบาลของเราก็มีแพทย์แผนจีนอยู่หลายคน ผมจะเรียกพวกเขาขึ้นมาให้ความเห็นเพิ่มเติม…..”

 

หลังจากที่ได้ยินคําพูดของผู้อํานวยการจ้าว หลิวเฟิงเจิ้นก็โกรธจนแทบอยากจะลุกขึ้นไปตบหน้าเขาสักสองสามที่

 

“หึ! ฉันนอนอยู่ในโรงพยาบาลตั้งนาน ทั้งที่โรงพยาบาลก็มีหมอแผนจีน แต่กลับนิ่งเงียบไม่แนะนําให้ฉันรักษาด้วยวิธีนี้ มิหนําซ้ํายังยืนยันว่า ต้องรักษาด้วยการให้ยาเท่านั้น นี่เห็นฉันเป็นตัวตลกหรือยังไงกัน?”

 

“ไม่จําเป็น! ไม่ต้องปรึกษาหารืออะไรอีกแล้ว! ฉันจะกินยาตามใบสั่งยาของคุณหมอท่านนี้!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก จึงได้ร้องตะโกนแทรกขึ้นมา เธอได้แต่คิดในใจว่า “ขืนฉันเชื่อหมอพวกนี้อีก คงต้องนอนอยู่โรงพยาบาลอีกนานแน่!”

 

หลี่ฮั่วเฉินเองก็รู้สึกไม่พอใจกับท่าทางของจ้าวโจวเฉินเช่นกัน จึงได้ร้องถามออกไปว่า

 

“ทําไมยังต้องปรึกษาหารืออีก? เสียเวลา! ในเมื่อผมก็ดูใบสั่งยานั่นแล้ว และเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร! หรือคุณคิดว่าการตัดสินใจของผมไม่น่าเชื่อถือ? นี่คุณคลางแคลงในความสามารถของผมงั้นเหรอผู้อํานวยการโจว?”

 

จ้าวโจวเฉินยังไม่รู้ตัวว่าการแสดงออกของตนเองเวลานี้ ได้สร้างความไม่พอใจให้กับหลิวเฟิงเจิ้นเป็นอย่างมาก เขาจึงได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยอาการคนไข้ออกมา

 

“คุณหลิวครับ! ผมเป็นคนรับผิดชอบดูแลการรักษาครั้งนี้นะครับ คุณควรจะเชื่อคําพูดของผม!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เธอหันหน้าเมินมองไปทางอื่น และพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชาว่า

 

“ยังจะกล้าเสนอหน้ามาพูด!”

แม้ว่าเสียงของหลิวเฟิงเจิ้นจะไม่ดังนัก แต่ทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินกันชัดเจน จ้าวโจวเฉินถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เวลานี้ใบหน้าของเขาแดงสลับกับซีดขาว และได้แต่ยืนนิ่งทําอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนเองควรจะยืนอยู่ต่อ หรือว่ารีบออกไปจากห้องดี

 

นั่นเพราะวันนี้ เขาถูกทําให้ได้รับอับอายหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งแทบไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีของผู้อํานวยการโรงพยาบาลแล้ว

 

แพทย์คนอื่นๆที่อยู่ในห้อง ต่างก็หันไปมองจ้าวโจวเฉินเป็นตาเดียว!

 

ทุกคนต่างก็นึกประหลาดใจว่า เพราะเหตุใดผู้อํานวยการจ้าวถึงได้ทําอะไรแบบนี้? ในเมื่อเวลานี้ แพทย์ฝึกหัดก็สามารถหาวิธีการรักษาคุณนายหลิวได้แล้ว และหลิวเฟิงเฉินเองก็ดูมั่นอกมั่นใจในตัวนายแพทย์หนุ่มมาก ถึงกับยืนกรานที่จะกินยาตามใบสั่งยาของเขา

 

การที่ผู้อํานวยการโจวกระโดดเข้าไปขัดขวางเช่นนั้น ดูคล้ายกับว่าไม่ได้ห่วงใยอาการของคนไข้เลยแม้แต่น้อย!

 

หลี่ฮั่วเฉินส่ายหน้าไปมา และได้แต่นึกสมเพชจ้าวโจวเฉิน พร้อมกับคิดในใจว่าความรู้ความสามารถแบบนี้ กลับได้เป็นถึงผู้อํานวยการโรงพยาบาลได้อย่างไรกัน?

 

ทางด้านไต่คุนซึ่งอยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอด เขาได้เห็นกระบวนการเริ่มต้นตั้งแต่ที่นี่เลยช่วยให้ภรรยาของตนหายเจ็บปวด จนกระทั่งเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจรักษา การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนของฉีเล่ย ได้เข้ามาทดแทนวิธีการรักษาของท่านหมอหลีได้ทันเวลา ทําให้เขารู้สึกโล่งใจได้เป็นอย่างมาก

 

“ท่านหมอหลี่ ผมต้องขอขอบคุณมากสําหรับวันนี้ หากไม่มีธุระอะไรรีบร้อนที่ปักกิ่ง กรุณาอยู่ที่นี่ต่อสักสองสามวัน ผมจะได้มีโอกาสเลี้ยงรับรองท่านหมอหลี่ เพื่อเป็นการตอบแทนบ้าง!”

 

ท่านผู้ว่าไต่คุนเอ่ยเชื้อเชิญหลี่ฮั่วเฉินด้วยตัวเอง

 

“ท่านผู้ว่าอย่าได้เกรงใจไปเลย! นี่เป็นเรื่องของหน้าที่ความรับผิดชอบ!

 

ท่านหมอหลี่ทําสีหน้าลําบากใจ ก่อนจะพูดต่อทันที “ความจริงผมเองก็ยังอยากจะอยู่หนานเจียงต่ออีกสักสองสามวัน แต่บังเอิญว่ามีเรื่องสําคัญมากคอยผมอยู่ที่ปักกิ่ง…”

ไต่คุนจึงได้เลิกคะยั้นคะยอพร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ไว้รอให้เฟิงเจิ้นอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะให้เธอเดินทางไปขอบคุณท่านหมอหลี่ที่ปักกิ่งด้วยตัวเอง!”

 

“ความจริงแล้ว หากไม่ได้คุณหมอฉีช่วยในวันนี้ ผมเองก็คงจะไม่สามารถทํางานใหญ่นี้ได้สําเร็จ! หากจะขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณคุณหมอหลี่!”

เห็นได้ชัดว่า หลี่ฮั่วเฉินเองก็เป็นคนใจกว้าง และไม่ต้องการที่จะฉกฉวยเอาผลงานของนี่เลยมาเป็นของตัวเอง จึงได้บอกกับไต่คุนไปเช่นนั้น

 

และไม่รู้ว่าตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ทุกคนในห้องต่างก็หันไปมองจ้าวโจวเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหันไปมองหลี่ฮั่วเฉินอีกครั้ง..

 

จ้าวโจวเฉินอับอายจนไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้อีก จึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยกับการรักษาครั้งนี้ ผมขอตัวออกไปดูคนไข้คนอื่นต่อ..”

 

หลังจากพูดจบ ผู้อํานวยการจ้าวก็รีบเดินออกไปจากห้องคนไข้ทันที!

 

ส่วนไต่คุนก็หันไปทางเลขานุการของหลิวเฟิงเจิ้น พร้อมกับสั่งว่า “คุณหวัง เดี๋ยวคุณตามออกไปช่วยคุณหมอฉีจัดยาด้วย!”

แพทย์ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความตกใจ นั่นเพราะเวลานี้ เลขานุการส่วนตัวของภรรยาท่านผู้ว่าไต่คุน กําลังจะเปลี่ยนมาเป็นผู้ช่วยของแพทย์ฝึกหัดคนหนึ่ง

 

“ไม่เป็นไรครับ! เดี๋ยวผมไปจัดการเอง” ฉีเล่ยรีบโบกมือปฏิเสธทันที

 

“เชิญค่ะคุณหมอฉี!”

 

แต่เลขาหวังกลับยกฝ่ามือขึ้นผายออก พร้อมกับโน้มตัวลงเล็กน้อย เป็นการเชื้อเชิญให้ฉีเล่ยเดินออกไปอย่างสุภาพนอบน้อม ฉีเล่ยไม่มีทางเลือก จึงต้องเดินนําออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก

 

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดเลขาหวังก็ได้เดินถือถุงใส่ยากลับมาพร้อมกับฉีเล่ย ซึ่งถือถ้วยยามาในมือ

 

เขาเดินเข้าไปหาหลิวเฟิงเจิ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยานี้ค่อนข้างมีรสขม แต่ผมได้ทําให้อุ่นกําลังพอดี คุณสามารถกระดกเข้าไปรวดเดียวได้ หลังจากทานยาถ้วยนี้แล้ว อาการของคุณก็จะดีขึ้นในทันที”

 

หลังจากได้ยินคําพูดของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินจึงไม่ต้องการรีบร้อนออกไปจากห้องผู้ป่วยนัก เขาอยากอยู่ดูอาการของคนไข้หลังจากที่ได้ดื่มยาถ้วยนี้ก่อน ภายในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า หมอหนุ่มคนนี้ออกจะโอ้อวดไป ต่อไปให้ยาถ้วยนี้จะดีขนาดไหน ก็คงไม่ถึงกับให้ผลที่เห็นทันตาแน่..

 

หลิวเชิงเฉินเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ เธอแตะริมฝีปากกับยาในถ้วยดู และพบว่าอุณหภูมิของยานั้นกําลังอุ่นพอดี ไม่ร้อน แล้วก็ไม่เย็นจนเกินไป สามารถดื่มได้รวดเดียวอย่างที่ฉีเล่ยบอกจริงๆ

 

หลังจากดื่มยาถ้วยนั้นแล้ว เธอก็นอนราบลงไปบนเตียง เพื่อรอดูว่า หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอบ้าง?

 

เวลานี้ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่สีหน้าของหลิวเฟิงเจิ้น และรู้สึกลุ้นไปด้วยอย่างตื่นเต้น

 

สิบนาทีต่อมา เสียงท้องของหลิวเฟิงเจิ้นก็ร้องดังครืดๆ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

 

ดูเหมือนอาการจะแย่ลง!

 

ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากร่าง และได้แต่คิดในว่า “นี่คุณนายหลิวกําลังจะถ่ายอีกครั้งแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

พยาบาลที่ดูแลอยู่รีบวิ่งเข้าไปที่เตียงของหลิวเฟิงเจิ้น เพื่อที่จะช่วยพยุงร่างของเธอไปเข้าห้องน้ํา แต่หลิวเฟิงเจิ้นกลับยกมือขึ้นห้าม เป็นการส่งสัญญาณบอกว่า เธอยังทนไหว..

 

“ไม่ต้องรีบๆ รอดูอีกสักครู่!”

 

ทุกคนในห้องต่างพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และได้แต่รอคอยต่อไปว่า หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น?

 

จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง

 

ไม่เพียงหลิวเฟิงเจิ้นไม่ถ่าย อาการปวดท้องเมื่อครู่นี้ก็ดูเหมือนจะหายไปด้วย เพราะเวลานี้ สีหน้าที่ดูเจ็บปวดเมื่อครู่นั้นค่อยๆจางหายไป คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น ค่อยๆคลายออกจากกัน

 

และท้ายที่สุด สิ่งที่ทุกคนได้ยินก็คือเสียงกรน..

 

คร่อก..

 

หลิวเฟิงเจิ้นนอนหลับสนิท!

 

*********************************************************************

 

เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้าง ฉายาของเขาคือ “นักฆ่าอาซูร่า”

 

ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!!

 

เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศอย่างไร้ที่ติของเขานี้ ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้มากมายอย่างนักไม่ถ้วน

 

และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง

หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่งเช่นนี้ คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสูและถูกเหยียดหยามสินะ?

 

แต่มิใช่หลินหนาน!! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่ง และกลายเป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้

 

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด

 

จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆบ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset