ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 3 ทักษะล้ำเลิศ

ตอนที่  3  ทักษะล้ำเลิศ

เวลานี้ ประสบการณ์ และทักษะตลอดชีวิตของบรรพชนสกุลเฉิน ได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของฉีเล่ยแล้ว

ฉะนั้น เมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดเสียใจของหวู่เฉินเทียน ฉีเล่ยจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยเหลือ และแม้ว่าน้ำเสียงของฉีเล่ยที่พูดออกไปนั้นจะไม่ได้ดังมาก แต่ก็สามารถทำให้เสียงร้องห่มร้องไห้ภายในห้องฉุกเฉินเงียบลงได้ในทันที

“นี่เธอเป็นใคร ?  เข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ยังไง ?  นี่มาจากแผนกไหน ..  แต่ไม่สิ ?  นี่เธอยังสวมชุดคนไข้ของโรงพยาบาลอยู่เลย นี่เธอสติ ไม่ดี หรือเปล่า พ่อหนุ่ม ? ”

“เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหายหัวไปไหนกันหมด ?  ทำไมยังไม่มาห้ามปรามเขาอีก ? ”

หวู่เฉินเทียนยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา แต่รองประธานหวังถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด พร้อมกับร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยความโมโห เพราะชายหนุ่มคนนั้นถึงกับพูดเพ้อเจ้อว่า อาวุโสหวู่ยังไม่ตาย ..

จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน ? นี่ถ้าหวู่เฉินเทียนไปหลงเชื่อคำพูดของคนแบบนั้นเข้า เขาในฐานะรองประธานของโรงพยาบาล คงต้องถูกไล่ออกแน่ๆ

“นี่มันคนไข้ของใครกัน ?  ยังไม่รีบมาเอาตัวออกไปอีก !  เธอรีบออกไปจากที่นี่ได้แล้วพ่อหนุ่ม ! ”

รองประธานหวังรีบวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที พร้อมกับคว้าคอเสื้อของฉีเล่ยไว้ และพยายามที่จะลาก และผลักเขาให้ออกจากห้องฉุกเฉินให้ได้

ในระหว่างนั้น เสียงของเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาล ต่างก็พากันร้องตะโกนออกไปว่า ..

“นั่นมันสามีไม่เอาไหนของเฉินอวี้หลัวไม่ใช่เหรอ ?”

“ใช่ๆ เป็นเขาจริงๆด้วย !  เมื่อเช้าที่เขาถูกนำตัวมาส่งโรงพยาบาล ยังแต่งตัวไม่ต่างจากขอทานเลย ! ”

“คุณหมอเฉิน มัวแต่ยืนเฉยอยู่ได้ ยังไม่รีบไปเอาตัวสามีคุณออกไปอีก !  แล้ว วันหน้าวันหลัง ก็ ช่วยอบรมสามีหน่อย จะได้ ไม่ มาพล่ามไร้สาระแบบนี้อีก ! ”

เฉินอวี้หลัวที่เดินเข้ามาพอดี เมื่อได้เห็นรองประธานจ้องมองมาทางตนเอง และร้องตะโกนออกมาเสียงดังท่ามกลางสาธารณชนแบบนั้น เธอก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอับอาย หรือว่าโกรธฉีเล่ยกันแน่ ?

“ตาบ้านี่ !  นี่นายคิดจะทำอะไร ?  ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่ที่ที่จะนายมาพล่ามไร้สาระแบบนี้ !  ออกไปกับฉันเดี๋ยวนี้ แล้วก็หยุดสร้างปัญหาวุ่นวายให้กับฉันซะที ! ”

ทันทีที่เฉินอวี้หลัววิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ เธอก็ตวาดฉีเล่ยเสียงดัง พร้อมกับพยายามลากแขนของเขาออกมาจากห้องทันที

“นั่นน่ะสิ !  รีบๆพาคนไม่เอาไหนแบบนั้นออกไปเร็วเข้า ! ”

สิ้นเสียงร้องตะโกนออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนดูอยู่ หลายๆคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้

รองประธานถึงกับหันไปถลึงตาใส่ทุกคน เป็นการเตือนว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาหัวเราะอย่างสนุกสนาน

สำหรับเฉินอวี้หลัว เพียงแค่ให้ทุกคนในที่ทำงานรู้ว่า สามีของเธอเที่ยวเดินเก็บขยะตามท้องถนน ก็นับว่าอับอายขายหน้ามากแล้ว แต่สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ กลับยิ่งทำให้หญิงสาวอับอายมากยิ่งขึ้น จนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน และไม่แน่ว่า สิ่งที่ฉีเล่ยกำลังทำอยู่ตอนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของเธอในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ได้ ..

“อวี้หลัว อาวุโสท่านนี้ยังไม่ตาย !  นี่เป็นเพียงการตายปลอมๆเท่านั้น ! ”  ฉีเล่ยหันไปบอกหญิงสาว

“นี่คุณพล่ามไร้สาระอะไร ? ตายปลอมอะไรกัน ? ถ้าตายปลอม ป่านนี้ผมคงทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาได้ตั้งนานแล้ว ..”

คุณหมอหลิวซึ่งเป็นเจ้าของไข้ ถึงกับร้องตะโกนโต้เถียงกลับไปอย่างไม่พอใจ นั่นเพราะคำพูดของฉีเล่ยเท่ากับประกาศว่า เขาเป็นหมอที่ไร้ความสามารถ และขาดความรับผิดชอบ ซึ่งเขาไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้

เฉินอวี้หลัวแทบอยากฆ่าฉีเล่ยให้ตายคามือ หญิงสาวไม่พูดอะไรอีก และรีบลากแขนฉีเล่ยให้ออกไปจากห้องฉุกเฉินทันที

แต่แล้วจู่ๆ หวู่เฉินเทียนก็ลุกขึ้นยืน และร้องตะโกนห้ามเสียงดัง พร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาที่มีความหวัง

“หยุดก่อน !  ให้เขาได้อธิบายก่อน ! ”

“คุณหวู่ครับ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของคนพรรณนี้เลยครับ !  เขาเป็นแค่คนเก็บขยะตามท้องถนนนะครับ .. ”

รองประธานหวังรีบหันไปบอกหวู่เฉินเทียนทันที แต่เขากลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร และยังคงจ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง

“คุณหวู่ครับ ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออีกราวยี่สิบนาที !  ถ้าไม่รีบรักษาภายในเวลานี้ ก็คงยากที่จะช่วยอาวุโสหวู่ได้อีกแล้ว !  แต่ถ้าคุณเชื่อใจผม ผมจะทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นจากการตายปลอมๆนี้ได้ ! ”

ฉีเล่ยจ้องมองหวู่เฉินเทียน พร้อมกับอธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น และเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ

หวู่เฉินเทียนจ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง ราวกับว่ากำลังต้องการมองทะลุเข้าไปให้เห็นเนื้อในของเขา ..

หวู่เฉินเทียนนั้นมีฐานะทางสังคมสูงส่งกว่าฉีเล่ยมาก สายตาที่จ้องมองเขานั้นคมกริบราวกับใบมีด แต่ฉีเล่ยกลับยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ และจ้องมองหวู่เฉินเทียนกลับอย่างไม่เกรงกลัว และยังคงสงบเยือกเย็นเช่นเดิม

“แล้วถ้าเธอทำไม่ได้ล่ะ ? ”  หวู่เฉินเทียนเอ่ยถามฉีเล่ยเพียงแค่สั้นๆ

แต่ฉีเล่ยตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม “ด้วยฐานะของคุณในเมืองหนานหยาง คุณไม่ควรที่จะถามคำถามแบบนี้ออกมา .. ”

สิ่งที่ฉีเล่ยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนสกุลเฉินนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ทักษะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังมีประสบการณ์ต่างๆ ตลอดทั้งชีวิตที่อาวุโสผู้นั้นพบเจอมาด้วย ฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ศรี หรือความหนักแน่นมั่นคงทางจิตใจในเวลานี้ ทำให้ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน เมื่อต้องเผชิญหน้าอยู่กับหวู่เฉินเทียนเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม หากเป็นฉีเล่ยเมื่อก่อนนี้ หากต้องยืนประจันหน้าอยู่กับหวู่เฉินเทียนเช่นนี้ ป่านนี้เขาคงต้องประหม่า และตระหนกตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแน่ แต่ฉีเล่ยในตอนนี้ กลับไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย !

หวู่เฉินเทียนมั่นใจว่า ฉีเล่ยไม่ได้แกล้งทำเป็นรักษาภาพให้ดูสงบเยือกเย็นแน่ เขาจึงได้แต่ร้องตอบฉีเล่ยไปว่า

“ตกลง !”

หวู่เฉินเทียนพยักหน้า แต่ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวฉีเล่ย แต่เป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น และจำเป็นต้องเดิมพันเอาว่า จะเชื่อ หรือไม่เชื่อคำพูดของชายหนุ่มคนนี้เท่านั้นเอง !

แต่เมื่อรองประธานหวังที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำท่าจะพูดขัดขึ้นมา หวู่เฉินเทียนก็ได้แต่หันไปมองหน้า ทำให้รองประธานหวังได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไร

“ช่วยให้คนไปนำเข็มสำหรับใช้ในการฝังเข็มมาให้ผมด้วย .. ”

ฉีเล่ยตบหลังมือของเฉินอวี้หลัวเบาๆ เป็นการปลอบประโลม ในขณะเดียวกันก็หันไปทางสั่งรองประธานหวังที่อยู่ตรงข้าม

ในเมื่อหวู่เฉินเทียนเห็นด้วย และได้ตัดสินใจไปแล้ว รองประธานหวังก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ จึงได้แต่สั่งให้คนไปนำเข็มมาให้กับฉีเล่ยตามที่ร้องขอ

ฉีเล่ยถือเข็มเงินไว้ในมือพร้อมกับพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“เข็มนี่ไม่สู้ดีนัก แต่ก็ยังพอใช้ได้ …”

รองประธานหวังได้แต่แอบกัดฟันกรอด พร้อมกับร้องคำรามอยู่ในใจ ‘ฮึ่ม ! ฉันว่าแกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ! แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าแกรักษาไม่ได้ หวู่เฉินเทียนจะได้หันไปเล่นงานแกแทนฉัน !’

“อาวุโสได้มาพบผมเข้าโดยบังเอิญแบบนี้ นับเป็นความโชคดีของคุณแล้ว !”

ฉีเล่ยพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วทั้งสองสัมผัสที่หน้าผากของอาวุโสหวู่ และก่อนที่จะเขาจะพูดจบ เข็มเงินสองเล่มก็ได้เข้าไปอยู่ในนิ้วทั้งสองของฉีเล่ยแล้ว ก่อนจะปักลงไปบนขมับทั้งสองข้างของชายชราอย่างไม่ลังเล และปลายเข็มก็จมลึกลงไปจนน่าตกใจ

เวลานี้ เสียงร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจดังไปทั่วทั้งห้องฉุกเฉิน นั่นเพราะในบริเวณจุดฝังเข็มซึ่งนับเป็นจุดที่อันตรายที่สุดของมนุษย์ แทบไม่มีแพทย์แผนจีนคนไหน จะกล้าแทงเข็มลงไปในจุดที่อันตรายเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มซอมซ่อคนหนึ่ง กลับสามารถปักปลายเข็มลงไปจนลึกเกือบสองนิ้ว โดยแทบไม่ต้องปรายตามอง

แม้แต่หวู่เฉินเทียนเองยังถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขากลั้นหายใจนิ่ง และเกือบจะเผลอยื่นมือออกไปดึงแขนของฉีเล่ยไว้

“หุบปากกันให้หมด !”

หลังจากฝังเข็มทั้งสองเล่มลงไปบนขมับทั้งสองของชายชราแล้ว ฉีเล่ยก็เงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับตวาดเสียงดัง แม้แต่หวู่เฉินเทียนเองยังถึงกับชะงักแน่นิ่งไปเช่นกัน

จากนั้น เข็มเงินเล่มยาวที่สุดหนึ่งเล่ม ก็ถูกปักลงไปที่จุดป่ายฮุ่ย ซึ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อมของชายชรา

ตามมาด้วยจุดเทียนเฉวียน จุดชิงหลิง และอีกหลายจุดทั่วศรีษะ ..

เข็มสีเงินทั้งเก้าเล่มในมือของฉีเล่ยนั้น ได้ปักลงไปบนจุดฝังเข็มสำคัญต่างๆอย่างราบรื่น ภายในเวลาเพียงแค่สองสามวินาทีเท่านั้น

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ทำการบิดเข็มแต่ละเล่มไปมาด้วยความชำนิชำนาญ ..

หวู่เฉินเทียนซึ่งยืนมองอยู่นั้น ถึงกับมีสีหน้าตกใจอย่างมาก นั่นเพราะวิธีการฝังเข็มของฉีเล่ยนั้น ดูล้ำเลิศแล้วก็ล้ำลึกยิ่งนัก ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง และเริ่มมั่นใจว่าตนเองนั้นตัดสินใจถูกต้องแล้ว เพราะชายหนุ่มคนนี้อาจจะสามารถชุบชีวิตพ่อของเขาให้ฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาอย่างไม่พอใจกับสภาพของตนเองในเวลานี้นัก นั่นเพราะหากเขาสามารถควบคุมพลังปราณภายในร่างได้ดีกว่านี้ การรักษาคงจะเป็นไปได้ราบรื่นกว่านี้มาก

ผ่านไปราวสิบกว่านาที ฉีเล่ยจึงได้ยกมือขึ้นสัมผัสหน้าผากของอาวุโสหวู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดมือไปมา แล้วเข็มเงินทั้งเก้าเล่มก็ถูกถอนออกอย่างรวดเร็ว

“พ่อหนุ่ม พ่อของฉัน ..”

หวู่เฉินเทียนรีบหันไปถามฉีเล่ยด้วยท่าทีระมัดระวัง แม้แต่ตัวเขาเองก็เพิ่งรู้ตัวว่า เขาไม่เคยพูดกับใครด้วยท่าทางระมัดระวังตัวแบบนี้มานานแล้ว

ฉีเล่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตนเอง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “อีกราวห้านาที อาวุโสก็คงจะฟื้นคืนสติแล้วล่ะ ! ส่วนเครื่องหอมภายในบ้าน ก็ควรต้องมีการปรับเปลี่ยน ..”

ฉีเล่ยเข้าใจกระจ่างแจ้งว่า ลักษณะการตายปลอมของอาวุโสหวู่นั้น เกิดจากการที่จิตวิญญาณของเขาถูกผนึกไว้ภายในร่าง ฉะนั้น ต่อให้ร่างกายถูกช้อตด้วยไฟฟ้า ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เขาตื่นขึ้นมาได้

“จะฟื้นขึ้นมาได้ยังไงกัน ?  มันเป็นไปไม่ได้ !  ดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หน้าจอสิ ยังคงเป็นเส้นตรงอยู่เลย .. ”  คุณหมอหลิวเบะปาก พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“หุบปากได้แล้ว !”

รองประธานหวังหันไปตวาดคุณหมอหลิวทันที นั่นเพราะเขาเข้าใจดีว่า ขืนทั้งเขา และหมอหลิวยังคงต่อต้านฉีเล่ยแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นปรปักษ์กับหวู่เฉินเทียนไปด้วย และแน่นอนว่า พวกเขาทั้งสองคงไม่อาจรับผลที่จะตามมาได้

แต่หลังจากผ่านห้านาทีไปแล้ว หากอาวุโสหวู่ไม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ฉีเล่ยต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์โกรธของหวู่เฉิงเทียนแทนเขา

การปลุกคนที่ตายแล้วให้ฟื้นคืนชีพ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นพ่อของหวู่เฉินเทียนก็ตาม รองประธานหวังได้แต่คิดในใจว่า

‘พ่อหนุ่ม เธอโชคร้ายแน่ !’

เวลาค่อยๆเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ในขณะนั้น คุณหมอหลิวก็ได้แต่พึมพำออกมาว่า “หึ !  ใกล้ถึงเวลาแล้ว ถ้าอาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ฉันจะยอมกินอุจจาระ .. ”

ในขณะที่ สีหน้าของหวู่เฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ..

“คุณพูดเองนะคุณหมอหลิว ! ”

ฉีเล่ยหันไปพูดกับหมอหลิวที่กำลังหัวเราะหึๆ ก่อนจะใช้นิ้วชี้เคาะลงไปบนเตียงผู้ป่วย ในส่วนที่เป็นโลหะ จนเกิดเสียงดัง ‘เคร้ง’ ขึ้น พร้อมกับร้องบอกชายชราที่กำลังนอนหลับไหลอยู่

“ตื่นได้แล้ว ! ”

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset