ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 33 ตัดสินใจ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 33 ตัดสินใจ

 

ตอนที่ 33 ตัดสินใจ

 

ฉีเล่ยมีเหตุผลในการตัดสินใจเป็นของตัวเอง

 

เขาเติบโตมาในหนานหยาง และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาโดยตลอด แทบจะไม่เคยออกจากเมืองไปไกลๆเลยด้วยซ้ํา ในเมื่อรากฐานของเขาอยู่ที่นี่ เขาจึงมั่นใจ และสะดวกใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากกว่าปักกิ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่เขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย

 

อีกหนึ่งเหตุผลที่นี่เลยปฏิเสธข้อเสนอของหลี่ฮั่วเฉินก็คือ เฉินอวี้หลัวซึ่งเป็นภรรยาของเขา เวลานี้หญิงสาวได้เป็นแพทย์เฉพาะทางประจําแผนกศัลยกรรมกระดูกของโรงพยาบาลที่ ทําอยู่ หากเธอทําผลงานได้ดี ในวันข้างหน้าอาจได้ขึ้นเป็นถึงรองผู้อํานวยการของโรงพยาบาล

 

ความจริงแล้ว หากฐานะของสกุลเฉินร่ํารวยกว่านี้ ไม่แน่ว่าเฉินอวี้หลัวอาจจะเจริญก้าวหนในหน้าที่การงานมากกว่านี้แล้วก็เป็นได้ แต่เป็นเพราะหลายปีมานี้ ฐานะทางการเงินของครอบครัวค่อนข้างตกต่ํา จึงส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงานของหญิงสาว

 

แต่เวลานี้ ทุกอย่างกําลังเริ่มจะเปลี่ยนไปแล้ว หากฉีเล่ยได้เข้าไปทํางานเป็นแพทย์เฉพาะทางพิเศษของกรมอนามัย เขาในฐานะสามี ก็จะมีโอกาสช่วยให้เฉินอวี้หลัวให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้

 

และเมื่อเวลานั้นมาถึง จะดีมากเพียงใดที่สามีภรรยาคู่หนึ่ง คนหนึ่งเป็นแพทย์ประจําโรงพยาบาล ส่วนอีกคนมีตําแหน่งที่สูงกว่า แต่เพราะมีอาชีพแพทย์เหมือนกัน จึงสามารถเป็นแรงผลักดัน และส่งเสริมกันและกันให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น

 

ในเมื่อคิดเช่นนี้ ฉีเล่ยจึงจําเป็นต้องตัดสินใจปฏิเสธความหวังดีของหลี่ฮั่วเฉินไป!

 

หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินก็เข้าใจ และไม่รู้สึกเสียใจอะไร อีกทั้งยังได้บอกกับชายหนุ่มไปว่า

 

“ทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมาย และเส้นทางเดินของตัวเอง เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่คะยั้นคะยอหรือรบเร้าเธออีก แต่เธอต้องรับปากกับฉันว่า เมื่อใดที่รู้สึกไม่สบายใจที่จะทํางานที่นั่น ให้มาหาฉันที่ปักกิ่งทันที ฉันยินดีที่จะต้อนรับเธอเสมอ และจะยังจะเก็บรักษาตําแหน่งทั้งสองไว้รอเธอ…”

 

หลังจากที่ได้ฟังคําพูดของหลี่ฮั่วเฉิน ฉีเล่ยเองก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของอาวุโสหลี่ และรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

 

การทํางานในวงการแพทย์นั้น ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เห็นกันอยู่เบื้องหน้า ใช่ว่าจะมีเพียงหน้าที่รักษาคนไข้ แต่ความจริงแล้ว ยังต้องรับมือกับความสัมพันธ์ภายในที่ค่อนข้างซับซ้อนด้วย

 

พูดง่ายๆก็คือว่า วันนี้คนที่เป็นหัวหน้าอาจจะชอบเรา แต่พรุ่งนี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่ชอบแล้วก็ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า คนผู้นั้นจะประสบกับความล้มเหลว หรือว่าความสําเร็จ?

 

แต่จากคําพูดของหลี่ฮั่วเฉินเมื่อครู่นั้น เป็นการเปิดทางให้กับฉีเล่ย เพื่อให้ชายหนุ่มได้สบายใจว่า แม้เส้นทางที่เขาเลือกจะไม่ราบรื่น ก็ไม่จําเป็นต้องกังวลอะไร เพราะเขายังมีเส้นทางอื่นให้เลือกเดินใหม่

 

และที่สําคัญ เส้นทางที่ทอดรอฉีเล่ยอยู่นั้น เป็นเส้นทางที่กว้างขวางกว่าเส้นทางที่ชายหนุ่มเลือกในเวลานี้เสียอีก!

 

เวลานี้ ฉีเล่ยรับรู้ได้ถึงความจริงใจ และความหวังดีของหลี่ฮั่วเฉินที่มีต่อตนเอง เขาจึงได้แต่นึกขอบคุณจากใจจริง

 

หลังจากที่แยกย้ายกันแล้ว ฉีเล่ยก็ตรงกลับบ้านทันที

 

แต่หลี่ฮั่วเฉินนั้น เมื่อกลับไปถึงห้องพัก กลับไม่ได้รู้สึกสงบนิ่ง หรือผ่อนคลายเหมือนที่แสดงออกในร้านกาแฟเลยแม้แต่น้อย

 

เขาเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องไม่ต่างจากหนูติดจั่น จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็กัดฟันแน่น และตัดสินใจโทรหาไต่คุนทันที!

 

“ท่านผู้ว่าไต่ ไม่ทราบว่าผมโทรมารบกวนการทํางานของคุณหรือไม่?”

 

“ไม่เลยครับอาวุโสหลี่! เอ่อ ไม่ทราบว่าที่อาวุโสหลี่โทรมา เป็นเพราะมีเรื่องอะไรต้องการจะชี้แนะผมหรือเปล่าครับ?”

 

“ผมคงไม่บังอาจชี้แนะท่านผู้ว่า เพียงแต่มีเรื่องต้องการขอความช่วยเหลือ!”

 

“ถ้าอย่างนั้นอาวุโสหลี่ก็พูดมาได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ! ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็จะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ!”

 

“ท่านผู้ว่าไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ผมเพียงแค่.. ต้องการ มาจะขอตัวแพทย์ที่โรงพยาบาลไปช่วยงานที่ปักกิ่ง!”

 

“อ่อ… งั้นเหรอครับ? ไม่ทราบว่าอาวุโสหลี่อยากได้ใครไปทํางานด้วย? เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือเปล่า?”

 

“ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่เป็นแพทย์ฝึกหัดที่รักษาอาการปวยให้กับภรรยาของคุณหมอหนุ่มที่ชื่อฉีเล่ย!”

 

“ฉีเล่ยเหรอครับ? เอ่อ…”

 

เสียงปลายสายหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “ผมได้ยินจากเฟิงเจิ้นว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด ฉีเล่ยจะต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมอนามัยในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าอาวุโสหลี่ต้องการตัวเขาไปทํางานด้วย รอให้เฟิงเฉินหายป่วยแล้ว ผมจะบอกเธอให้ แต่ท้ายที่สุด คงต้องให้ฉีเล่ยเป็นคนตัดสินใจเอง”

 

แน่นอนว่า ฟังจากคําพูดของไต่คุน เขาเองก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยฉีเล่ยให้หลุดมือไป ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่วางสายไป หลี่ฮั่วเฉินก็แต่บ่นพึมพําด้วยความไม่พอใจ..

 

“หึ! ต้องรอให้ภรรยาหายดีสินะ? ท้ายที่สุดต้องให้ฉีเล่ยเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ? เฮ้อ.. ถ้าปล่อยให้ฉีเล่ยเป็นคนตัดสินใจ ผลลัพธ์ก็คงเหมือนเดิมอยู่

 

“จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!”

 

หลี่ฮั่วเฉินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยความโมโห และอดที่จะกร่นด่าไต่คุนออกมาไม่ได้ เมื่อคิดว่าไต่คุนไม่เห็นแก่ความอาวุโสของตนเองบ้างเลย!

 

ในเมื่อเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หลี่ฮั่วเฉินจึงได้เรียกเลขานุการให้เข้ามาหา และสั่งให้จัดหาตั๋วเครื่องบิน บินกลับปักกิ่งในช่วงบ่ายทันที แต่ในขณะที่เลขาของเขากําลังจะเดินออกจากห้องไป จู่ๆหลี่ฮั่วเฉินก็ร้องตะโกนออกไปว่า

 

“เดี๋ยวก่อน!”

 

หลี่ฮั่วเฉินครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร และดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้จากสัมผัสที่หก.

 

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว! ไม่ต้องไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน แต่รีบเช็คเอ้าท์ออกจากที่นี่ แล้วไปพักที่โรงแรมอื่นแทน!”

 

หลี่ฮั่วเฉินเก็บของ และย้ายออกจากโรงแรมซึ่งอยู่ภายในค่ายทหารแห่งนี้ทันที เขาไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองแทน และตัดสินใจที่จะอยู่หนานหยางต่ออีกสามวัน

 

แต่เมื่อพบว่า สาเหตุที่ตัวเขาเองต้องการอยู่ที่นี่ต่อนั้น เป็นเพราะเรื่องของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินก็อดที่จะนึกขบขันตัวเองไม่ได้ เพื่อให้ได้ตัวฉีเล่ยซึ่งมีพรสวรรค์อันหาได้ยากไปทํางานด้วย ดูเหมือนชายชราเองจะยินดีทําเรื่องโง่ๆแบบนี้

 

ส่วนฉีเล่ยนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้าน ในระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกันนั้น ชายหนุ่มก็ได้ปรึกษาหาเรื่องเรื่องหน้าที่การงานกับเฉินอวี้หลัวไปด้วย

 

ฉีเล่ยได้เล่าเรื่องที่หลิวเฟิงเจิ้นได้จัดการให้เขาเข้าไปทํางานที่กรมอนามัย รวมทั้งข้อเสนอทั้งสองของหลี่ฮั่วเฉินให้ภรรยาฟัง

 

แต่ใช่ว่าฉีเล่ยจะไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ เพียงแต่ถึงแม้เขาจะมีความสามารถทางด้านการแพทย์ล้ําเลิศ แต่ก็ไม่คุ้นเคยกับระบบต่างๆในวงการแพทย์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เฉินอวี้หลัวย่อมต้องรู้ดีกว่าเขา เพราะเธอเองก็เป็นหมอมานานหลายปี ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงต้องการฟังความคิดเห็นของหญิงสาว

 

หลังจากที่ได้ฟังคําบอกเล่าของฉีเล่ย เฉินอวี้หลัวก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อไปวางไว้ในชามข้าวของสามี ปากก็ตอบไปว่า

 

“ในเมื่อนายเองก็ยังไม่เคยลองทําอาชีพนี้ ฉันอยากจะฟังความคิดเห็นของนายก่อน..”

 

ฉีเล่ยทําสีหน้างุนงงเล็กน้อย แล้วจึงตอบหญิงสาวกลับไปว่า “ก็ถ้าพวกเราสองคนอยากใช้ชีวิตร่วมกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องแยกจากกัน การเลือกทํางานในกรมอนามัยก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี คุณไม่คิดเหมือนผมเหรอ?”

 

หลังจากที่ได้รู้ว่าฉีเล่ยตัดสินใจเลือกอะไร และด้วยเหตุผลใด เฉินอวี้หลัวจึงได้พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน

 

“ตัดฉันออกจากเหตุผลในการตัดสินใจเลือกของนาย ได้เลย! ชีวิตเป็นของนายเอง อีกอย่างนายก็เป็นผู้ชาย เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าหัวหน้าครอบครัวเจริญก้าวหน้า ทุกอย่างก็จะดีตามไปเองไม่ใช่เหรอ?”

 

“จริงอยู่ที่การทํางานในหนานหยาง ฉันอาจมีโอกาสก้าวหน้าได้มาก แต่นั่นกลับจํากัดความก้าวหน้าของนายเอง! พูดกันตามตรง.. การทํางานในปักกิ่งย่อมต้องมีโอกาสเติบโตมากกว่าอยู่แล้ว! และในเมื่อนายมาถามฉันเรื่องนี้ ก็แสดงว่านายเองก็สนใจงานที่ปักกิ่งเหมือนกันใช่มั้ย?”

 

หลังจากได้ฟังคําพูดตรงไปตรงมาของเฉินอวี้หลัว ฉีเล่ยก็ได้แต่นั่งก้มหน้าหลบตา และไม่กล้าสู้หน้าหญิงสาวนัก!

 

เพราะความจริงก็เป็นเช่นนั้น ข้อเสนอของหลี่ฮั่วเฉินนั้นทําให้เขาถึงกับใจสั่นไม่น้อย เรื่องที่เขาอายุยังน้อยเพียงแค่ยี่สิบหกปีนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือความท้าทายต่างหาก!

 

เพียงแต่ว่า หากเขาตัดสินใจจะไปทํางานที่ปักกิ่งจริงๆ เขาก็ต้องการที่จะพาครอบครัวไปด้วย

 

หลังจากเห็นสีหน้าท่าทางลังเลของฉีเล่ย เฉินอหลัวจึงคีบเนื้อเข้าไปในถ้วยของเขาอีกชิ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“ฉีเล่ย นายไม่ต้องห่วงเรื่องของฉัน! ตัดสินใจเลือกสิ่งที่นายต้องการ และไม่ว่านายจะไปไหน ฉันก็ยินดีที่จะติดตามไปอยู่กับนายด้วย!”

 

ชูชางฉินที่นั่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็พูดขึ้นมาว่า “นั่นน่ะสิ อวี้หลัวพูดถูก! ฉีเล่ย เธอไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราสองแม่ลูกเลือกทําในสิ่งที่ใจตัวเองต้องการ ถ้าเธอตัดสินใจที่จะไปทํางานในปักกิ่ง พวกเราก็พร้อมที่ย้ายตามไปด้วยทันที!”

 

แต่หลังจากที่ได้เห็นท่าที่ และการสนับสนุนของสองแม่ ลูกสกุลเฉิน ฉีเล่ยกลับรู้สึกไม่ต้องการที่จะไปทํางานในปักกิ่งอีก!

 

แม้จะฟังดูดีที่จะได้ไปทํางานที่ปักกิ่ง แต่เมื่อไปถึงที่โน่นซึ่งเป็นเมืองใหม่ที่ทุกคนต่างก็ไม่คุ้นเคย ไหนจะต้องหาบ้านใหม่อยู่ไหนจะต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆอีกด้วย

 

ฉีเล่ยตระหนักดีว่า เวลานี้เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของครอบครัว ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทําสิ่งใดไป ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัวด้วย อีกทั้งเขายังมีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวในเวลานี้ จึงมีหน้าที่ต้องดูแลทุกคนให้มีความสุขสบาย

 

เวลานี้ ทั้งภรรยาและแม่ยายของเขา ได้แสดงให้เห็นว่า พวกเธอทั้งสองพร้อมที่จะเสียสละเพื่อเขามากเพียงใด แต่ฉีเล่ยก็ไม่อาจยินยอมให้ทั้งสองคน ต้องเสียสละเพื่อเขามากถึงเพียงนี้..

 

ถึงแม้ว่าการทํางานที่กรมอนามัย จะไม่อาจเทียบเท่ากับการทํางานในปักกิ่งได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายอะไรนัก!

 

และในที่สุด ฉีเล่ยก็ตัดสินใจว่า เขาจะไปรายงานตัวที่กรมอนามัยในวันพรุ่งนี้

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset