ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 36 คลื่นถาโถม (3)

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 36 คลื่นถาโถม (3)

 

ตอนที่ 36 คลื่นถาโถม (3)

 

ตามกฎระเบียบข้อบังคับ เฉพาะผู้นําระดับประเทศ หรือรองลงมาเท่านั้น จึงจะได้สิทธิ์ในการมีแพทย์ดูแลประจําอย่างเต็มเวลา ส่วนสุขภาพของผู้นําระดับมณฑลนั้น จะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์พิเศษของกรมอนามัยประจํามณฑลนั้นๆ

 

แพทย์พิเศษในทีมนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกคัดเลือกมาจากโรงพยาบาลหลัก แม้ทีมแพทย์พิเศษจะอยู่ภายใต้สํานักงานสุขภาพ แต่แพทย์ทุกคนก็ไม่ได้ถูกควบคุมให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใคร พวกเขาจะเพียงแค่เข้ามาทําหน้าที่เท่านั้น เพราะหากทีมแพทย์พิเศษลาออกกันหมด คณะกรรมการคนอื่นๆก็คงจะทําอะไรไม่ได้

 

ด้วยเหตุนี้ บทบาทและฐานะของแพทย์พิเศษนั้นจึงสําคัญยิ่ง แม้ว่าจะไม่มีตําแหน่งที่สูงส่ง แต่กระทั่งผู้อํานวยการยังต้องเกรงอกเกรงใจ และไม่กล้าเสียมารายาทกับทีมแพทย์พิเศษนี้ นั่นเพราะการมีเรื่องกับแพทย์พิเศษไม่ว่าคนใด โอกาสที่จะกระทบถึงทีมแพทย์พิเศษทั้งทีมย่อมมีอยู่มาก

 

และหากเกิดปัญหากับทีมแพทย์พิเศษ เมื่อผู้นําระดับมณฑลมีปัญหาด้านสุขภาพขึ้นมา พวกเขาจะหาทีมแพทย์พิเศษไปทําการรักษาให้ได้อย่างไรกัน?และผลลัพธ์ที่จะตามมาคงยากที่จะ

 

และเนื่องจากชายหนุ่มได้ปล่อยให้แพทย์พิเศษยืนคอยอยู่นาน เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวมาก เมื่อรู้ตัว ก็รีบชงชาไปบริการให้ฉีเล่ย จากนั้นจึงรีบวิ่งไปที่ห้องของหัวหน้าทันที

 

ทันทีที่เกาว่านฮุยซึ่งเป็นหัวหน้าสํานักงานสุขภาพได้รับรายงานว่า แพทย์พิเศษคนใหม่มาถึงแล้ว เขาก็รีบวางงานทั้งหมดที่กําลังทําอยู่ แล้วรีบออกมาต้อนรับแพทย์พิเศษอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเกาว่านฮุยก้าวเท้าออกจากห้อง เขาก็ได้พบกับผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่หน้าประตูห้องพอดี

 

“คุณเกา ผมได้ยินมาว่าวันนี้จะมีแพทย์พิเศษมารายตัวใช่มั้ย?”

 

แต่หลังจากที่เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสี่นาย ยืนอยู่ด้านหลังของผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคลเช่นนั้น เกาว่านฮุยจึงเริ่มรู้สึกว่า มีบางอย่างที่ไม่ปกติ แต่ก็พยักหน้าและตอบกลับไปตามตรง

 

“ใช่แล้ว! นี่ผมก็กําลังจะออกไปต้อนรับเขาอยู่พอดี!”

 

ระหว่างนั้น ผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็ได้ก้าวเข้าไปใกล้เกาว่านฮุย พร้อมกับกระซิบกระซาบเสียงเบา

 

หลังจากนั้น เกาว่านฮุยก็ได้ยกมือขึ้นกวักเรียกชายหนุ่มที่มารายงานเรื่องนี้ให้เข้ามาใกล้ว พร้อมกับกระซิบถามเสียงเบา

 

“คุณเองก็ได้เห็นจุดหมายฉบับนั้นกับตาใช่มั้ย?”

 

“ใช่ครับท่านหัวหน้า!”

 

“ลงวันที่เมื่อไหร่?”

 

“เมื่อวานนี้ครับ!”

 

เกาว่านฮุยพยักหน้าพร้อมกับโบกมือไล่ชายหนุ่ม “เอาล่ะ! คุณรีบกลับไปดูแลแพทย์พิเศษก่อน เดี๋ยวผมจะรีบตามไป!”

 

จากนั้น เกาว่านฮุยก็ได้พยักหน้าส่งสัญญาณให้ผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล เข้าไปพูดคุยในห้องทํางานของตน

 

ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คน ก็ได้แต่ยืนอยู่หน้าประตูห้องทํางาน ของหัวหน้าสํานักงานสุขภาพแน่นิ่ง

 

“คุณหลู่ คุณนี้สมกับเป็นผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล จริงๆ มีความละเอียดละออช่างสังเกตมากกว่าคนทั่วไป…”

 

เกาว่านฮุยเอ่ยชมหลู่ฉีเว่ยที่นั่งอยู่บนโซฟาทันที “ ข้อสังเกตของคุณฟังดูมีเหตุมีผลอย่างมาก ผมจะรีบโทรไปเช็คเรื่องนี้กับสํานักงานประจํามณฑลก่อน”

 

พูดจบ เกาว่านฮุยก็รีบคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา และโทรออกหาใครบางคนทันที หลังจากรออยู่ราวสิบกว่าวินาที เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น

 

“ฮัลโหล นั่นใครโทรมา?”

 

เกาว่านฮุยกําโทรศัพท์ในมือแน่น และรีบตอบกลับไปทันที “สวัสดีครับท่านผู้อํานวยการจาง ผมเกาว่านฮุยจากสํานักงานสุขภาพครับ!”

 

ปลายสายรีบตอบกลับมาทันที “อ่อ.. อาเกาเองหรอกเหรอ? มีเรื่องอะไรงั้นรึ?”

 

“คือผมมีเรื่องสําคัญอยากจะสอบถามท่านผู้อํานวยการจาง พอดีมีชายหนุ่มคนหนึ่งมารายงานตัวที่สํานักงาน ในฐานะแพทย์พิเศษครับ แล้วก็มาคนเดียวด้วย! คือผมไม่มั่นใจว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไงครับ ก็เลยต้อง…”

 

เกาว่านฮุยไม่ลืมที่จะเน้นคําว่า “ชายหนุ่ม” และคําว่า “มาคนเดียว” ให้กับท่านผู้อํานวยการจางได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งก็ได้ผล เพราะทันทีที่ได้ฟังรายงานจากเกาว่านฮุย ผู้อํานวยการจางถึงกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

 

“หืมม… มีเรื่องแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ? ทําไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน?”

 

ผู้อํานวยการจางนอกจากจะดํารงตําแหน่งเป็นผู้อํานวยการสํานักงานประจํามณฑลแล้ว ยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้านสุขภาพประจํามณฑลด้วย

 

เกาว่านฮุยเข้าใจได้ทันที และรีบตอบกลับไปว่า “รบกวนท่านประธานจางแล้วครับ..”

 

หลังจากวางสายไป ใบหน้าของเกาว่านฮุยก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นมาทันที นั่นเพราะการที่มีคนแอบอ้างมาเป็นแพทย์พิเศษนั้น นับเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก!

 

หากวันนี้ ผู้อํานวยการหลู่ไม่ได้เอะใจสงสัยขึ้น และรีบมาบอกให้เขารู้แล้วล่ะก็ อาจเกิดเรื่องราวใหญ่โตเกินกว่าจะแก้ไขได้แน่ และเขาในฐานะที่เป็นหัวหน้าสํานักงานสุขภาพ คงจะต้องตกที่นั่งลําบาก เพราะทําหน้าที่บกพร่อง ละเลยที่จะตรวจสอบรายละเอียด..

 

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เกาว่านฮุยก็เข้าไปจับมือหลู่ฉีเว่ย พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ “คุณหลู่ ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆสําหรับวันนี้ แล้วผมจะรายงานความดีความชอบครั้งนี้ของคุณ ให้ผู้อํานวยการหลิวทราบ…”

 

“ไม่เอาน่าคุณเกา! พูดอย่างกับว่าเราสองคนเป็นคนแปลกหน้าอย่างนั้นล่ะ อีกอย่าง ผมเองก็รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของที่นี่ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมก็ต้องระแวงสงสัยไว้ก่อน!”

 

“เรื่องอันตรายแบบนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้ เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพพวกนี้ไปสร้างเลือกได้อีก ผมว่าคงต้องจับตัวส่งตํารวจจะดีกว่า!”

 

ฉีเล่ยยังคงนั่งอยู่ในห้อง และพูดคุยกับชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าตาดุดันสี่นาย เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับถือกระบองไว้ในมือ เมื่อเข้ามาได้ ก็เข้าไปล้อมร่างของฉีเล่ยไว้ทันที

 

“อย่าคิดหนีเชียวล่ะ!”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมซึ่งฉีเล่ยพบที่หน้าประตู ได้ยกกระบองในมือชี้หน้าชายหนุ่ม ปากก็ร้องตะโกนสั่งเสียงดัง

 

“หึ! ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าแกต้องเป็นพวกมิจฉาชีพ! เอาล่ะ ยกมือขึ้นประสานไว้หลังลําคอ แล้วนั่งยองๆลงกับพื้นเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าไม้กระบองในมือของฉันไม่เกรงใจล่ะ!”

 

ฉีเล่ยได้แต่หันไปมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมด้วยสีหน้างุนงง ชายหนุ่มคิดว่าเขาอาจจะยังโมโหค้าง จึงได้ตามมาหาเรื่องตนเองถึงที่นี่ จากนั้น ฉีเล่ยก็ได้หันไปมองหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าแทน

 

“นี่พวกคุณทําบ้าอะไรกัน?”

 

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับตวาดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียงดัง พร้อมกับพูดต่อว่า “คุณหมอฉีเป็นถึงแพทย์พิเศษนะรู้มั้ย? ออกไปให้พ้น!”

 

“แพทย์พิเศษที่ไหนกัน? หมอนี่ก็แค่มิจฉาชีพ!”

 

“ถุย…”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมถึงกับทําท่าทางถมน้ำลายดูถูก ก่อนจะพูดต่อในทันที “พี่เขยของผม… ไม่ใช่สิ! หัวหน้าหลูโทรไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จดหมายนั้นเป็นของปลอม!”

 

แต่เมื่อชายหนุ่มคนนั้นหันไปเห็นเกาว่านฮุยยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ได้พูดโกหก เขาถึงกับกระโดดถอยหลังหนีด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าหวาดกลัว พร้อมกับรําพึงรําพันว่า

 

“ผมเองก็สงสัยอยู่แล้วเชียว! ทําไมแพทย์พิเศษถึงได้ยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้”

 

“พวกคุณจะกินอะไรก็ได้ที่ต้องการ แต่จะพูดทุกอย่างที่ต้องการพูดไม่ได้!”

 

ฉีเล่ยพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา เขายังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วเดียว จดหมายฉบับนั้น เลขานุการของหลิวเฟิงเจิ้นเป็นคนยื่นให้กับเขาด้วยมือตัวเอง เขาจึงไม่รู้สึกกังวลใจเลยแม้แต่น้อย

 

“ใครที่กล่าวหาว่าจดหมายของผมเป็นของปลอม ก้าวออกมาข้างหน้าเดี๋ยวนี้!”

 

“ไอ้หมอนี่! ฉันว่าคนอย่างแกไม่เห็นโลงศพ คงไม่หลั่งน้ำตาแน่! วันนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้รู้จักคําว่า “ตาย” เอง!”

 

หลังจากพูดจบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิม ก็ได้เสื้อกระบองในมือขึ้น ฟาดเข้าที่ไหล่ข้างหนึ่งของฉีเล่ยทันทีและด้วยความโมโห เขาจึงออกแรงฟาดอย่างสุดกําลัง จนได้ยินเสียงซวบผ่านห้วงอากาศได้

 

ปัง!

 

ตุ้บ!

 

ก่อนที่ทุกคนจะทันได้รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิม ก็ได้ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว และที่ใบหน้าก็มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ส่วนกระบองในมือก็ได้หลุดไปกลิ้งอยู่กับพื้น

 

และที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ บนเสื้อยูนิฟอร์มสีขาวสะอาดสะอ้านนั้น ได้มีฝาเท้าข้างหนึ่งประทับอยู่

 

“ห๊ะ?!”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสามคน ถึงกับผงะถอยหลังออกไปด้วยความตกใจ ในขณะที่เกาว่านฮุย และคนอื่นๆ ต่างก็ถอยห่างออกไปจนไกล

 

“อันตรายแบบนี้นี่เอง! มิน่าล่ะ มันถึงได้กล้าปลอมมาเป็นแพทย์พิเศษ!”

 

“ล้อมมันไว้ อย่าให้มันหนีไปไหนได้! เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ตํารวจก็คงจะมาถึงแล้วล่ะ”

 

เกาว่านฮุยร้องตะโกนสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เหลือ พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางฉีเล่ย ในขณะที่ตัวเขาเองไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าไปใกล้ว!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset