ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 6 เข็มทองหางหงส์

ตอนที่  6  เข็มทองหาง หงส์

เพื่อป้องกันไม่ให้ฉีเล่ยปฏิเสธ อาวุโสหวู่จึงรีบเปิดกล่องหนังในมือให้เขาดูทันที ..

“นี่มันเข็มทองหางหงส์ !”

ทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องหนัง ฉีเล่ยถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง พร้อมกับยื่นมือออกไปสัมผัสเข็มทองตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง

ว่ากันว่า ..  ผู้ที่ได้ครอบครองเข็มทองหางหงส์จำนวน  108  เล่มนี้ คือผู้ที่กุมชีวิต และความตายของผู้คนไว้ในมือ !

“กระบี่ล้ำเลิศควรตกเป็นของสุดยอดมือกระบี่ฉันท์ใด เข็มทองหางหงส์ที่ล้ำค่า ก็ควรต้องอยู่ในมือของหมอที่เก่งกาจเช่นกัน ! ”

“ผู้มีพระคุณ ได้โปรดอย่าปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้ของผมเลยนะครับ ! ”

หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าตกตะลึงอย่างมากของฉีเล่ย อาวุโสหวู่จึงได้แต่พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

อาวุโสหวู่ต้องยอมใช้เงินก้อนโต ไปแลกกับเข็มทองชุดนี้มาจากเพื่อนเก่าแก่ของตนเอง และเมื่อได้เห็นสีหน้าพออกพอใจของฉีเล่ยเวลานี้ ทำให้เขาอดที่จะมีความสุขขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน

ฉีเล่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับให้กับชายชรา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ขอบคุณอาวุโสหวู่สำหรับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ !”

หากเป็นของขวัญอย่างอื่น ไม่แน่ว่าฉีเล่ยอาจจะยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมรับก็เป็นได้ แต่ในเมื่อเป็นเข็มทองหางหงส์ที่หาได้ยากเช่นนี้ ใครบ้างเล่าที่จะปฏิเสธได้ลงคอ ..

และหากมีเข็มทองคำล้ำค่าเช่นนี้อยู่ในมือ ในวันข้างหน้า เขาก็ไม่ต้องกังวลใจ หรือห่วงอนาคตข้างหน้าของตนเองอีก

“คุณหมอฉี ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนที่พ่อของผมจะฟื้นขึ้นมา คุณได้พูดถึงเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องหอมภายในบ้าน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้คุณหมอฉีหมายความว่ายังไง ? ”

ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังดื่มด่ำอยู่กับการชื่นชมเข็มทองคำในมือ เสียงร้องถามของหวู่เฉินเทียนก็ได้ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์

อาวุโสหวู่เห็นเช่นนั้น จึงได้แต่หันไปจ้องมองหวู่เฉินเทียนด้วยแววตาไม่พอใจ !

“อ่อ ..  เรื่องนั้นน่ะเหรอครับ ?  คือที่บ้านของคุณมีเครื่องหอมชนิดหนึ่ง แม้ว่าเครื่องหอมชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นให้จิตใจ และร่างกายสดชื่นก็ตาม แต่หากใช้ไปเป็นระยะเวลานานหลายปี กลิ่นหอมของมันก็จะเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของคนผู้นั้นได้ และที่อาวุโสหวู่หมดสติไปแบบนั้น ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ .. ”

หลังจากที่ฉีเล่ยพูดจบ เขาก็หยิบปากกา และกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเขียนใบสั่งยา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว เขาก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้กับอาวุโสหวู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“อาวุโสหวู่ นี่เป็นตัวยาสำหรับนำมาทำเครื่องหอมใหม่ ! ”

“ลายมืองดงามมากจริงๆ ! ”

ทันทีที่รับใบสั่งยามาจากฉีเล่ย อาวุโสหวู่ก็ได้แต่จ้องมองลายมือบนกระดาษแผ่นนั้น พร้อมกับพึมพำออกมาด้วยแววตาที่เป็นประกายระยิบระยับ

ตัวอักษรของฉีเล่ยนั้น ประหนึ่งขอเงิน และการตวัดอักษระก็ไหลลื่นดั่งสายน้ำ ลายเส้นแต่ละขีดมีน้ำหนักสม่ำเสมอ หนักแน่น และดูมีพลัง ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามประหนึ่งเทพปรากฏ

หากจะพูดง่ายๆก็คือว่า ใบสั่งยาที่มีลายมือของฉีเล่ยเวลานี้ เปรียบได้กับผลงานศิลปะการเขียนอักษรชิ้นเอกเลยทีเดียว !

“ผู้มีพระคุณ ผมมีภาพอักษรที่เพิ่งได้มาเมื่อสองสามวันก่อน ผู้มีพระคุณได้โปรดเอามือออกจากโต๊ะก่อน ผมจะได้คลี่ภาพอักษรที่ได้มาให้ดู .. ”

อาวุโสหวู่ร้องบอกฉีเล่ย พร้อมกับหันไปล้วงเอาม้วนภาพอักษร ซึ่งอยู่ในตู้ด้านหลังของตนเองออกมา ก่อนจะค่อยๆ คลี่ลงบนโต๊ะด้านหน้าอย่างระมัดระวัง

“นี่เป็นภาพอักษรเก่าแก่ที่หวังซีจีเป็นผู้เขียนด้วยพู่กัน นับเป็นสมบัติเก่าแก่ที่หาได้ยากนักในยุคปัจจุบัน ! ”

อาวุโสหวู่อธิบายให้ฉีเล่ยฟังด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ พร้อมกับหยิบเอาแว่นขยายที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาส่องดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณตราประทับ และชื่อที่ปรากฏอยู่บนภาพอักษรนั้น

แม้ว่าฉีเล่ยจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาพอักษรพู่กันมากนัก แต่เขาก็ตั้งใจอ่านมันอย่างจริงจัง แต่แล้วจู่ๆเขาก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะพูดออกไปว่า

“อาวุโสหวู่ เมื่อครู่คุณบอกว่านี่เป็นภาพอักษรลายมือของหวังซีจีเหรอครับ ?”

อาวุโสพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว !  เป็นตัวอักษร ที ่เขียน ขึ้นในยุคแรกๆของหวังจีซี มีอะไรงั้นรึ ? ”

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาช้าๆ ก่อนจะรำพึงรำพันออกมาว่า “ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ..”

หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของฉีเล่ย หวู่เฉินเทียนก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างไม่พอใจนัก นั่นเพราะภาพอักษรม้วนนี้ เขาได้นำไปให้อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนอักษรตรวจดูถึงสี่ห้าคน และทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาพอักษรนี้เป็นลายมือของหวังจีซีจริงๆ

“ผู้มีพระคุณ ไม่ทราบว่าคุณสังเกตเห็นอะไรผิดปกติงั้นรึ ? ”  อาวุโสหวู่ร้องถามฉีเล่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ผมเองไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการประดิษฐ์อักษรนัก แต่จากมุมมองของคนเป็นหมอ ผมมองออกว่า ผู้ที่เขียนอักษรนี้จะต้องเป็นชายชราที่มีอาการป่วยเรื้อรังที่รักษาไม่หาย แต่หากอาวุโสยืนกรานว่า นี่เป็นอักษรที่เขียนโดยหวังจีซี มันออกจะขัดกับความรู้ทางการแพทย์ของผมมากทีเดียว .. ”

“น่าขำ !  คุณหมอฉีอย่าได้พูดอะไรไร้สาระแบบนี้ ! ”  หวู่เฉินเทียนที่ยืนฟังด้วยความไม่พอใจอยู่นาน ในที่สุดก็อดทีแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ห้วนมากไม่ได้

อาวุโสหวู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็จ้องมองภาพอักษรตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เฉินเทียน ที่ผู้มีพระคุณพูดมาก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน !  อย่าลืมว่า คนโบราณเขียนอักษรด้วยพู่กัน ในการที่จะประดิษฐ์อักษรลงไปบนแผ่นกระดาษแต่ละครั้ง  ย่อมจะ ต้องถ่ายทอดพลังปราณในร่างของ ตนผ่านปลายพู่กันด้วย เพราะฉะนั้น ตัวอักษรแต่ละตัว จึง บ่งบอก เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลด้วย .. ”

อาวุโสหวู่ยืดตัวขึ้นพร้อมกับพูดต่อว่า “ในอดีต นักเขียนอักษรแห่งราชวงศ์ชิงผู้หนึ่งได้เผลอหลับไปหลังจากเมามาย และได้เขียนอักษรลงบนผ้าผืนหนึ่ง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็ได้แต่ร้องห่มร้องไห้ว่าตนเองจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานนัก แต่เมื่อบุตรชายของเขามาพบเห็นเข้า ก็ได้แต่ปลอบประโลมว่า เป็นเพราะอักษรเหล่านั้นเขียนในยามเมามายเท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ปราชญ์ประดิษฐ์อักษรภาพผู้นั้นก็ได้เสียชีวิตลงดังที่เขาพูดจริงๆ ..”

“คิดไม่ถึงว่าผู้มีพระคุณจะเก่งเหมือนนักเขียนอักษรผู้นั้น ที่สามารถอ่านพลังชี่ในตัวอักษรได้ ! ”

อาวุโสหวู่พูดขึ้นด้วยสีหน้า และน้ำเสียงประหลาดใจ ก่อนจะโยนแว่นขยายกลับไปไว้ที่เดิมทันที

“แต่พ่อครับ ที่หมอฉีพูดอาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ !  พ่อเองก็รู้ว่า ผมส่งภาพอักษรนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจถึงสี่ห้าครั้ง และทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นของจริง ! ”

หวู่เฉินเทียนยังคงโต้เถียงด้วยความไม่พอใจ และถึงกับหันไปมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

“ผมเองก็ยอมรับว่าไม่มีความรู้เรื่องอักษรภาพจริงๆ เพียงแค่ออกความเห็นในมุมมองคนเป็นหมอเท่านั้น !  เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว ผมไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย .. ”

แม้ว่าฉีเล่ยจะมั่นอกมั่นใจในสายตาของตัวเองอย่างมาก แต่ก็ได้เสนอทางออกที่เป็นกลาง และไม่ได้ตัดสินออกไปอย่างชัดเจน

“คุณหวู่ครับ  ทำไมคุณไม่ลองสอบถามตามร้านขายอักษรภาพโบราณต่างๆดูล่ะครับ ?  ไม่แน่ว่าอาจจะพบชิ้นงานที่คล้ายคลึงกันนี้อีกก็ได้ ..”

หากหวังซีจีได้เขียนอักษรภาพนี้จริง เป็นไปได้ว่าอักษรภาพฉบับนี้ อาจจะเป็นอักษรภาพที่ถูกคัดลอกมาอีกที หากหวู่เฉินเทียนลองไปสืบหาดู ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้พบอักษรภาพของจริงก็เป็นได้ ถึงตอนนี้ ความจริงทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยเอง

อีกหนึ่งเหตุผลที่ฉีเล่ยไม่ต้องการพูดออกไปตรงๆก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่มีพลังชี่อยู่ทั้งสิ้น แม้ภาพอักษรนี้จะดูเก่าแก่ก็จริง แต่เขากลับสัมผัสถึงชี่เก่าแก่โบราณไม่ได้เลย

หวู่เฉินเทียนไม่เชื่อ จึงได้โทรหาคนในวงการขายภาพอักษรที่เขารู้จักอีกสองสามคน หลังจากที่เสนอราคาให้สูงมาก ในที่สุดก็มีคนโทรกลับมาหาเขาจริงๆ และนั่นทำให้หวู่เฉินเทียนถึงกับมีสีหน้าตกอกตกใจเป็นอย่างมาก

นั่นเพราะ คนผู้นั้นบอกกับเขาว่า ตนเองมีภาพอักษรนี้ของหวังจีซีอยู่จริงๆ !

หลังจากที่ความจริงถูกเปิดเผยออกมา หวู่เฉินเทียนก็ถึงกับทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เฉินเทียน ก็แค่ภาพอักษรภาพหนึ่งเท่านั้น !” อาวุโสหวู่ได้แต่หันไปพูดปลอบใจผู้เป็นลูกชาย

“แต่อาวุโสต่ง .. ”

หวู่เฉินเทียนที่กำลังจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา แต่เมื่อหันไปเห็นฉีเล่ย เขาก็รีบหยุดพูดในทันที

ฉีเล่ยเองก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนไม่น้อย จึงได้พูดออกไปว่า “อาวุโสหวู่ คือผม ..”

“ผู้มีพระคุณ อย่าได้เก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย !  ผมต้องขอบคุณสายตาที่แหลมคมของคุณมากกว่า ในเมื่อภาพก็ถูกมอบไปแล้ว ตอนนี้คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว .. ”  อาวุโสหวู่รีบบอกกับฉีเล่ยทันที

หวู่เฉินเทียนต้องยอมรับว่า คำพูดของพ่อเขานั้นถูกต้อง เวลานี้ทุกอย่างได้สายไปแล้ว หากอาวุโสต่งรู้ว่าภาพอักษรที่เขาส่งให้นั้นเป็นของปลอม ตัวเขาเองจะต้องเผชิญปัญหาใหญ่อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้แน่

“ผู้มีพระคุณ เมื่อเวลานั้นมาถึง ผมอาจจะต้องรบกวนของความช่วยเหลือคุณอีกครั้ง ! ”

อาวุโสหวู่ลุกขึ้นยืน พร้อมกับโน้มศรีษะลงต่อหน้าฉีเล่ย พร้อมกับเอ่ยขอร้องเขาด้วยสีหน้าแววตาอ้อนวอน

ฉีเล่ยรีบพยักหน้ารับปากทันที พร้อมตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “ผมยินดีที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ !”

ทุกเรื่องในโลกนี้ล้วนเกิดจากกรรมซึ่งคือการกระทำ ทำเหตุเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น หากจำเป็นต้องช่วย ฉีเล่ยก็พร้อมที่จะช่วย ..

อีกทั้งฉีเล่ยเองก็รู้สึกนับถือในตัวอาวุโสหวู่เช่นกัน อีกทั้งเขาเองก็ยอมรับเข็มทองหางหงส์มาแล้ว และเข็มทองชุดนี้ก็มีมูลค่ามากกว่าภาพของหวังจีซีนับสิบเท่า

หลังจากความจริงในเรื่องนี้ปรากฏขึ้น บรรยากาศภายในห้องรับแขกก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เวลานี้ บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นตึงเครียด ฉีเล่ยจึงได้หอบเข็มทองหางหงส์ พร้อมขอตัวกลับออกมา

หวู่เฉินเทียนจ้องมองแผ่นหลังของฉีเล่ยที่ค่อยๆห่างออกไป ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า “พ่อครับ .. พ่อคิดว่าหมอฉีจะช่วยพวกเราได้จริงๆเหรอครับ ?”

“ผู้มีพระคุณเป็นหมอที่ล้ำเลิศมาก ! พ่อเชื่อว่า เขาจะต้องสร้างความประหลาดใจให้แกเห็นไม่น้อยทีเดียว ไม่เชื่อแกคอยดูต่อไป หมอฉีคนนี้จะเป็นคนที่ช่วยนำพาสกุลหวู่ของเรา ให้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้แน่ !”

หลังจากพูดจบแล้ว อาวุโสหวู่ก็ได้เดินเอามือไขว้หลังออกไปจากห้องทันที ..

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset