ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 7 หัวหน้าครอบครัว

ตอนที่  7  หัวหน้า ครอบครัว

หวู่เฉินเทียนต้องการที่จะโต้แย้งผู้เป็นพ่อ แต่เมื่ออ้าปากขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไป แม้เขาเองจะไม่เชื่อว่า ฉีเล่ยจะสามารถช่วยแก้วิกฤติให้กับสกุลหวู่ได้

ฉีเล่ยเป็นเพียงแค่แพทย์แผนจีนคนหนึ่งเท่านั้น แม้จะมีฝีมือทางด้านการแพทย์ที่ล้ำเลิศอย่างมากก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถมาช่วยสกุลหวู่กู้วิกฤติได้ หากเป็นเรื่องนี้ หวู่เฉินเทียนไม่เคยเห็นฉีเล่ยอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

………

เมื่อฉีเล่ยกลับไปถึงบ้าน เขาก็พบว่า สภาพบ้าน และข้าวของเครื่องใช้ที่พังยับเยินก่อนหน้านี้ ได้ถูกเก็บกวาด และเปลี่ยนใหม่จนหมด รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านด้วย

“ฉีเล่ย ..  ท่านประธานหวู่ฝากบัตรเงินสดนี้ไว้ให้กับนาย ท่านประธานหวู่บอกว่า ในบัญชีมีเงินอยู่หนึ่งล้าน ! ”

ทันทีที่ฉีเล่ยก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน เฉินอวี้หลัวก็ได้ยื่นบัตรเงินสดให้กับเขาทันที พร้อมกับอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด

ฉีเล่ยอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะเป็นหนี้สกุลหวู่ไม่น้อยทีเดียว หากเวลานี้ไม่มีเข็มทองหางหงส์กล่องนี้ เขาคงจะดีอกดีใจกับเงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนเป็นแน่ แต่ตอนนี้ ..

“อวี้หลัว ..  คุณเก็บไว้เถอะ !  ถ้าผมต้องการใช้เงิน ผมจะไปขอคุณเอง ! ”

ฉีเล่ยตอบกลับเฉินอวี้หลัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะยัดบัตรเงินสดในมือของตนเอง คืนกลับไปให้หญิงสาวทันที

เวลานี้ แม่ยายของฉีเล่ยยืนอยู่ข้างๆคนทั้งคู่ ด้วยสีหน้าแววตางุนงง ประหลาดใจ ตื่นเต้น ระคนสับสนปนเปไปหมด เธออ้าปากอยู่สองสามครั้ง และอยากจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา แต่แล้วก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว

“ทุกคนคงจะหิวแล้วสินะครับ !  ผมจะเข้าครัวไปเตรียมอาหารให้ทุกคนเดี๋ยวนี้ .. ”

ฉีเล่ยหันไปบอกสองคนแม่ลูก และเมื่อได้เห็นสีหน้าของคนทั้งคู่เวลานี้ ภายในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ไม่ต้องๆ เธอเองก็เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันแล้ว !  เร็วเข้า รีบไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนก่อน ฉันจะเป็นคนทำอาหารให้ทุกคนกินเอง ! ”  คุณนายเฉินรีบไล่ฉีเล่ยให้ไปอาบน้ำพักผ่อนทันที ส่วนตัวนางเองก็เดินเข้าไปในครัวแทน

ฉีเล่ยได้เห็นและได้ยินเช่นนั้น ก็ถึงกับยิ้มกว้างและหัวเราะออกมา เขาไม่คิดเลยว่า หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ฐานะของเขาภายในบ้านสกุลเฉิน จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้

ตลอดการรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน คุณนายเฉินแทบหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว เธอเฝ้าเอาอกเอาใจและดูแลฉีเล่ยอย่างดี จนเฉินอวี้หลัวถึงกับต้องแอบค้อนให้ผู้เป็นแม่

หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยจึงได้นำเข็มทองหางหงส์ออกมาทำการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับคุณนายเฉิน และผลของการรักษาก็ทำให้คุณนายเฉินประหลาดใจอย่างมาก เพราะเวลานี้ ไม่เพียงเธอจะหายปวดเนื้อปวดตัว แต่อาการปวดไมเกรนของเธอซึ่งเป็นโรคประจำตัว ก็ดูเหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้งด้วย

“ฉีเล่ย ..  อวี้หลัว ..  พวกเธอสองคนแต่งงานกันมาตั้งนานหลายปีแล้ว ป่านนี้ยังไม่มีหลานให้แม่อุ้มอีก อาเล่ย จากนี้ไปเธอต้องขยันหน่อยนะรู้มั๊ย ? ”

คุณนายเฉินร้องตะโกนบอกคนฉีเล่ยกับเฉินอวี้หลัว ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาในห้องรับแขก และเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนของตนเอง

เวลานี้ แคร่ไม้เล็กๆที่วางอยู่ข้างระเบียงบ้านได้หายไปแล้ว เฉินอวี้หลัวได้แต่ยืนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งกลับไปยังห้องนอนของตนเอง

ส่วนฉีเล่ยก็ได้แต่ยืนเกาศรีษะ พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินตามไปที่ห้องนอนของเฉินอวี้หลัว และผลักประตูเข้าไปด้านใน

ผ่านมาถึงแปดปีเต็ม ชายหนุ่มและหญิงสาวจึงได้มีโอกาสเข้าหอกัน แม้จะต้องรอคอยมาเนิ่นนาน แต่ในคืนนั้นก็นับเป็นคืนที่มีหลายความรู้สึกปะปนกัน มีทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะ ความเขินอาย และอารมณ์สุขสม ..

…………

เช้าวันใหม่ ..

เฉินอวี้หลัวเดินออกจากห้องนอนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ และเมื่อพบว่า ฉีเล่ยได้ตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว สีหน้าและแววตาของหญิงสาว ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างมาก

เวลาในวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนเย็น ฉีเล่ยกลับพบว่า แม่ยายของเขาได้จัดเตรียมอาหารเย็นไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะอาหารมีทั้งเป็ด ไก่ ปลา และเนื้อสัตว์อีกมากมาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เฉินอวี้หลัวและแม่ของเธอนั่งรอฉีเล่ยอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยไม่ได้แตะต้องจานอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่า ทั้งสองคนตั้งใจรอฉีเล่ย เพื่อที่จะได้รับประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ฉีเล่ยไม่คุ้นชินกับภาพเช่นนี้นัก เขาจึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคอะเขิน

“แม่ครับ อวี้หลัว .. นี่มันอะไรกัน ? ทำไมถึงไม่ลงมือทานข้าวกันก่อนล่ะครับ ? ไม่เห็นต้องหิ้วท้องรอผมเลย ..”

แม่ยายของฉีเล่ยเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ฉีเล่ย ..  ในครอบครัว ผู้ชายนับว่าเป็นหัวหน้า หากหัวหน้าครอบครัวยังไม่ได้กิน ผู้หญิงในบ้านจะกินอิ่มก่อนได้ยังไงกันล่ะ ?  นั่งลงเร็วเข้า จะได้รีบๆกินกัน เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นซะหมด !”

‘ผู้นำครอบครัวงั้นเหรอ ? ’

ฉีเล่ยถึงกับนิ่งไปด้วยความตกตะลึงกับคำพูด และสีหน้าท่าทางของผู้เป็นแม่ยาย การกระทำของคุณนายเฉิน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกที่จะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

อย่างน้อย เขาก็ควรให้หน้าเฉินอวี้หลัวผู้เป็นภรรยา และนี่คือสิ่งที่ฉีเล่ยคิด !

หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ชวนเฉินอวี้หลัวออกไปเดินย่อยอาหารข้างนอก หลังจากกลับเข้าบ้าน ทั้งคู่ก็เข้าห้องนอนทันที

หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ขึ้นไปนอนบนเตียง และคืนนี้ เฉินอวี้หลัวก็ได้เป็นฝ่ายเล้าโลมเขาก่อน ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเริ่มติดใจรสชาติหอมหวาน ที่เขาปรนเปรอให้เมื่อคืนนี้ จนไม่อาจที่จะหักห้ามใจได้

ในเมื่อภรรยาเรียกร้อย เขาในฐานะสามียังจะทำอะไรได้อีกเล่า นอกจากทำให้หญิงสาวพึงพอใจอย่างมากที่สุดในคืนนี้ !

……………

ที่คฤหาสน์สกุลหวู่ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองหนานหยาง ..

เวลานี้ พ่อลูกสกุลหวู่ต่างก็กำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น ต่างคนต่างก็สูบซิการ์ราคาแพงกันคนละมวน

ภายในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยควันโขมงของซิการ์ และคิ้วทั้งสองของพ่อลูกคู่นี้ ต่างก็ขมวดเข้าหากันแน่น ทั้งสองคนนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จากัน จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ หวู่เฉินเทียนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า

“พ่อครับ อาวุโสต่งใกล้จะถึงหนานหยางแล้ว ผมควรจะทำยังไงดี ? ”

จากนั้น หวู่เฉินเทียนก็จ้องมองผู้เป็นพ่อแน่นิ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาท่ามกลางความเงียบสงัดอีกครั้ง

สีหน้าของหวู่เฉินเทียนบ่งบอกชัดเจนว่า แม้เขาจะเคยผ่านพายุ และคลื่นลูกใหญ่ในชีวิตมามากมาย แต่เขากลับรู้สึกว่า ครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักหนาที่สุดในชีวิต

หวู่เฉินเทียนพ่นควันซิการ์ออกจากปากเพื่อผ่อนคลายความหนักใจ ก่อนจะพูดกับผู้เป็นพ่อต่อว่า

“พ่อครับ เป็นไปได้มั๊ยครับที่อาวุโสต่งจะมองไม่ออก ? แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนที่ผมนำภาพอักษรไปให้ดู พวกเขายังไม่รู้เลยว่าเป็นขอปลอม แล้วอาวุโสต่งจะมองอออกได้ยังไงกัน ?”

“หึ !  แกอย่าพูดอะไรตลกไปหน่อยเลย ! ”

หวู่เฉิงเฟิงผู้เป็นพ่อหันไปจ้องมองหน้าลูกชาย ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังพร้อมกับร้องตะโกนบอกไป แต่ก็มีสติพอที่จะไม่ผรุสวาทออกไปเสียก่อน

หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง หวู่เฉิงเฟิงก็พูดต่อทันที “นี่แกคิดได้ยังไงว่าอาวุโสต่งจะดูไม่ออก ?  แล้วถ้าเขาดูออกว่าเป็นของปลอมล่ะ ?  แกจะรับผิดชอบผลที่ตามมาไว้งั้นเหรอ ?  เพราะแม้แต่ฉันเอง ก็ยังรับไม่ไหว ! ”

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ หวู่เฉินเทียนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตา พร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ

เฉินเทียนกรุ๊ป นับเป็นกลุ่มบริษัที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองหนานหยาง ซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรง และพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจของพวกเขาสองพ่อลูก ทำให้ธุรกิจในเครืองของสกุลหวู่ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด จนทำให้หวู่เฉินเทียนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในหนานหยาง

แต่ปัญหาก็คือ ความทะเยอทะยานของหวู่เฉินเทียนไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น !

เขารู้สึกว่า เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหนานหยางนั้นยังน้อยไป เขาจึงได้พยายามที่จะนำพาเฉินเทียนกรุ๊ป ให้ใหญ่โตและขยายไปกว้างไกลกว่านี้

และเพียงแค่เริ่มต้นของปีนี้ หวู่เฉินเทียนก็ได้ใช้เงินลงทุนไปกับธรุกิจของตนเองอย่างมากมายทีเดียว

แน่นอนว่า เมื่อเงินถูกนำไปลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงยังไม่เห็นผลกำไรในทันที ทำให้เทียนเฉินกรุ๊ปตกอยู่ในสถานการณ์การเงินที่ค่อนข้างวิกฤติ และหากเฉินเทียนกรุ๊ปไม่สามารถผ่านพ้นช่วงเวลายากเข็ญนี้ไปได้ จากนี้ไป เฉินเทียนกรุ๊ปคงต้องกลายเป็นเพียงแค่ตำนานในวงการธุรกิจ เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆอย่างแน่นอน

ประตูแห่งความสำเร็จทางธุรกิจนั้น เปรียบเสมือนกับการเดินเข้าประตูบานหนึ่ง ที่นอกจากจะมีเพียงบานเดียวแล้ว ยังเล็ก และแคบมากอีกด้วย แต่กลับมีผู้คนมากมายที่พยายามต่อสู้ เพื่อเบียดเสียดกันเข้าไปในประตูให้ได้ และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เข้าไปในประตูได้สำเร็จ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ต้องเสียชีวิตอยู่นอกประตูเสียก่อนแทบทั้งสิ้น

การทำธุรกิจล้วนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและบีบคั้น แม้ตลาดธุรกิจในโลกใบนี้จะใหญ่โต มีทรัพยากรอยู่มากมาย แต่ถ้าไม่ดิ้นรนแก่งแย่ง ก็ยากที่จะได้มาครอบครอง นั่นเพราะโลกธุรกิจคือโลกของการแข่งขัน !

หลายคนมักพูดว่า นักธุรกิจล้วนโหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัว แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า หากเหล่าพ่อค้าไม่เหี้ยมพอ พวกเขาก็ยากที่จะรักษาธุรกิจในมือไว้ได้ ..

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset