ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 202-1 การปะทะระหว่างทางกลับเมืองหลวง

หลังจากใต้เท้าไปแล้ว หมิ่นซือเหนียนก็คว้าแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมาแล้วขว้างลงบนพื้นอย่างแรง คนที่ยืนรับใช้อยู่ภายในห้องต่างก็ใจสั่น ก้มหน้างุดอยากจะให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้

 

 

“นายท่านสาม ท่านว่าใต้เท้าอวี๋มีเจตนาอันใด” ชายสวมชุดจอมยุทธ์เป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของหมิ่นซือเหนียน เขาส่งสายตาให้แม่เล้าฉิน รั้นจะถามกลับ

 

 

แม่เล้าฉินเองก็เป็นคนฉลาด ไม่เรียกคนใช้ แต่เก็บกวาดเศษแก้วบนพื้นด้วยตัวเอง การเคลื่อนไหวเบายิ่งนัก กลัวว่าหากมีเสียงแม้แต่นิดเดียวจะยั่วยุไฟโกรธของหมิ่นซือเหนียน

 

 

หมิ่นซือเหนียนยิ้มเยาะ “เจตนาอันใดงั้นหรือ เพียงแค่เตือนข้าว่านั่นไม่ใช่คนที่ข้าจะผิดใจได้ก็เท่านั้น” อวี๋เซวียนตาเฒ่านั่นกลับเอาตัวรอดได้ ไม่กล้าผิดใจตนเอง แต่ก็ไม่อยากผิดใจคุณชายจวนจงอู่โหวอะไรนั่น เหอะ ใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายเพียงนั้น

 

 

แต่ว่าเด็กนั่นคือคุณชายจวนจงอู่โหวในเมืองหลวง นี่กลับทำให้เขาประหลาดใจ แต่หลังจากนั้นเมื่อคิดดูแล้วก็เข้าใจ จวนจงอู่โหวตั้งตระกูลจากการทหาร ข้างกายคุณชายจวนโหวจะไร้คนติดตามหลายคนได้อย่างไร มิน่าเล่าเร็วเพียงนั้นถึงได้หาคฤหาสน์เจอแล้ว

 

 

ภูมิหลังค่อนข้างใหญ่ แม้ว่าหมิ่นซือเนียนจะไม่กลัว แต่ก็รู้สึกจัดการยากเล็กน้อย

 

 

“นายท่าสาม เช่นนั้นคืนนี้พวกเรา?” ชายในชุดจอมยุทธ์ถามต่อ ในใจเขาเองก็ยังคงหวาดกลัวอยู่หลายส่วน ให้ตายเถอะ นั่นคือคุณชายจวนโหว คืนนี้ผู้ที่เขาต้องพาคนไปจู่โจมคาดไม่ถึงว่าเป็นคุณชายจวนโหว ปู่เขากระดิกนิ้วก็บดขยี้ตนได้แล้วมิใช่หรือ โชคดีที่ใต้เท้าอวี๋นำข่าวนี้มาบอก ไม่เหมือนหมิ่นซานเหนียนที่เดือดดาล เขากับรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง

 

 

“ถูกคนเปิดเผยตัวแล้ว ยังจะไปทำไมอีก” หมิ่นซือเนียนกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “ไม่ใช่ใต้เท้าอวี๋พูดหรือว่า เขาส่งกำลังคนไปแล้ว พวกเราไปจะยังได้อะไรขึ้นมา” อวี๋เซวียนสมควรตายผู้นี้

 

 

ชายในชุดจอมยุทธ์ถอนหายใจยาวโล่งอกอยู่เงียบๆ ในใจ

 

 

เสิ่นเวยทราบว่าพลลับหนึ่งไปยืมคนจากใต้เท้าข้าหลวงมาได้สำเร็จ เข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว มุมปากนางก็ยกขึ้น ดูท่าแล้วคืนนี้จะหลับสบายได้แล้ว สำหรับจิตใจของใต้เท้าข้าหลวงผู้นั้นนางกลับเดาได้หลายส่วน นางไม่ถือสาเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องบนโลกก็เป็นเช่นนี้ แวดวงขุนนางก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงแค่ใต้เท้าข้าหลวงผู้นี้ไม่ใช่คนเลอะเลือน นางก็ไม่ถือสาที่จะผูกพันธมิตรเพิ่มอีกหนึ่งคน

 

 

หลายปีมานี้ที่ใช้ชีวิตมา รวมกลุ่มกันจึงจะไปได้ไกล สู้เพียงลำพังเรี่ยวแรงยังคงไม่พอ

 

 

หมิ่นซือเหนียนไม่มีอารมณ์กินอาหารชั้นดีที่วางอยู่เต็มโต๊ะเลยแม้แต่นิดเดียว ก้มหน้าดื่มสุราแก้วแล้วแก้วเล่า แม่เล้าฉินที่รินสุราอยู่ข้างๆ ก็อกสั่นขวัญแขวน แม้จะรู้ว่าหมิ่นซือเหนียนคอแข็ง แต่ก็ไม่อาจดื่มหนักเช่นนี้ได้ ดื่มจนเมาแล้วยังไม่รู้ว่าจะทรมานตัวเองอย่างไร นึกถึงนิสัยของหมิ่นซือเหนียน สีหน้าแม่เล้าฉินก็ซีดลงหลายส่วนอย่างอดไม่ได้

 

 

“นายท่านสาม เอาแต่ดื่มสุราเช่นนี้จะไปสนุกอะไร ให้ข้าเรียกแม่นางหลายคนมาขับเพลงให้ท่านอารมณ์ดีดีหรือไม่ ช่วงนี้ซูซูเรียนเพลงบทใหม่หลายบท ท่านยังไม่เคยฟังมิใช่หรือ ไม่สู้เรียกนางมา…”

 

 

พูดยังไม่ทันจบก็ถูกหมิ่นซือเหนียนตัดบท “ขับเพลงอะไร หนวกหู ข้ากลุ้มใจ เจ้านั่งลง ดื่มเป็นเพื่อนข้าสองแก้ว”

 

 

“เจ้าค่ะ ข้ารับคำสั่ง” ต่อให้แม่เล้าฉินจะไม่ยินยอมก็ต้องดื่มสุราเป็นเพื่อนอย่างยินดี

 

 

หมิ่นซือเหนียนยิ่งดื่มตาก็ยิ่งเป็นประกาย แม่เล้าฉินยิ่งดื่มจิตใจก็ยิ่งเต้น กล่าวด้วยความกล้าหาญ “นายท่านสาม พอได้แล้วกระมัง ข้าไม่ไหวจริงๆ” สุราออกฤทธิ์ ทั้งใบหน้าของแม่เล้าฉินก็แดงก่ำ

 

 

ทว่าหมิ่นซือเหนียนไม่สนใจนาง กลับขึ้นเสียงเรียก “เอ้อร์กุ้ย เข้ามา”

 

 

เอ้อร์กุ้ยที่ยืนรับใช้อยู่ข้างนอกวิ่งเข้ามาทันที รอยเลือดบนศีรษะเขาล้างสะอาดแล้ว ศีรษะทั้งศีรษะพันผ้าขาวไว้หนึ่งรอบ มองไปแล้วดูตลกอย่างถึงที่สุด

 

 

“นายท่านสาม ท่านมีอะไรรับสั่งหรือขอรับ” บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มสอพลอ ท่าทางเป็นสุนัขรับใช้

 

 

มือที่ถือแก้วของหมิ่นซือเหนียนหยุดชะงัก จากนั้นจึงจรดแก้วสุราไว้ตรงมุมปาก เงยหน้า สุราในแก้วก็ลงท้องไปทั้งหมด “ไปเชิญอาจารย์เฮ่อมา” ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่ยินยอม หากปล่อยให้จบเช่นนี้ในภายหน้าเขาก็คงจะต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกนาน

 

 

เอ้อร์กุ้ยตกตะลึง ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”

 

 

เอ้อร์กุ้ยติดตามหมิ่นซือเหนียนมาหลายปีแล้ว ย่อมต้องเข้าใจเจตนาในการเรียกอาจารย์เฮ่อผู้นี้ อาจารย์เฮ่อเป็นบุคคลพิเศษอย่างยิ่งข้างกายนายท่านสาม จัดการปัญหายุ่งยากจำนวนหนึ่งให้นายท่านโดยเฉพาะ ปกติก็อยู่แต่ในเรือนของตน ไม่ชอบออกจากบ้าน เรือนหลังนั้นของเขาคนอื่นไม่ก็ชอบเข้าไป เหตุใดน่ะหรือ เอ้อร์กุ้ยก็บอกไม่ถูก แต่มักจะรู้สึกว่าเรือนของอาจารย์เฮ่อมืดทะมึน เมื่อเข้าไปก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

 

 

อาจารย์เฮ่อมาเร็วอย่างยิ่ง “นายท่านสาม” เขาประสานมือคารวะหมิ่นซือเหนียน ท่าทางตามอำเภอใจอยางถึงที่สุด มีความสง่างามที่บอกไม่ถูก เสียงคาดไม่ถึงว่าไพเราะอย่างถึงที่สุด ไม่เข้ากับภาพลักษณ์ภายนอกของเขาอย่างสิ้นเชิง

 

 

อาจารย์เฮ่อดูไม่มีความกลุ้มใจเลยแม้แต่น้อย กลับเหมือนนักปราชญ์ที่มีความรู้ผู้หนึ่ง ในดวงตาที่ลุ่มลึกหนึ่งคู่เต็มไปด้วยความเมตตาและรอยยิ้ม

 

 

หมิ่นซือเหนียนเองก็ไม่ได้ถือสาที่เขาไม่ถ่อมตน แต่กลับกล่าวอย่างสุภาพ “ครั้งนี้ต้องรบกวนอาจารย์ออกมือแล้ว”

 

 

“ไม่เป็นไร นายท่านสามเชิญรับสั่ง” อาจารยเฮ่อกล่าว

 

 

หมิ่นซือเหนียนตาลุกวาว เล่าเรื่องให้ฟังหนึ่งรอบ อาจารย์เฮ่อก็กล่าวต่อ “นายท่านสามหวังจะให้ทำถึงระดับใด”

 

 

หมิ่นซือเหนียนครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ยินยอม “ให้บทเรียนเสียหน่อย ไม่ต้องเอาชีวิตก็พอ” เด็กโง่คนนั้นเผาคฤหาสน์ของเขา ทั้งยังปล่อยสินค้าที่เขาหามาด้วยความยากลำบากหนึ่งกลุ่มใหญ่ หากปล่อยเขาไปอย่างไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจะกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้อย่างไร

 

 

คุณชายจวนจงอู่โหวแล้วอย่างไร เอาชีวิตเจ้าไม่ได้แล้วยังจะคิดดอกเบี้ยให้ข้าไม่ได้อีกหรือ มิหนำซ้ำใครจะรู้ว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำ คนของข้าไม่ได้ขยับอย่างสิ้นเชิง

 

 

ดังเช่นตระกูลใหญ่ทรงอำนาจ ตระกูลใดบ้างไม่มีไพ่ลับหลายๆ ใบ และอาจารย์เฮ่อก็คือไพ่ลับหนึ่งใบที่ดีที่สุดในมือหมิ่นซือเหนียน อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าอาจารย์เฮ่อเป็นใครมาจากไหน กระทั่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาแซ่เหอ หรือว่าในชื่อมีอักษรเฮ่ออยู่ เขาเพียงแค่บังเอิญช่วยชีวิตเขาไว้หนึ่งครั้ง เขาจึงติดตามเขามาตระกูลหมิ่น หลายปีมานี้ช่วยเขาจัดการเรื่องที่เขาไม่สะดวกออกมือไม่น้อย ทำให้ฐานะในตระกูลหมิ่นของตนมั่นคงยิ่งขึ้น ความระมัดระวังตัวในตอนแรกที่เขามีต่ออาจารย์เฮ่อก็กลายเป็นความเชื่อใจและเคารพอย่างเช่นในตอนนี้

 

 

ราตรีมืดมิดสายลมกรรโชก ควรค่าแก่การสังหารวางเพลิง อาจารย์เฮ่อยืนอยู่บนหลังคาเงยหน้ามองนภาที่ดำมืด ดวงจันทร์ในคืนนี้ราวกับสัมผัสได้ถึงความไม่สงบ มักจะหลบเข้ากลีบเมฆอยู่เสมอ ดวงดาราก็ไม่มากเช่นกัน ประหนึ่งง่วงนอน กะพริบตาอย่างโรยแรง หากเป็นกลางวัน เจ้าจะต้องมองเห็นความทุกข์ตรมในแววตาของอาจารย์เฮ่อ เสมือนพระพุทธเจ้าที่โปรดสรรพสิ่งอยู่บนตำหนัก

 

 

แม้เสิ่นเวยจะบอกว่าโหยหาการนอนหลับสนิท แต่ความตื่นตัวที่ฝึกฝนมาในหลายปีนี้ก็ยังคงอยู่ แทบจะในทันทีที่อาจารย์เฮ่อจรดเท้าลงที่นอกประตูนางก็รู้สึกตัวแล้ว นางนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับ แต่มือกลับคลำไปใต้หมอน

 

 

เสิ่นเวยลืมตาอยู่ กุมกริช ร่างทั้งร่างกระชับตึง เตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ

 

 

รออยู่นานแล้วก็ยังไม่มีควันสลบ ซ้ำยังไม่มีการจู่โจม ในห้องกลับมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นมา “คุณชายท่านนี้ตื่นแล้วสินะ”

 

 

เสิ่นเวยตกใจ แต่กลับไม่ได้ส่งเสียง กระทั่งลมหายใจก็ไม่เปลี่ยน นางไม่แน่ใจว่าคนที่มาหลอกนางหรือไม่ ทำได้เพียงเตรียมระวังอยู่เงียบๆ

 

 

หึ เสียงหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง “กลับเป็นคนรอบคอบดีนี่ มีสหายเดินทางไกลมาหา ไม่ใช่ควรลุกจากเตียงมาต้อนรับหรอกหรือ”

 

 

คนผู้นี้สติไม่ดี นี่คือความคิดแรกของเสิ่นเวย กลางดึกยามสามเข้ามาในห้องคนอื่น นี่ไหนเลยจะเป็นเรื่องที่สหายทำกัน ศัตรูสิไม่ว่า ตอนนี้ เสิ่นเวยเพิ่งจะมั่นใจได้ว่าผู้ที่มารู้ว่านางตื่นแล้ว ลมปราณของนางก่อนหน้านี้ก็หลุดไปเล็กน้อย คาดว่าถูกคนสังเกตเห็นแล้ว

 

 

“บนโต๊ะมีคบไฟ รบกวนสหายจุดเทียนไขที พวกเราจะได้นั่งสนทนากันยามค่ำคืน” เสิ่นเวยเอ่ยปากกล่าว

 

 

หึ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นพวกเราจะคุยอะไรกันดีเล่า” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสนใจ ราวกับว่าเสิ่นเวยเล่าเรื่องตลกอย่างยิ่ง

 

 

“ย่อมต้องพูดคุยเรื่องชีวิตเอยความคิดเอยต่างๆ นานา จะได้ถือโอกาสพูดคุยว่ากลางดึกสหายไม่หลับไม่นอนแอบเข้ามาหาข้าทำไม นิสัยเช่นนี้ไม่ดีเลย” พูดยังไม่ทันขาดคำ คนก็จู่โจมเข้ามาแล้ว กริชในมือแทงไปยังผู้ที่มาอย่างโหดเ**้ยม

 

 

ผู้ที่มาคล้ายรู้ว่าเสิ่นเวยจะทำเช่นนี้ เท้าก้าวหนึ่งจังหวะก็หลบกริชของเสิ่นเวยได้แล้ว ระหว่างนั้นเสิ่นเวยก็แทงเข้ามาอีกสี่ห้าครั้ง ล้วนแต่ถูกผู้ที่มาหลบได้ทั้งสิ้น

 

 

ปังๆๆ ชั่วพริบตาทั้งสองก็ผลัดกันโจมตี ท่ามกลางความดำมืดก็ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว แต่กลับไม่มีใครยอมใคร เสิ่นเวยกล่าวในใจ แย่ล่ะ นี่มันยอดฝีมือ คนผู้นี้หลบทหารลับได้ จะต้องมีความสามารถมากแน่ๆ เขาติดอยู่กับนางที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ห้องท่านอาและลูกผู้น้องจะมีคนหรือไม่ หากมี เช่นนั้นก็แย่แล้วจริงๆ

 

 

อาจารย์เฮ่อที่มาก็ประหลาดใจเช่นกัน ไอหยา คุณชายจวนโหวที่ว่าผู้นี้เก่งอย่างยิ่งจริงๆ มิน่าเล่าหมิ่นเหล่าซานถึงได้เสียเปลี่ยนในมือเขา ตอนที่มาเขาคิดไว้แล้วว่า ในเมื่อหมิ่นเหล่าซานบอกว่าให้ไว้ชีวิต เช่นนั้นเขาตัดขาเขาไปข้างหนึ่งก็พอแล้ว คุณชายจวนโหวที่ขาด้วนจะต้องน่าสนใจอย่างยิ่ง ตอนนี้ดูท่าแล้วคงจะไม่ง่ายยิ่งนัก

 

 

ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกสิบกว่ากระบวนท่า แม้เสิ่นเวยจะไม่เสียเปรียบ แต่นางก็รู้ว่าสู้ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ได้ ในเมื่อรีบรบรีบจบไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องหาคนช่วยแล้ว

 

 

เมื่อเกิดความคิดนี้ เสิ่นเวยก็ถีบโต๊ะอย่างแรง กระแทกไปกับประตู ส่งเสียงดังสนั่นอย่างยิ่ง

 

 

“แย่แล้ว รีบไปคุ้มกันนายท่าน” ในที่สุดโอวหยางไน่กับทหารลับก็ได้ยินการเคลื่อนไหว นอกจากคนที่คุ้มกันเสิ่นหย่าสองแม่ลูกจะไม่ขยับ คนทั้งหมดที่เหลือก็วิ่งไปทางห้องของเสิ่นเวย แม้แต่คุณชายคนโง่ผู้นั้นก็มาแล้วเช่นกัน

 

 

“พี่ชายไม่ต้องกลัว ข้าน้อยมาช่วยท่านแล้ว” คุณชายคนโง่ อ้อไม่ เขาบอกเสิ่นเวยเองว่าเขาแซ่ฟู่ คุณชายฟู่ตะโกนเสียงดังโผเข้ามาหาอาจารย์เฮ่อทันที

 

 

มุมปากของเสิ่นเวยกระตุกเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าหมอนี่ถือเทียนมาด้วย ห้องที่เขาอยู่ห่างจากห้องของเสิ่นเวยระยะหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาปกป้องไฟไม่ให้ดับทั้งยังวิ่งมาเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset