ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 202-2 การปะทะระหว่างทางกลับเมืองหลวง

คุณชายฟู่โยนเทียนในมือไปบนร่างอาจารย์ฟู่ ยกหมัดขึ้นแล้วต่อยออกไป ท่ามกลางแสงไฟเสิ่นเวยมองเห็นโฉมหน้าของอาจารย์เฮ่อ ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ มือสังหารไม่ใช่หน้าตาโหดเ**้ยมดุร้ายน่ากลัวหรอกหรือ เหตุใดมือสังหารผู้นี้ถึงได้เหมือนนักปราชญ์เลยเล่า

 

 

มีคุณชายฟู่กับทหารลับเข้ามา ชั่วขณะเสิ่นเวยก็ผ่อนคลายลง โดยเฉพาะคุณชายฟู่ผู้นั้น ต่อยไปทางขวา เตะไปทางซ้าย อีกทั้งยังร้องฮือๆ ไม่หยุด ประหนึ่งจนตรอกอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยสังเกตเห็นว่าเขาสามารถหลบกระบวนท่าสังหารในอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ทุกครั้ง อย่าเห็นว่าเขาร้องโวยวาย ความจริงแล้วไม่ได้ถูกโจมตีเลย

 

 

นี่ทำให้เสิ่นเวยยิ่งมั่นใจว่าหมอนี่ทำซื่อเป็นแมวนอนหวด จึงปล่อยให้เขาร้องตวาดไป ทำให้มือสังหารสับสนวุ่นวายจึงจะดี น่าเสียดายที่เป้าหมายที่นางปรารถนากำลังจะล้มเหลวแล้ว อาจารย์เฮ่อสีหน้าไม่สะทกสะท้าน กระบวนท่าก็ดุดัน ไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

 

 

อาจารย์เฮ่อรู้ว่าวันนี้โจมตีไม่ได้แล้ว ต่อให้วรยุทธ์เขาจะสูงก็ยากจะต่อสู้กับศัตรูหลายคน โดยเฉพาะเด็กที่โวยวายผู้นี้ เขาจะจัดการเขาอย่างไร ปลายกระบี่อยู่ห่างจากเขาตั้งไกลก็ร้องจนห่างออกไปสิบลี้ก็ยังได้ยิน แต่ว่าที่เด็กคนนี้ทำเป็นศิลปะการป้องกันตัวของตระกูลฟู่ เขาเป็นอะไรกับฟู่เซิ่งเทียนกัน

 

 

อาจารย์ฟู่คาดการณ์ได้ว่าไม่ดีแล้ว เก็บพิรุธแล้วใช้กระบวนท่าหนึ่งกระโดดออกมาจากวงล้อม ประหนึ่งลูกนกนางแอ่นที่โผบินเข้าป่า ขึ้นๆ ลงๆ ไม่กี่ครั้งก็หายไปในแสงยามราตรีที่ไร้ขอบเขตแล้ว

 

 

ทหารลับจะตามไป ถูกเสิ่นเวยห้ามไว้ “ไม่ต้องตามแล้ว” ตามไปแล้วอย่างไร อย่าได้ตกหลุมพรางกลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำของเขาเด็ดขาด ปกป้องโรงเตี๊ยมให้ดีก่อน อย่าให้เขาได้มีโอกาสอีก

 

 

เสิ่นหย่าตกใจตื่นแล้ว ตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่ทำก็คือวิ่งไปที่ห้องลูกสาว เห็นลูกสาวยังคงนอนหลับสนิท ก็วางใจลง ตอนนี้เห็นเสิ่นเวยเข้ามา นางก็จับมือของเสิ่นเวยไว้ทันที “หลานสี่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” นางถูกเยว่ว์กุ้ยคุ้มกันไว้ในห้อง แต่นางได้ยินเสียงดาบกระบี่ปะทะกันข้างนอก นางกลัวยิ่งนัก แม้ว่าหลานสี่จะมีความสามารถ แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง

 

 

“ท่านอา ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่โจรขโมยของคนหนึ่ง ไล่เขาหนีไปแล้ว ท่านรีบไปพักเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ขึ้นเรือแล้ว ท่านต้องพักผ่อนให้เพียงพอ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างเรียบง่าย ทั้งยังปลอบขวัญท่านอานางอยู่พักหนึ่งจึงกล่อมให้นางกลับไปได้

 

 

โอวหยางไน่พาคนไปตรวจดูรอบหนึ่ง ส่ายหน้าให้เสิ่นเวย “ไม่มีความผิดปกติ คาดว่ามาแค่ผู้นี้ผู้เดียว” เสิ่นเวยพยักหน้าเบาๆ วางใจลงแล้ว

 

 

ส่วนกำลังคนหนึ่งกลุ่มที่ยืมมาจากใต้เท้าอวี๋ตอนนี้ต่างก็เข้ามาแล้ว คนผู้นั้นที่นำมาสีหน้าเหยเก เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ใต้เท้าอวี๋ส่งพวกเขามาปกป้องคุณชายหนุ่มผู้นี้ ผลสุดท้ายเล่า โรงเตี๊ยมมีมือสังหารมาพวกเขาไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งพวกเขาได้ยินการเคลื่อนไหว คนก็ไล่มือสังหารหนีไปแล้ว กลับไปจะรายงานใต้เท้าอย่างไร

 

 

“คุณชายเสิ่น” คนผู้นั้นที่นำมาเอ่ยปากด้วยสีหน้าอึกอัก แต่กลับถูกเสิ่นเวยแย่งพูดขึ้นก่อน “การตรวจตราครึ่งคืนหลังจากนี้ก็รบกวนทุกท่านแล้ว”

 

 

คนผู้นั้นที่นำมาถอนหายใจในชั่วขณะ ตอบรับเต็มปากเต็มคำ “ควรเป็นเช่นนั้น ควรเป็นเช่นนั้น คุณชายเสิ่นวางใจเถิด มีพวกข้าพี่น้องอยู่ ไม่อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่นอน” เขาตบอกรับประกัน นำคนลงไปจัดระเบียบ

 

 

เสิ่นเวยโบกมือให้คนทั้งหมด ไม่มีอารมณ์จะพูดแม้แต่นิดเดียว ในใจนางรู้ดีอย่างยิ่ง คนผู้นั้นในคืนนี้จะต้องเป็นคนที่หมิ่นซือเหนียนส่งมาแน่นอน แต่ว่าในมือนางไม่มีหลักฐาน เฮ้อ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปนอนก่อนดีกว่า นอนตื่นแล้วจึงจะมีอารมณ์มาคิดแก้ปัญหา เรื่องที่ใหญ่เท่าฟ้าพรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันแล้วกัน

 

 

เสิ่นเวยเตะคุณชายฟู่ที่โวยวายว่านางได้ผลประโยชน์แล้วทิ้งผู้นั้นออกไป เดินหาวคลานขึ้นเตียง

 

 

คราวนี้โอวหยางไน่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมออกห่างแล้ว เฝ้าอยู่นอกประตูห้องคุณหนูของเขาราวกับเสาหนึ่งต้น ส่วนทหารลับก็พากันซ่อนตัว

 

 

เช้าวันที่สอง กลุ่มของเสิ่นเวยเพิ่งจะทานข้าวเช้าเสร็จ ข้าหลวงอวี๋กับหมิ่นซือเหนียนก็รีบตามมา

 

 

“คุณชายเสิ่น ฟังว่าเมื่อคืนมีมือสังหารมา พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ข้าหลวงอวี๋ถามไถ่ทันที เมื่อเช้าได้รับข่าวเขาก็กลัดกลุ้มใจ กลัวว่าคุณชายท่านนี้จะเกิดอะไรขึ้นในอาณาเขตของเขา

 

 

หมิ่นซือเหนียนเองก็มีสีหน้าเป็นกังวล “ใช่แล้ว ใช่แล้ว คุณชายไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ผู้แซ่หมิ่นได้ยินใต้เท้าอวี๋พูดขึ้นมา ตกใจแทบแย่ เหตุใดถึงพบมือสังหารได้” เห็นเสิ่นเวยยืนอยู่ตรงหน้าอย่างแข็งแรงปลอดภัย ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความเสียดาย แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ ทำร้ายเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าเกลียด ขอเพียงแค่สร้างความรำคาญใจให้เจ้า เช่นนั้นข้าก็มีความสุขแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้เขาจึงมาสร้างความรำคาญใจให้เสิ่นเวย

 

 

“คนผู้นี้คือ?” เสิ่นเวยตั้งใจถามด้วยความสงสัย ในใจกลับฝากความคิดถึงไปให้บรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของหมิ่นซือเหนียนหนึ่งรอบแล้ว

 

 

บนใบหน้าของหมิ่นซือเหนียนผะอืดผะอมขึ้นมา ความโกรธแวบผ่านดวงตาเขาไป ข้าหลวงอวี๋แอบดีใจเงียบๆ สำหรับเรื่องมือสังหารเมื่อคืนเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงไม่พอใจหมิ่นซือเหนียนอย่างมาก อุส่าตั้งใจไปบอกก่อนแล้ว เจ้าก็ยังจะเลื่อนขาเก้าอี้ข้างั้นหรือ

 

 

“มาๆ ให้ข้าแนะนำให้คุณชายเสิ่น คนผู้นี้คือนายท่านสามตระกูลหมิ่นเมืองทงโจวของพวกเรา ก่อนหน้านี้นายท่านสามแซ่หมิ่นล่วงเกินคุณชายเสิ่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขามาของให้ข้าเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ใต้เท้าคุณชายเสิ่นมีอำนาจมาก คงไม่คิดเล็ดคิดน้อยกับนายท่านสามหรอกกระมัง หืม? ฮ่าๆ” ข้าหลวงอวี๋หัวเราะฮ่าๆ อยากลบเรื่องนี้ออกไป ไม่ใช่ว่าเขาจิตใจดี แต่เขากลัวว่าทั้งสองคนทะเลาะกัน จะลามมาถึงตัวเขาด้วย

 

 

หมิ่นซือเหนียนเองก็รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า “เป็นพวกบ่าวที่ไม่รู้ประสา ล่วงเกินคุณชายเสิ่น หวังว่าคุณชายเสิ่นจะเมตตา ปล่อยผู้แซ่หมิ่นไป” เขาโบกมือ ก็เห็นเด็กรับใช้สิบกว่าคนยกของขวัญก้าวเข้ามา “ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าคุณชายเสิ่นจะให้อภัย”

 

 

ปากก็พูดจาน่าฟัง แต่สีหน้าท่าทางในแววตากลับโองหังยิ่งนัก ราวกับว่าได้รับคำขอโทษจากเขาหนึ่งประโยคก็เป็นเกียรติมากแล้ว

 

 

ให้อภัยย่าเจ้าสิ เสิ่นเวยบ่นคำหยาบในใจหนึ่งประโยค ทว่าบนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความจริงใจและซาบซึ้ง ปากเองก็พูดจาน่าฟัง “ดูนายท่านสามพูดเข้า ล่วงเกินไม่ล่วงเกินอะไร พวกเราเองก็นับว่าไม่ทะเลาะก็ไม่ได้รู้จัก อันที่จริงจะว่าไปแล้วกลับเป็นข้าที่ผิด ข้าอายุยังน้อยใจร้อน ไม่รู้ว่านั่นคือการธุรกิจของนายท่านสามแซ่หมิ่น มิเช่นนั้นก็คงจะไม่จุดไฟ…เฮ้อ คฤหาสน์ดีๆ หนึ่งหลัง หรือว่า ให้ข้าชดเชยคฤหาสน์หลังใหม่ให้นายท่านสามดี”

 

 

ไม่เอยถึงคฤหาสน์ยังดี เมื่อเอ่ยถึงคฤหาสน์แล้วแววตาของหมิ่นซือเหนียนก็มีความดุร้ายแวบผ่าน เขามั่นใจมากว่าคุณชายจวนโหวผู้นี้ตรงหน้าจะต้องตั้งใจ เขาตั้งใจอยากยั่วโมโหตน เหอะ อายุยังน้อยก็เล่นอุบายต่อหน้าข้าแล้ว ไม่ดูบ้างว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่

 

 

ด้วยเหตุนี้หมิ่นซือเหนียนจึงหัวเราะฮ่าๆ “เข้าใจผิด เข้าใจผิด เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด คุณชายเสิ่นพูดถูก พวกเราไม่ทะเลาะก็ไม่ได้รู้จักกัน ข้าชอบเด็กหนุ่มมากความสามารถเช่นคุณชายเสิ่นที่สุด อ้อจริงสิ คุณชายเสิ่นนั่งเรือกลับเมืองหลวงใช่หรือไม่ นั่งเรือดียิ่งนัก มั่นคง ปลอดภัย” เขากล่าวอย่างมีเลศนัย

 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าเสิ่นเวยรู้สึกไปเองหรือไม่ นางมักจะรู้สึกว่า ‘มั่นคง ปลอดภัย’ สี่คำนี้หมิ่นซือเหนียนเน้นนักเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้นางจึงตาลุกวาว เคารพกลับอย่างไม่เกรงใจ “พูดถึงความปลอดภัยข้าก็นึกถึงมือสังหารผู้นั้นเมื่อคืน ใต้เท้าอวี๋ เหตุใดพื้นที่เมืองทงโจวถึงได้มีผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้ ใต้เท้าต้องเพิ่มการป้องกันให้มากๆ จึงจะถูก โรงเตี๊ยมหรงฝูแห่งนี้ห่างจากที่ว่าการไม่ไกล” พูดกับข้าหลวงอวี๋ ทว่าสายตากลับมองหมิ่นซือเหนียน

 

 

สีหน้าข้าหลวงอวี๋ก็ยิ่งไม่ดีแล้ว มองหมิ่นซือเหนียนเงียบๆ ปราดหนึ่ง เห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับ บนใบหน้าไม่มีความผิดปกติใดๆ ในใจก็อดเคียดแค้นไม่ได้

 

 

เดิมเขายอมให้ยืมกำลังคนก็เพื่อที่จะผูกมิตรกับคุณชายจวนจงอู่โหวผู้นี้ ไม่คิดว่าหมิ่นเหล่าซานชายผู้นี้จะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่นิดเดียว นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการตบหน้าเขาอย่างจังหรอกหรือ อย่างไรเสียเขาต่างหากที่เป็นใต้เท้าข้าหลวงเมืองทงโจวแห่งนี้ ตระกูลหมิ่นกลั่นแกล้งคนเกินไปแล้วจริงๆ ความไม่พอใจที่เขามีต่อตระกูลหมิ่น มีต่อหมิ่นซือเหนียนก็เลื่อนขึ้นหลายขั้นในชั่วพริบตา

 

 

“ขอบคุณคุณชายเสิ่นที่ตักเตือน ข้าเองก็กำลังสงสัย ตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาดำรงตำแหน่ง เมืองทงโจวแห่งนี้ก็สงบสุขยิ่งนัก เหตุใดเมื่อคืนคุณชายสี่ถึงพบมือสังหารเข้าได้ เป็นข้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ โชคดีที่คุณชายไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นข้าก็ละอายใจอย่างยิ่งจริงๆ คุณชายวางใจ ในเมื่อข้าเป็นขุนนางปกครองเมืองทงโจว จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด” ใต้เท้าอวี๋สีหน้าจริงจัง พูดด้วยเสียงดังกังวาน วางมาดขุนนางโปร่งใสเป็นธรรมที่คิดแทนราษฎร

 

 

มุมปากเสิ่นเวยปรากฏรอยยิ้ม เหอะ นี่ก็เป็นตาแก่ปลิ้นปล้อนเหมือนกัน

 

 

จำต้องบอกว่าลูกไม้นี้ของเสิ่นเวยยุยงได้ดีจริง อันที่จริงนี่เองก็ไม่เหมือนการยุยง ที่เสิ่นเวยพูดล้วนแต่เป็นความจริง นี่คือแผนเปิดโปงที่ตรงไปตรงมา

 

 

หมิ่นซือเหนียนย่อมฟังการยุยงในคำพูดของเสิ่นเวยและความไม่พอใจในวาจาของข้าหลวงอวี๋ออกแล้ว แต่แล้วอย่างไรเล่า หลักฐานล่ะ หลักฐานเล่า เจ้าพูดปากเปล่าว่ามือสังหารเป็นข้าที่ส่งมา ข้าก็พูดได้ว่าเจ้ามีเจตนาร้ายสาดสีใส่ข้าเช่นกัน

 

 

สำหรับข้าหลวงอวี๋ ฮ่าๆ ยิ่งไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เจ้าเป็นข้าหลวงเมืองทงโจวก็จริง ดังนั้นก็ต้องเห็นสีหน้าการกระทำของตระกูลหมิ่นข้าเหมือนกันมิใช่หรือ ข้าไม่ขัดขาเจ้าก็ถือว่าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว เหอะๆ ยั่วโมโหนายท่านสาม นายท่านสามจะทำให้เจ้านั่งอยู่ในตำแหน่งข้าหลวงนี้ไม่ติด

 

 

เห็นความเหยียดหยามแวบผ่านใบหน้าหมิ่นซือเหนียน ในใจข้าหลวงอวี๋ก็ยิ่งแค้น เสิ่นเวยเห็นท่าทีแล้ว ก็ยกมุมปากอย่างอดไม่ได้

 

 

ภายใต้การส่งของข้าหลวงอวี๋และหมิ่นซือเหนียน เสิ่นเวยก็ขึ้นเรือเดินทางต่อ เสิ่นเวยยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เมื่อมองไม่เห็นเงาคนบนฝั่งแล้วจึงเข้าไปในห้องใต้ท้องเรือของลูกผู้น้อง เมื่อวานนางถูกทำให้ตกใจ เสิ่นเวยยังต้องชี้แนะนางสักหน่อย

 

 

เรือลำใหญ่เดินทางในน้ำมาสองวันแล้ว คืนวันนี้เสิ่นเวยเปลี่ยนชุด ขึ้นเรือลำเล็กเงียบๆ คนที่ติดตามมีเพียงโอวหยางไน่กับพลลับหนึ่ง แม้แต่เถาฮวานางก็ไม่พาไปด้วย แม้เถาฮวาจะห้าวหาญ แต่กลับไม่ใช่คนชำนาญการลอบสังหาร

 

 

หากไม่มีการลอบสังหารครั้งนั้น เสิ่นเวยก็อาจจะปล่อยหมิ่นซือเหนียนไป แต่ตอนนี้นางจะต้องชำระแค้นนี้ให้ได้

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset