ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 210-1 พลเงาหนึ่ง

พระชายาจิ้นอ๋องในจวนจิ้นอ๋องกำลังพิงอยู่บนพนักพิงตั่งยาว สาวใช้เล็กสองคนนวดขาให้นาง สาวใช้ใหญ่หวาอวิ๋นนวดศีรษะให้นาง 

 

 

“พระชายา” แม่นมซือเดินเข้ามาเงียบๆ 

 

 

“ส่งกลับไปแล้วหรือ” พระชายาจิ้นอ๋องไม่แม้แต่จะลืมตา เสียงก็เกียจคร้าน 

 

 

“ทูลพระชายา ส่งกลับไปแล้วเพคะ” แม่นมซือกล่าวด้วยความเคารพ 

 

 

“แม่นมคิดว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เป็นคนเช่นไร” เสียงของพระชายาจิ้นอ๋องยังคงเฉื่อยชา 

 

 

แม่นมซือคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “บ่าวมองคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้ไม่ออกนักเพคะ บ่าวรู้สึกว่าไม่เจ้าเล่ห์มาก ก็โง่มาก บ่าวโน้มเอียงไปทางแบบแรก” 

 

 

“ฮ่าๆ” พระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะเสียงเบาหนึ่งครา “แม่นมคงจะให้เกียรตินางเกินไปแล้วกระมัง ข้าว่านางก็เป็นเพียงคนเขลาที่ถูกสอนให้โง่ มิหนำซ้ำยังคิดว่าตนฉลาด ฮ่าๆ น่าขำจริงๆ” 

 

 

แม้แต่นัยที่แฝงอยู่ในคำพูดยังฟังไม่ออก ซ้ำยังเอาแต่พูดถึงกฎระเบียบ หลักการสำคัญแต่ละชุดๆ แม้แต่ประจบคนก็ยังทำไม่เป็น เป็นเช่นนี้จะอยู่ในเรือนหลังได้สักกี่ปี 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจพระชายาจิ้นอ๋องก็มีความสุขอย่างถึงที่สุด ความโมโหที่ถูกเสิ่นเวยยั่วยุจนแน่นหน้าอกก่อนหน้านี้ก็สบายขึ้น 

 

 

“ยังคงเป็นพระชายาที่มีสายตาเฉียบแหลม บ่าวไหนเลยจะเทียบพระชายาได้” แม่นมซือคล้อยตามคำพูดของพระชายาจิ้นอ๋องราวกับกระแสน้ำไหล คนเป็นบ่าวนายพูดอะไรย่อมต้องทำเช่นนั้น แสดงท่าทีตรงข้ามกับนายไม่ใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ 

 

 

เป็นดังคาด พระชายาจิ้นอ๋องถูกประจบจนมีความสุข ทั่วทั้งห้องต่างก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่พึงพอใจของนาง 

 

 

เสิ่นเวยกลับไปถึงจวนย่อมต้องไปรายงานสถานการณ์ให้ท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่นางที่เรืองซงเฮ่อก่อน นอกจากจะตัดเรื่องเถาฮวาออกไปเรื่องอื่นๆ กลับไม่ได้ปิดบัง รวมถึงเรื่องที่พระชายาจิ้นอ๋องบังคับให้นางยินยอมแต่งอนุภรรยาให้สวีโย่วก็เล่าด้วยเช่นกัน ให้พวกนางได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพระชายาจิ้นอ๋องแต่เนิ่นๆ เลี่ยงไม่ให้ทุกคนคิดว่าพระชายาจิ้นอ๋องดีต่อนางอย่างยิ่ง ภายหลังนางมีเรื่องกลับจวนฟ้องร้องต่างก็ไม่มีใครเชื่อนาง 

 

 

ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ฮูหยินสวี่ได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เป็นกังวลหลายส่วน “พระชายาจิ้นอ๋องหมายความว่าอย่างไร เวยเอ๋อร์ยังไม่เข้าเรือนก็คิดจะแต่งอนุภรรยาก่อนแล้ว นี่ไม่ได้เป็นการตบหน้าพวกเราหรือ ไม่ว่าตระกูลใดก็ไม่มีกฎเช่นนี้” 

 

 

นางมองหลานสาวที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ทั้งสงสารทั้งลำบากใจ หากเปลี่ยนเป็นตระกูลอื่น นางเองก็กล้าไปหนุนหลังแทนเวยเอ๋อร์ถึงที่ แต่นี่ดันเป็นจวนจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องผู้นั้นเป็นน้องชายมารดาเดียวกันกับฝ่าบาท อำนาจยิ่งใหญ่กดทับคนตาย โหวฮูหยินเล็กๆ เช่นนางไหนเลยจะกล้าไปตำหนิติเตียนที่จวนจิ้นอ๋อง เฮ้อ นี่ก็คือข้อเสียของบุตรสาวที่แต่งเข้าตระกูลสูง บุตรสาวได้รับความไม่เป็นธรรมที่บ้านสามี บ้านฝั่งมารดาทำไม่ได้แม้แต่จะหนุนหลัง โชคดีที่ซวงเอ๋อร์ของตนไม่ได้แต่งเข้าตระกูลสูง มิเช่นนั้นนางจะไม่สงสารตายเลยหรือ 

 

 

ทว่านายหญิงผู้เฒ่ากลับไม่เห็นด้วย “บุรุษน่ะ ใครบ้างที่ไม่มีสามภรรยาสี่อนุ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เวยเอ๋อร์เจ้าก็เป็นภรรยาเอก ต้องเอาอำนาจของภรรยาเอกออกมา อย่าไปเลียนแบบนิสัยขี้แยขี้หึงขี้หวง ต่อให้เป็นอนุภรรยาก็เป็นเพียงแค่สิ่งไร้ประโยชน์ ขอเพียงแค่เจ้าแต่งเข้าไปแล้วให้กำเนิดบุตรชาย ได้ใจสามี ใครก็แตะต้องตำแหน่งของเจ้าไม่ได้ ตอนนี้ไม่ควรยั่วโมโหพระชายาจิ้นอ๋อง อย่างไรเสียนางก็เป็นแม่สามีของเจ้า” 

 

 

เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้น ตอบรับทันที “หลานทราบแล้ว” มุมมองทั้งสาม[1]ของพวกนางแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้อยู่ในชั้นเดียวกันอยู่แล้ว เสิ่นเวยขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับย่านาง 

 

 

เสิ่นเวยกับฮูหยินสวี่ออกจากเรือนซงเฮ่อพร้อมกัน ฮูหยินสวี่ตะโกนเรียกนางด้วยสีหน้าซับซ้อน “เวยเอ๋อร์” ในใจมีคำพูดมากมายแต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับเข้าใจความรู้สึกของฮูหยินสวี่อย่างยิ่ง ยิ้มเหยเกให้นางแล้วกล่าว “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่วางใจ อย่างไรเสียข้าก็เป็นจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ด้วยตัวพระองค์เอง ไม่เสียเปรียบหรอก เรื่องอนุภรรยาถูกข้าปฏิเสธไปแล้ว ข้าบอกเพียงแค่ว่าเรื่องนี้ต้องฟังความคิดเห็นคุณชายใหญ่ ซ้ำข้าก็ยังไม่เข้าเรือน ไหนเลยจะตัดสินใจแทนคุณชายใหญ่ได้” 

 

 

“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” ฮูหยินสวี่วางใจลง ตบมือของเสิ่นเวย กล่าวด้วยความจริงใจ “เวยเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าป้าไม่หนุนหลังให้เจ้า แต่เจ้าก็แต่งเข้าตระกูลที่สูงเกินไปจริงๆ พวกเรา พวกเราเหลือบ่ากว่าแรง! เจ้าอย่าได้โทษป้าเลย!” 

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างเฉลียวฉลาด “ข้าเข้าใจดี ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ดีต่อหลานมากแล้ว หลานไม่ใช่คนไม่รู้คุณ” ดวงตากะพริบวาบ นึกถึงเรื่องที่ต้องสืบถามตระกูลราชบัณฑิตสวี่ “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ หลานอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง เป็นเช่นนี้…” นางเล่าเรื่องลูกผู้พี่นางสู่ขอภรรยาให้ฟังรอบหนึ่ง 

 

 

“อ้อ เจ้าหมายถึงตระกูลเขาน่ะหรือ! ที่ว่ามากลับเป็นเรื่องจริง ตระกูลนั้นเป็นคนเมตตา จะว่าไปแล้วราชบัณฑิตสวี่ก็อยู่ในรุ่นเดียวกันกับป้า ข้ายังเรียกเขาว่าญาติผู้พี่ ตั้งแต่เล็กก็เรียนเก่ง เขามีวันนี้ก็เพราะตัวเองขยันหมั่นเพียร ฮูหยินที่เขาแต่งงานคือลูกผู้น้องบ้านฝั่งน้าห่างๆ ของเขา ฐานะไม่สูง แต่มีคุณธรรมเพียบพร้อมจัดการงานบ้านดีเยี่ยม ลูกสาวคนโตตระกูลเขาชื่อฉู่ถง โตกว่าพี่รองเจ้าหนึ่งปี ตอนเด็กยังเคยมาเล่นกับพี่รองเจ้าอยู่เลย เป็นเด็กผู้หญิงที่สุขุมฉลาด หน้าตางดงามราวกับบุปผา ภายหลังตระกูลเขาไว้ทุกข์ จึงไม่เคยพบหน้าอีก ฟังว่าแม่นางผู้นั้นอายุได้สิบสามสิบสี่ปีก็เรียนรู้การจัดการงานบ้านกับแม่นางแล้ว เป็นคนที่โดดเด่น” 

 

 

ขณะที่ฮูหยินสวี่เล่าเรื่องที่นางรู้ ก็นึกได้ว่าเรื่องที่จวนจิ้นอ๋องนางช่วยไม่ได้ เรื่องนี้นางกลับสามารถช่วยได้ “อย่างไรปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น หรือไม่ก็เอาเช่นนี้ อีกสองวันเวยเอ๋อร์ตามข้าไปบ้านฝั่งมารดาเที่ยวหนึ่ง เชิญฉู่ถงกลับมาด้วยกัน เวยเอ๋อร์จะได้เห็นเองกับตา” 

 

 

“เช่นนั้นก็ดีอย่างยิ่ง ขอบคุณท่านป้าสะใภ้ใหญ่จริงๆ เจ้าค่ะ” เสิ่นเวยกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ อันที่จริงนางมาสืบข่าวจากป้าสะใภ้ใหญ่ก็วางแผนไว้เช่นนี้ ต่อให้คนอื่นจะพูดดี แต่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองก็วางใจกว่า อย่างไรเสียนี่ก็เกี่ยวข้องกับความสุขชั่วชีวิตของลูกผู้พี่นาง 

 

 

เสิ่นเวยฝั่งนี้อยากไปดูตัวสวี่ฉู่ถงให้เห็นกับตา สวี่ฉู่ถงฝั่งนั้นก็กำลังครุ่นคิดว่าจะไปดูหร่วนเหิงอยู่เช่นกัน 

 

 

“ลูกเอ๋ย เจ้าก็สิบแปดแล้ว ไม่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว กว่าจะเจอคนที่เหมาะสม เจ้าคิดอย่างไรกันแน่ คนอื่นเชื่อไม่ได้แต่เจ้าจะไม่เชื่อแม้แต่พ่อเจ้าหรือ ชนรุ่นหลังผู้นั้นพ่อเจ้าเห็นมากับตา บอกว่าไม่เลว แม้ตอนนี้จวนแม่ทัพใหญ่หร่วนจะตกต่ำ แต่ชนรุ่นหลังของเขาก็พัฒนา!” จางซื่อฮูหยินราชบัณฑิตสวี่โน้มน้าวเกลี้ยกล่อมบุตรสาว 

 

 

สวี่ฉู่ถงเพียงแค่หลุบตา เม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว 

 

 

จางซื่อมองท่าทางดื้อรั้นของลูกสาว ในใจก็สงสารเล็กน้อย ถงเอ๋อร์เป็นลูกคนแรกของนาง แม้ว่าจะเป็นลูกสาว แต่เมื่อคลอดออกมาแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดู สามี รวมถึงพ่อแม่สามีต่างก็รักอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่เล็กก็เฉลียวฉลาด อายุสามขวบก็สามารถท่องกลอนกับพ่อนางได้แล้ว พิณหมากพู่กันวาดภาพล้วนแต่มีความสามารถ ในด้านความรู้ก็เก่งกว่าน้อยชายนางหลายส่วน ฝีมือเย็นปักถักร้อยก็ดีเยี่ยม อายุสิบสี่ก็สามารถช่วยตนดูแล้วบ้านได้แล้ว 

 

 

บุตรสาวที่ไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมดเช่นนี้กลับโชคไม่ดี อายุที่ควรสมรสพ่อแม่สามีก็ลาโลกตามกันไป ไปๆ มาๆ ก็ทำให้นางล่าช้า ทุกครั้งที่ได้ยินคนในวงศ์ตระกูลวิจารณ์ว่าถงเอ๋อร์ของนางเป็นสตรีอายุมากที่แต่งไม่ออก นางก็อยากจะข่วนหน้าสตรีขี้นินทาไม่กี่คนนั้นอย่างยิ่ง 

 

 

“ลูกเอ๋ย แม่รู้ว่าลูกน้อยใจ แต่นี่ก็คือชะตา คนทำอะไรไม่ได้” จางซื่อถอนหายใจ อย่าว่าแต่ลูกสาวน้อยใจ นางเองก็น้อยใจเช่นกัน สตรีที่เทียบถงเอ๋อร์ไม่ได้จำนวนมากในวงศ์ตระกูลต่างก็แต่งกับเขยดีตระกูลสูง ถงเอ๋อร์ของนางเรียนหนังสือมามากอย่างยิ่ง ย่อมหวังว่าว่าที่สามีจะเป็นผู้มีความสามารถ แต่ผู้มีความสามารถแบบนั้นส่วนใหญ่ก็แต่งงานกันหมดแล้ว คนสองคนที่เหลืออยู่กลับรังเกียจที่ถงเอ๋อร์อายุมากแล้ว คนมาสู่ขอถึงบ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นอนุภรรยาหรือภรรยาคนที่สอง หรือไม่ก็เป็นลูกหลานคนรวยเหล่านั้น นี่จะให้จางซื่อตอบรับได้อย่างไร เพื่อคู่หมั้นของลูกสาวนางกลัดกลุ้มจนนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน 

 

 

สวี่ฉู่ถงเองก็เข้าใจว่าแม่นางทุกข์ใจเรื่องคู่หมั้นของนาง กัดริมฝีปากกล่าว “อย่างไรเสียงก็ลากมาจนถึงตอนนี้แล้ว คงล่าช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้ ลูกเองก็ไม่ใช่คนโลภเงินโลภทอง ขอเพียงแค่เป็นคนดี มีพัฒนา ไม่ใช่พวกเจ้าชู้ประตูดินไร้กฎเกณฑ์ ลูกก็ไม่เลือกลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูล” 

 

 

จางซื่อได้ยินดังนั้นก็ลูบหลังของลูกสาว กล่าว “เจ้าวางใจ พ่อแม่จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร ชนรุ่นหลังตระกูลหร่วนผู้นี้พ่อเจ้าดูมาดีแล้ว แม้จะบอกว่าจวนแม่ทัพใหญ่หร่วนตกต่ำ แต่ชนรุ่นหลังผู้นั้นก็ชิงตำแหน่งขุนนางขั้นห้ามาได้ นับได้ว่ามีพัฒนาการ ฟังว่าหน้าตาก็ยอดเยี่ยม เรียนหนังสือตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่ชายฉกรรจ์หยาบคาบเช่นนั้น” 

 

 

ดวงตาสวี่ฉู่ถงมีความลังเลแวบผ่าน “ไม่ใช่ว่าลูกไม่เชื่อสายตาของท่านพ่อ เพียงแค่อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องชั่วชีวิตของลูก ลูกอยาก อยากเห็นคนผู้นั้นด้วยตาตัวเอง” เด็กสาวมีความรัก ใครบ้างไม่อยากแต่งงานกับสามีดีเลิศ อย่างไรเสียนางก็อายุสิบแปดแล้ว ต่อให้ล่าช้าก็ไม่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้แล้ว คนผู้นั้นที่ท่านพ่อบอกฟังดูแล้วไม่เลว แต่ไม่เห็นกับตานางก็ยังไม่เชื่อมั่น นางไม่อยากน้อยใจตัวเองอีกแล้ว 

 

 

“ลูกเอ๋ย ตนไหนเลยจะพบสามีตัวเองได้” บนใบหน้าจางซื่อมีความไม่เห็นด้วยหลายส่วน แต่เมื่อสบสายตาที่ดื้อรั้นของลูกสาว หัวใจก็อ่อนลงอย่างอดไม่ได้ “ช่างเถอะๆ ตามใจเจ้า กลับไปให้น้องเจ้าปกป้องเจ้าออกจากเรือน ดูอยู่ไกลๆ ก็พอ” 

 

 

สวี่ฉู่ถงแย้มยิ้มออกมา ซบไหล่จางซื่อ “ลูกรู้ว่าท่านแม่จะต้องรับปาก” 

 

 

จางซื่อตบลูกสาวเบาๆ อย่างขุ่นเคือง “เจ้าน่ะ แม่ก็มีเจ้าเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่รักเจ้าแล้วจะให้รักใคร ไม่ใช่แค่แม่ที่รักเจ้า พ่อเจ้าก็รักเจ้ายิ่งกว่า เพื่อคู่หมั้นของเจ้า เขาที่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบคบค้าสมาคมก็ลากเพื่อนพ้องไปดื่มสุรา ไปสืบถามทั่วทุกที่ว่าตระกูลใดมีชนรุ่นหลังที่อายุพอๆ กันบ้าง” ทุกครั้งที่กลับจวนก็อาเจียนราวกับอะไรดี ลำบากนายท่านเสียจริงๆ 

 

 

ดวงตาของสวี่ฉู่ถงก็มีไอน้ำเอ่อขึ้นมาหนึ่งชั้น ช่างโชคดีเสียกะไร นางถึงได้เกิดเป็นบุตรสาวของพ่อแม่ 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] มุมมองทั้งสาม ได้แก่ทัศนคติต่อโลก ชีวิตและคุณค่า 

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset