ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 211-2 สนามรบของสวีโย่ว

มีคนเข้ามารายงานสถานการณ์ “คุณชาย อีกประเดี๋ยวกองทัพใหญ่ก็จะมาถึงแล้ว เป็นผู้บัญชาการใหญ่สวีเวย”

 

 

สวีโย่วพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวหนึ่งประโยค “ถอยทัพ” จากนั้นจึงเห็นทหารคุ้มมังกรที่ลึกๆ ลับๆ ห้าร้อยนายจมหายไปท่ามกลางแสงในยามราตรีที่ดำมืดทันที ราวกับปรากฏตัวฉับพลัน จากนั้นก็หายไปไร้เงาฉับพลัน คนที่มาแทนที่พวกเขาก็คือทหารเงา

 

 

ขอเพียงแค่สวีโย่วขยับ ทหารเงาทั้งหมดก็ขยับตาม แสงไฟในวัดจยาหลานพวยพุ่งขึ้นฟ้า เสียงตะโกนฆ่าดึงกึกก้องทั่วสารทิศ

 

 

“พระอาจารย์ทุกท่านตามผู้น้อยไปชมนอกวิหารเถิด” สวีโย่วเดินนำออกไปนอกวิหาร ทุกคนมองไปยังหลวงจีนเต้ากวงอย่างพร้อมเพียง บนใบหน้าหลวงจีนเต้ากวงนิ่งเรียบ “ไปเถอะ ไปดูสักหน่อย” คนอื่นเป็นมีดตนเป็นเนื้อบนเขียง จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งได้หรือ

 

 

ทุกคนพากันพยุงเดินออกไปข้างนอก รู้สึกได้ว่าอยู่ห่างจากสวีโย่วห้าก้าวก็หยุดฝีเท้าลง พวกเขามองเห็นทั่วทั้งบริเวณลานวัดที่ตนคุ้นเคยไฟไหม้โหม ทหารเงาแต่ละกลุ่มกุมมีดกุมกระบี่สู้รบกันอยู่ เสียงตะโกน เสียงเข่นฆ่า ดังทั่วพื้นที่ แม้ในใจพวกเขาจะรู้ว่านี่คือการแสดง แต่ก็ยังคงรู้สึกเสียวสันหลังอย่างอดไม่ได้ เหงื่อซึมออกมาจากเสื้อ

 

 

อดส่งสายตาไปมองคุณชายวัยหนุ่มผู้นั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ มือทั้งคู่ของเขาไพล่อยู่ข้างหลัง หลังยืดตรง ราวกับทวนเล่มยาวท่ามกลางราตรีอันมืดมิด แสดงฝีมือออกมา เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่สนใจสนามรบตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง เขายืนสบายใจเช่นนั้น เรือนร่างสูงตระหง่าน ทำให้คนอดเกิดความสวามิศักดิ์ในใจไม่ได้

 

 

ผ่านไปหนึ่งเค่อ สวีโย่วยกมือ ก็เห็นหลวงจีนที่สวมจีวรแบบเดียวกับวัดจยาหลานแวบออกมา “คุณชาย” พวกเขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยยืนอยู่ตรงหน้าสวีโย่วรอฟังคำสั่ง

 

 

สวีโย่วหันหลังกลับ มองหลวงจีนเต้ากวง “พระอาจารย์ ท่านควรจะไปขอความช่วยเหลือที่เขาด้านหลังได้แล้ว เส้นทางภูเขาขรุขระเดินลำบาก ผู้น้อยหาผู้ช่วยสองคนมาให้ท่าน” บอกเป็นนัยเล็กน้อย หลวงจีนสองคนนั้นก็ยืนขนาบข้างหลวงจีนเต้ากวง

 

 

นี่หมายความว่าไม่ไว้ใจตน หลวงจีนเต้ากวงมองผู้ช่วยที่เตรียมให้ตนปราดหนึ่ง ผืนหัวเราะในใจ ไม่มีทางหันหลังกลับนานแล้ว แม้ว่าข้างหน้าจะเป็นหน้าผาก็ทำได้เพียงกระโดดลงไป

 

 

แสงเพลิงและการเคลื่อนไหวในวัดจยาหลานย่อมดังไปถึงเขาด้านหลังแล้ว “หัวหน้า แย่แล้ว ทหารล้อมเขาไว้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”

 

 

หัวหน้ายืนอยู่บนหินก้อนใหญ่หนึ่งก้อน หรี่ตามองแสงเพลิงในวัดจยาหลาน บนใบหน้ามีความเคร่งขรึม “ไปไหนเล่า หากไม่มีวัดจยาหลานแล้ว พวกเราพี่น้องหลายพันคนนี้ยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือ” ไม่มีการเลี้ยงดูของวัดจยาหลาน ข้าวของเครื่องใช้ของพวกเขาจะไปหามาจากไหน “ไม่ได้ พวกเราต้องปกป้องวัดจยาหลาน”

 

 

“หัวหน้า ท่านต้องคิดให้ดีๆ! พวกเรารู้อยู่แล้วว่านี่เป็นการพุ่งเป้ามาที่พวกเรา ท่านไม่อาจตกหลุมพรางพวกเขาได้! สุภาษิตว่าไว้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตย่อมต้องมีความหวัง ไม่มีวัดจยาหลานแล้ว ไม่ใช่ว่ายังมี…” ภายใต้สายตาที่เย็นเยียบของหัวหน้าคนผู้นั้นก็ไม่กล้าพูดต่อแล้ว

 

 

หัวหน้าสีหน้าเรียบเฉย ทำให้คนทายไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต่างก็กระวนกระวายใจ เงียบเป็นเป่าสาก เสียงตะโกนฆ่าในวัดจยาหลานก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โจมตีหัวใจคนทุกคน

 

 

“ข้าจะพาคนครึ่งหนึ่งไปหนุนวัดจยาหลาน พวกเจ้าอยู่ที่เขาด้านหลังคอยหาโอกาสลงมือ” มือของหัวหน้าโบกบัญชาหนักๆ ตัดสินใจด้วยความรวดเร็ว

 

 

“หัวหน้า ให้พวกข้าไปหนุนวัดจยาหลานดีกว่า และไม่จำเป็นต้องใช้กำลังพลครึ่งหนึ่ง ห้าร้อยก็พอแล้ว ฟังจากเสียงจำนวนทหารน่าจะมีไม่เยอะ” หัวหน้าเล็กผู้หนึ่งกล่าว

 

 

หัวหน้าโบกมือ “ทำตามคำสั่ง”

 

 

หัวหน้าพาคนครึ่งหนึ่งวิ่งไปยังวัดจยาหลานด้วยความเร่งรีบ ระหว่างทางก็เจอหลวงจีนเต้ากวงที่มาของความช่วยเหลือที่เขาด้านหลัง

 

 

หลวงจีนเต้ากวงและคนทั้งสองสภาพจนตรอก บนจีวรเปรอะเปื้อนรอยเลือด ราวกับวิ่งฆ่าออกมาจากกองทัพใหญ่ เมื่อเห็นหัวหน้า ดวงตาก็ลุกวาว ตะโกนกล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจ “เร็ว รีบไปช่วยคน ทหารเยอะยิ่งนัก มีถึงสองสามพันคน ในวัดแทบจะประคองไม่อยู่แล้ว” เขาหายใจหอบกล่าว

 

 

แววตาของหัวหน้านิ่งงัน สองสามพันหรือ กำลังพลครึ่งหนึ่งนี้ของตน บวกกับนักบวชหลายร้อยในวัด ก็ทำได้เพียงสู้รบไล่เลี่ยกัน แต่ฝ่ายตนมีข้อดี นั่นก็คือคุ้นเคยภูมิประเทศ อืม อัตราชนะยังคงสูงอย่างยิ่ง

 

 

“รีบไป ยังรออะไรอีก” หัวหน้าพาคนวิ่งไปยังวัดจยาหลานด้วยความรวดเร็ว

 

 

หลวงจีนเต้ากวงถอนหายใจอย่างโล่งอก กำลังจะเดินตามกลับไป ถูกผู้ช่วยหนึ่งขวางไว้ จับแขนหลวงจีนเต้ากวงกับผู้ช่วยสองหลบเข้าไปในป่า

 

 

หัวหน้ากำลังรีบไปช่วยคน ไม่ทันได้สังเกตว่าหลวงจีนเต้ากวงตามมาหรือไม่ ยังคิดว่าเขาอยู่ข้างหลังกองทัพอยู่เลย

 

 

กว่าหัวหน้าจะตระหนักถึงความผิดปกติได้ เขาก็ถูกสวีโย่วตัดทางหนีทีไล่หันกลับไม่ได้แล้ว เขาเห็นคุณชายสูงส่งที่สง่าผ่าเผยผู้นั้นยืนอยู่นอกวิหารใหญ่ จากนั้นจึงเห็นนักบวชที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ท้ายที่สุดก็ส่งสายตาไปยังชายฉกรรจ์ชุดดำที่ตะโกนฆ่าสู้รบกันอยู่ ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก

 

 

“ท่านเป็นใคร” ดวงตาหัวหน้ามีความรู้สึกอาฆาตแค้นแวบผ่าน

 

 

สวีโย่ววางท่าทีสบายๆ “ข้าเป็นใครสำคัญด้วยหรือ ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ให้หมดเถอะ”

 

 

“เหอะ ท่าทางการพูดของท่านโอ้อวดยิ่งนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าฝีมือจะเป็นอย่างไร คิดจะฆ่าพวกข้าหรือ เช่นนั้นก็ลองดูเถอะ” หัวหน้ากล่าวอย่างเย็นเยียบ “ฆ่า!” เขาชักมีดคู่ออกมาจากนั้นก็วิ่งไปยังทหารเงาที่อยู่ใกล้เขาที่สุด

 

 

สวีโย่วเองก็ขยับแล้ว เขาไม่ได้ใช้กระบี่ แต่จับทวนยาวที่เจียงเฮยส่งมาให้เขา ตกลงสู่มืออย่างหนักหน่วง “ทวนดี!” เขาเอ่ยชมหนึ่งประโยค วันนี้เขาอยากลองราชันอาวุธที่ถูกน้องสี่แซ่เสินเทิดทูนมากเป็นพิเศษดูบ้าง

 

 

เขากระโดดออกไปราวกับนกใหญ่สยายปีก ทวนยาวในมือแทงติดๆ กัน ประหนึ่งมังกรคะนองน้ำที่โผล่ออกมาจากน้ำลึก บีบรัดพลังที่มิอาจหลบหลีกหนึ่งกลุ่ม เขาลอยขึ้น หมุนตัวกลางอากาศ โบกม่านแสงแวววับหนึ่งผืน ดุจดวงดาราระยิบระยับที่ตกลงท่ามกลางนภาในยามราตรี ม่านแสงหายไป สวีโย่วยืนอย่างมั่นคง รอบด้านเขามีคนหนึ่งวงล้มลง

 

 

เขากุมทวนยืนตรง ปลายทวนชี้ออกข้างหน้า สายตากวาดไปทั่วทุกแห่ง ทหารกบฏบนเขาด้านหลังถอยทัพพร้อมกัน “ทวนดี!” สวีโย่วกล่าวชมอีกครั้ง ในสนามรบแห่งนี้ ยังคงเป็นทวนยาวที่ใช้ได้คล่องมือ! มิน่าเล่าน้องสี่แซ่เสิ่นถึงได้ชอบใช้ดาบหมื่นโลหิตเพียงนั้น สวีโย่วแหงนหน้าผิวปากยาว ในใจฮึกเหิมอย่างยิ่ง กระโดดเข้าวงรบอีกครั้ง

 

 

แทบจะหนึ่งทวนหนึ่งคน สวีโย่วฆ่าอย่างมีความสุข ส่วนนักบวชที่ยืนมองดูอยู่นอกวิหารใหญ่ก็แทบจะอกสั่นขวัญแขวน น…นี่คือคุณชายอ่อนแอที่ทุกวันถูกคนพยุงแม้แต่ถนนก็เดินไม่ได้ผู้นั้นหรือ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเทพสังหาร! บางคนที่ขี้ขลาด ก็ขาอ่อนสั่นระริกนั่งลงไปบนพื้นอยู่นานแล้ว แม้ว่าจะเป็นคนที่กล้าหาญ ทั่วทั้งร่างก็เย็นชืด รู้สึกว่ามือเท้าต่างก็คล้ายกับชาไปหมดแล้ว

 

 

สวีโย่วกับหัวหน้าสู้รบด้วยกัน หัวหน้าเป็นชายอายุประมาณสามสิบ ร่างสูงแปดฉื่อ รูปร่างกำยำ สวีโย่วอยู่ต่อหน้าเขาก็เหมือนกับไก่อ่อน

 

 

ตอนแรก หัวหน้าไม่เห็นสวีโย่วอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ แต่ยิ่งรบหัวใจเขาก็ยิ่งเย็น เสื้อของตนถูกฝ่ายตรงข้ามแทงจนเป็นรูนับไม่ถ้วนแล้ว ส่วนตนเองกลับแตะไม่ได้แม้แต่ชายเสื้อของฝ่ายตรงข้าม

 

 

นอกประตูวัดมีเสียงตะโกนฆ่าดังขึ้น สวีโย่วก็รู้ว่ากองทัพใหญ่ของราชสำนักมาแล้ว การเคลื่อนไหวในมือก็เร็วยิ่งขึ้น ส่วนหัวหน้าก็ตื่นตระหนกยิ่งขึ้น

 

 

สวีเวยคือผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพรักษาพระองค์ และเป็นคนสนิทที่จักรพรรดิยงเซวียนไว้ใจที่สุด ตอนนี้เขาถือพระราชโองการลับนำกองทัพรักษาพระองค์ห้าพันนายมาสมทบกับคุณชายใหญ่ เขาวิ่งเข้ามาในวัดจยาหลาน เห็นคุณชายใหญ่ผู้นั้นแทงคนที่แต่งตัวเป็นหัวหน้าติดอยู่กับพื้น มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ คนนอกต่างก็กล่าวว่าคุณชายใหญ่เป็นคนขี้โรค แต่จะมีใครรู้บ้างว่าเขากล้าหาญเ**้ยมโหดเพียงนี้

 

 

สวีโย่วเองก็มองเห็นสวีเวยแล้ว พยักหน้าบอกเป็นนัยให้เขาเล็กน้อย ปากก็ส่งเสียงผิวปากที่แหลมเปรียวเสียงหนึ่งออกมา ทหารเงาที่กำลังสู้รบก็มารวมตัวข้างกายสวีโย่วทันที เมื่อรวมตัวได้เกือบครบแล้ว เขาก็พาคนไปยังเขาด้านหลัง ส่งสนามรบในวัดจยาหลานให้สวีเวยรับมือต่อ

 

 

หลวงจีนเต้ากวงที่ถูกทหารเงาคุมตัวไปจับต้นชนปลายไม่ถูกเล็กน้อย เดิมเขาคิดว่าสวีโย่วกลับคำคิดจะเอาชีวิตเขา แต่ทหารเงาสองคนนี้เพียงแค่คุมตัวเขาไปข้างๆ ไม่ได้ทำให้เขาลำบาก แต่ก็ไม่พูดอะไรกับเขาเช่นกัน

 

 

“โยมทั้งสอง หากไม่มีอะไรก็โปรดพาอาตมาออกไป ก่อนหน้านี้โยมสวีรับปากไว้แล้ว” หลวงจีนเต้ากวงพูดอีกครั้ง

 

 

คราวนี้ทหารเงาตอบกลับแล้ว “ไม่รีบ เขาด้านหลังยังมีกำลังพลอีกครึ่งมิใช่หรือ ไปเถอะ หน้าที่ของพระอาจารย์ยังไม่เสร็จเลย”

 

 

สบสายตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของทหารเงา หัวใจของหลวงจีนเต้ากวงก็พลันเต้น คาดไม่ถึงว่าพวกเขารู้แม้แต่เรื่องที่เมื่อครู่มีกำลังพลไปเพียงครึ่งหนึ่ง คิดว่าตนโชคดี คิดว่าอย่างไรเสียก็ปกป้องกำลังพลครึ่งหนึ่งให้นายท่านได้

 

 

ช่างเถอะๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว ไหนเลยจะยังต้องห่วงนายท่านอะไรอีก ปกป้องชีวิตตัวเองเถอะ

 

 

หลวงจีนเต้ากวงไปขอความช่วยเหลือที่เขาด้านหลังต่อ เดิมยังกังวลว่าโน้มน้าวพวกเขายังต้องเปลืองน้ำลายมากกว่านี้ ไม่นึกว่าเมื่อพวกเขาได้ยินว่าสถานการณ์ในวัดจยาหลานไม่ดี ก็นำกำลังพลครึ่งหนึ่งที่เหลือไปทันที

 

 

ไม่ไปได้หรือ หัวหน้ายังอยู่ในวัดจยาหลาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยหัวหน้ากลับมา ไม่มีหัวหน้าพวกเขาก็จะถูกตัดความสัมพันธ์กับเบื้องบน

 

 

ยังไปไม่ถึงวัดจยาหลาน ก็ถูกสวีโย่วนำคนมาซุ่มโจมตีระหว่างทาง เห็นทหารกบฏบนเขาด้านหลังที่ถูกธนูยิงล้มอย่างต่อเนื่อง มุมปากของสวีโย่วก็เผยรอยยิ้มกระหายเลือดออกมา

 

 

มีทหารเงาสมทบกับกองทัพรักษาพระองค์ ทหารกบฏบนเขาด้านหลังก็หนีไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว ถึงรุ่งสางสนามรบก็ถูกเก็บวาดจนเรียบร้อย ทั่วทุกหนทุกแห่งในวัดจยาหลานต่างก็เผาไม้จันทร์ จึงกลบกลิ่นคาวเลือดได้

 

 

เรื่องหลังจากนี้สวีโย่วไม่คิดจะยุ่งแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดโยนให้สวีเวยผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนี้ใจเขาอยากกลับบ้านเต็มทน ทั้งสมองคิดแต่เพียงจะแต่งน้องสี่แซ่เสิ่นเด็กคนนั้นกลับบ้าน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset