ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 148.1

ลอบสังหารและได้รับบาดเจ็บ

 

 

 

“อ๊า อ๊า อ๊า ข้าขี่ม้าเป็นแล้ว ในที่สุดข้าก็ขี่ม้าได้แล้ว!” หร่วนเหมียนเหมียนนั่งอยู่บนหลังม้า กุมบังเ**ยนไว้แน่น พลางตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น เมื่อวันก่อน นางเห็นเถาฮวา เด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่สามารถขี่ม้าได้อย่างคล่องแคล้ว จึงมาออดอ้อนเสิ่นเวยจะเรียนให้จงได้ เสิ่นเวยสอนนางอยู่สองวัน ในที่สุดนางก็สามารถบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว

 

 

คนที่เรียนขี่ม้าพร้อมกับหร่วนเหมียนเหมียนยังมีสาวใช้คนสนิทของเสิ่นเวยอีกสามสี่คน เยวี่ยกุ้ยเรียนได้เร็วที่สุด แค่สองสามชั่วยามก็สามารถควบม้าได้แล้ว เหอฮวากับเถาจือเป็นอันดับต่อมา เวลาสองวันพอจะฝืนขี่ไปได้ระยะหนึ่ง มีแค่หลีฮวาเท่านั้นทำอย่างไรก็ขี่ไม่ได้เสียที แค่ขึ้นมานั่งบนรถม้าก็ตัวสั่นงกๆแล้ว ตื่นเต้นจนไม่กล้าขยับ ทำให้ทุกคนพากันตลกขบขัน เสิ่นเวยคิดว่านางคงไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้จริงๆ จึงไม่ได้บังคับนาง

 

 

เมื่อพวกนางขี่ม้าเป็นแล้วก็รู้สึกเพลิดเพลินมาก หร่วนเหมียนเหมียนออดอ้อนเสิ่นเวยอยากจะไปขี่ม้านอกหมู่บ้าน ลานตากข้าวไม่เพียงพอสำหรับนางแล้ว หลังจากที่เสิ่นเวยแจ้งให้ท่านตาทราบก็พาหร่วนเหิง หร่วนเหมียนเหมียนกับสาวใช้กลุ่มหนึ่งไปขี่ม้านอกหมู่บ้าน

 

 

 

 

ในเรือนอวิ๋นหยวน จวนอ๋องจิ้น

 

 

อยู่ๆ เจียงเฮยก็รีบร้อนเข้ามาในห้องหนังสือ “คุณชายใหญ่ บ่าวมีเรื่องสำคัญจะรายงานขอรับ”

 

 

สวี่โย่ววางตำราพิชัยยุทธ์ในมือลง “เรื่องอะไร”

 

 

“บ่าวเพิ่งจะได้ข่าวว่า นักฆ่าระดับเทียนสามสิบคนของหอมือสังหารออกเคลื่อนไหว พวกมันมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง” เจียงเฮยรายงาน

 

 

สวี่โย่วแปลกใจ “จำนวนมากขนาดนี้ ดูแล้วคงมีคนกำลังจะโชคร้าย” มือสังหารของหอมือสังหารแบ่งเป็นสี่ระดับ คือเทียน ตี้ เสวียน หวง ระดับยิ่งสูงเท่าใดก็ยิ่งร้ายกาจมากเท่านั้น สามารถส่งมือสังหารระดับเทียนสามสิบคนออกไปได้ในคราวเดียว เห็นได้ว่าผู้ว่าจ้างมีกำลังเงินมากจริงๆ

 

 

“รู้หรือไม่ว่านายจ้างเป็นใคร” ในใจของสวี่โย่วรู้สึกฉงน มีเงินมากมายเช่นนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา

 

 

เจียงเฮยส่ายหน้า “ในตอนนี้ยังสืบไม่ได้ คุณชายก็ทราบว่า การค้าขนาดใหญ่เช่นนี้หอมือสังหารจะต้องเก็บเป็นความลับระดับสูง มีเพียงหัวหน้าหอเท่านั้นที่รู้ว่าผู้จ้างวานเป็นใคร” ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรายงานอีกข่าวหนึ่งออกไป “คุณชายใหญ่ เมื่อสามวันก่อนคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวพาครอบครัวของท่านตาของนางไปท่องเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นก็ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง”

 

 

สวี่โย่วสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ลุกยืนในทันที ก่อนจะสั่งความออกไปโดยไม่ใคร่ครวญสิ่งใด “เตรียมม้า เดินทางออกจากเมือง”

 

 

เจียงเฮยตกใจในท่าทีร้อนรนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มรีบออกไปเรียกรวมกำลังพล ในใจแอบคิดว่า…ในใจของคุณชาย คุณหนูสี่ผู้นี้มีฐานะไม่ธรรมดาเลย ดูแล้วต่อไปตนจะต้องใส่ใจนางให้มาก

 

 

เสิ่นเวยกับหร่วนเหิงคอยประกบหร่วนเหมียนเหมียนและสาวใช้สามคนที่เพิ่งขี่ม้าเป็น เถาฮวาหน่ายใจกับขบวนที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า นางบังคับม้าควบทยานออกไปไกลแล้ว เวลานี้แม้แต่เงาก็มองไม่เห็น

 

 

“ญาติผู้พี่ ท่านนำไปก่อนเถอะ ข้าคอยดูพวกนางเอง” เสิ่นเวยกล่าวกับหร่วนเหิงอย่างเข้าใจ ชายหนุ่มวัยสิบห้าสิบหกปีจะไม่ชอบเล่นสนุกได้อย่างไร ยอมอดทนขี่ม้าไปช้าๆ เป็นเพื่อนพวกนางก็หาได้ยากแล้ว

 

 

หร่วนเหิงส่ายหน้า “จะทิ้งให้ญาติผู้น้องคอยดูแลอยู่คนเดียวได้อย่างไรเล่า” ขี่ม้าจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ พลาดครั้งนี้ไปก็ไม่เป็นไร ญาติผู้น้องคนเดียวต้องดูแลสาวใช้สี่คน เขาอยู่ช่วยจะดีกว่า โดยเฉพาะน้องสาวของเขา ซุกซนเป็นที่สุด มีเขาคอยดูอยู่ นางจะได้ไม่ก่อเรื่อง

 

 

เสิ่นเวยเห็นดังนั้น จำต้องตอบตกลง ญาติผู้พี่ช่างเป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เขายังเป็นคนที่มีความอดทนและรอบคอบมาก ต่อไปจะต้องเติบโตเป็นคุณชายผู้สุภาพอ่อนโยน

 

 

ระหว่างทางเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยสนุกสนาน เสิ่นเวยก็มีความสุขมาก เมื่ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องร่าเริงสดใส นางรู้สึกว่าวันเวลาทั้งหมดในจวนโหวยังไม่สบายใจเท่ากับการได้อยู่ที่นี่เพียงสามวัน

 

 

แต่ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนที่กลุ่มคนเคลื่อนผ่านชายป่าแห่งหนึ่ง คนชุดดำปิดหน้ากลุ่มหนึ่งกระโดดออกมา ล้อมพวกนางไว้ตรงกลาง

 

 

“พวกเจ้าเป็นใคร” เสิ่นเวยหยุดม้าอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็น

 

 

“คนที่ต้องการชีวิตของเจ้า” หนึ่งในกลุ่มนั้นตอบอย่างดุดัน เมื่อมันยกมือขึ้น พรรคพวกคนอื่นๆ ก็ตวัดดาบและกระบี่ขึ้นมา พร้อมกับก้าวเข้ามาประชิด

 

 

เสิ่นเวยแค่นเสียงเยาะ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่” คนที่ต้องการชีวิตนางมีตั้งมากมาย แต่นางก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดี ในขณะที่คนที่ต้องการชีวิตของนางกลับไปเข้าเฝ้ายมบาลเสียหมดแล้ว

 

 

“ญาติผู้น้อง เจ้าคุ้มกันพวกนางหนีไปก่อน ข้ากับโอวหยางไน่จะขวางไว้” หร่วนเหิงตะโกนบอกเสียงดัง เขามองออกว่า คนชุดดำเหล่านี้ล้วนมีฝีมือร้ายกาจ จะปล่อยให้ญาติผู้น้องกับน้องสาวมีอันตรายไม่ได้เด็ดขาด

 

 

“คิดจะหนี? ไม่ง่ายดายขนาดนั้น” หนึ่งในคนชุดดำเผยรอยยิ้มกระหายเลือด ร่างของเขามาถึงเบื้องหน้าของเสิ่นเวยแล้ว

 

 

“คุ้มครองพวกเหมียนเหมียน” เสิ่นเวยสั่งความดังนั้น ก็กระโดดลงจากหลังม้า กระบี่อ่อนตรงสะโพกถืออยู่ในมือนานแล้ว มันสะท้อนบนกระบี่หยกของศัตรู ร่างบางพลิกตัวเตะ ในขณะเดียวกันก็ใช้กระบี่อ่อนพุ่งโจมตี

 

 

หลังจากที่ประมืออยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเวยตื่นตัวจนถึงระดับสูงสุด คนเหล่านี้เป็นมือสังหาร ทั้งยังเป็นมือสังหารระดับสูง ในยุคปัจจุบันเสิ่นเวยใกล้ชิดกับคนจำพวกนี้มากที่สุด ดังนั้นเพียงไม่นานก็มองออกแล้ว

 

 

เมื่อกวาดตามองก็พบว่าคนชุดดำที่บุกล้อมพวกนางมีเกือบสามสิบคน ใครอยากได้ชีวิตของนางขนาดนี้ ดูเหมือนนางยังไม่เคยสร้างศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ หรือว่าเป้าหมายของคนเหล่านี้ก็คือท่านตา เช่นนั้นฝั่งท่านตามีมือสังหารบุกไปหรือไม่ เสิ่นเวยใจหายวาบเหมือนฟ้าผ่าลงมา ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งร้อนใจ

 

 

ฝ่ายของนาง คนที่เป็นวรยุทธ์มีแค่นาง ญาติผู้พี่ โอวหยางไน่และเยวี่ยกุ้ยเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือวิชาหมัดบุปผาของเยวี่ยกุ้ยกลับไร้พิษสงกับคนเหล่านี้

 

 

ญาติผู้พี่กับโอวหยางไน่ไม่มีอาวุธในมือสักชิ้น จะรับมือกับพวกมือสังหารที่ฝึกฝนจนชำนาญได้อย่างไร กำลังเสริมที่แข็งแกร่งอย่างเถาฮวาก็วิ่งหายไปแล้ว

 

 

ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีล่ะ หรือว่าชีวิตนี้จะต้องทิ้งไว้ที่นี่ หากตัวคนเดียว นางสามารถเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดาย แต่เวลานี้นางต้องปกป้องหร่วนเหมียนเหมียน เหอฮวาและเถาจือที่ไม่มีวรยุทธ์ นางอับจนหนทางแล้ว

 

 

พวกเสิ่นเวยคุ้มครองสามคนที่ไม่เป็นวรยุทธ์ไว้ตรงกลาง หันหลังชนกันเผชิญหน้ามือสังหารที่ล้อมพวกเขาไว้ กระบวนท่าของเสิ่นเวยร้ายกาจมาก โจมตีศัตรูไปสองคนและชิงกระบี่หยกมาแล้วโยนให้หร่วนเหิงและเยวี่ยกุ้ย ในขณะที่โอวหยางไน่แย่งดาบใหญ่มาได้ เมื่อได้อาวุธมาไว้ในมือก็โล่งใจลงมาก

 

 

เพราะต้องปกป้องพรรคพวกไว้ตรงกลาง ทำให้พวกเสิ่นเวยต้องสังหารและถอยกลับมาในตำแหน่งเดิม ไม่กล้าบุกโจมตี ด้วยกลัวว่าพวกมันจะอาศัยโอกาสนั้นทำร้ายพวกเหมียนเหมียน

 

 

 กลุ่มคนชุดดำค้นพบจุดอ่อนนี้อย่างรวดเร็ว พวกมันสามสี่คนรุมโจมตีหนึ่งคน พยายามแยกพวกเสิ่นเวยออกจากกัน

 

 

เพียงไม่นานเยวี่ยกุ้ยก็ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าของนางขวาซีด แต่ยังฝืนสู้ต่อไป

 

 

“ญาติผู้พี่ เปลี่ยนตำแหน่ง” เสิ่นเวยตะโกนบอกหร่วนเหิง ในบรรดาคนทั้งสี่ เสิ่นเวยมีวรยุทธ์สูงที่สุด ให้นางดูแลเยวี่ยกุ้ยเหมาะสมที่สุด “เยวี่ยกุ้ยเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เสิ่นเวยปรายตามองสาวใช้อย่างรีบร้อน กระบี่อ่อนในมือกวัดแกว่งไปมาไม่หยุด

 

 

 “คุณหนู ข้าไม่เป็นไร” เยวี่ยกุ้ยกัดฟันอดทนเอาไว้ นางจะเป็นตัวถ่วงไม่ได้ ชีวิตของนางได้คุณหนูช่วยไว้ หากไม่มีคุณหนู นางคงตายไปนานแล้ว ได้มีชีวิตมาหลายวันนี้ก็คุ้มค่าแล้ว

 

 

 สามคนที่ถูกล้อมไว้ตรงกลาง ถึงแม้จะตื่นกลัวจนหน้าซีดตัวสั่น แต่ยังกัดปากกลั้นเสียงของตนเองเอาไว้ พวกนางช่วยอะไรไม่ได้ แต่จะไม่ทำให้พวกเสิ่นเวยต้องพะวงหน้าพะวงหลัง

 

 

กระบี่อีกเล่มพุ่งโจมตีใส่เยวี่ยกุ้ย มือที่ถือกระบี่หนักอึ้งจนยกไม่ขึ้นแล้ว เมื่อเห็นกระบี่ของศัตรูกำลังจะแทงที่หัวใจของเยวี่ยกุ้ย ด้วยความร้อนใจ เสิ่นเวยรามือจากศัตรูของตนเองแล้วหันไปช่วยสาวใช้คนสนิทแทน

 

 

โชคยังดีที่ตั้งรับกระบี่นั้นไว้ได้ทัน แต่ก็ทำให้แขนของเสิ่นเวยถูกฟัน หยาดเลือดเปื้อนเสื้อผ้าของนางในทันที

 

 

เสิ่นเวยปรายตามอง แววตายิ่งแข็งกร้าวมากขึ้น

 

 

“คุณหนู ท่านพาคุณหนูเหมียนเหมียนหนีไปเถอะเจ้าค่ะ ไม่ต้องสนใจบ่าว ท่านไปเถอะ บ่าวขอร้องเจ้าค่ะ” เหอฮวากับเถาจือร้องอ้อนวอน โดยเฉพาะเหอฮวา นางรู้ว่าหากไม่ใช่เพราะต้องคอยปกป้องพวกนาง คุณหนูจะต้องเอาตัวรอดได้แน่ “คุณหนู บ่าวไม่กลัวตาย บ่าวไม่กลัว ท่านรีบหนีไปเถอะเจ้าค่ะ”

 

 

“หุบปาก” เสิ่นเวยตะคอกอย่างดุดัน “ในเมื่อข้าพาพวกเจ้าออกมาก็ต้องพาพวกเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย ตายอะไรกัน อัปมงคลสิ้นดี!”

 

 

เสิ่นเวยเช็ดเลือดที่มุมปาก คาวจริงๆ ในเวลานี้ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บสามจุดแล้ว ถึงแม้ไม่ได้สาหัส แต่ก็เจ็บมาก ในขณะเดียวกัน บนพื้นก็มีร่างของศัตรูล้มอยู่เกือบสิบคน นางคนเดียวกำจัดพวกมันได้ห้าคน

 

 

ในเวลานี้เสิ่นเวยเลือดขึ้นหน้าแล้ว กระบวนท่าต่างๆ กระหน่ำโจมตีใส่ศัตรู แม้แต่ความปลอดภัยของตัวเองก็ไม่สนใจ นางเหมือนกับเทพแห่งความตายที่หลุดออกมาจากขุมนรก บุกโจมตีศัตรูโดยไม่คิดชีวิต จนศัตรูของนางรู้สึกหวาดหวั่น และถอยหนีไปด้านหลัง เยวี่ยกุ้ยจึงได้มีเวลาหายใจบ้าง

 

 

“เยวี่ยกุ้ย เจ้าเข้าไป คุ้มครองพวกนางสามคนให้ดี เผื่อพวกมันลอบโจมตีเข้ามา” เสิ่นเวยเห็นเยวี่ยกุ้ยเริ่มทรงตัวไม่อยู่ รู้ว่านางฝืนจนถึงที่สุดแล้ว

 

 

เยวี่ยกุ้ยกัดฟันถอยกลังไป นางรู้สึกหน้ามืดจนแทบยืนไม่ไหว พวกเถาจือรีบช่วยประคองนางไว้ “เยวี่ยกุ้ย เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

 หญิงสาวฝืนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร” นางพยายามยืนให้มั่นคง กวาดตามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง ป้องกันไม่ให้พวกมันลอบโจมตีเข้ามา

 

 

 เหอฮวามองเสื้อผ้าสีเลือดบนตัวคุณหนูก็นึกคับแค้นจนตาแดง นางเกลียดตัวเอง เหตุใดไม่คิดจะเรียนวรยุทธ์มาจากเยวี่ยกุ้ยบ้าง ถ้าหากนางเป็นวรยุทธ์ก็จะช่วยคุณหนูได้ ได้แต่ทนมองเฉยๆ มันทำให้นางคับแค้นใจจนแทบคลั่ง

 

 

 “เจ้าโจรโอหังกล้ารังแกคุณหนูของข้า รับพลอง” เถาฮวาที่ย้อนกลับมาเห็นกลุ่มคนชุดดำล้อมโจมตีคุณหนูจากที่ไกลๆ ก็โกรธจนควันออกหู

 

 

คิดไม่ถึงว่าพวกไร้ยางอายฉวยโอกาสตอนที่นางไม่อยู่รังแกคุณหนู นางจะตีพวกมันให้ตาย

 

 

เถาฮวาใช้มือหนึ่งบังคับม้า อีกมือกวัดแกว่งไม้พลองขึ้นสูง พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว พลองใหญ่นี้เป็นต้นไม้เล็กที่นางใช้เท้าถีบจนหักโค่นลงมา

 

 

ในคราวแรกคนชุดดำสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อมองเห็นชัดเจนว่าคนที่มาเป็นเพียงแค่เด็กหญิงวัยสิบปีเท่านั้น พวกมันก็วางใจ ก็แค่เด็กตัวเล็กๆ จะร้ายกาจสักเท่าไหร่

 

 

เพียงไม่นานพวกมันก็ต้องชดใช้ต่อความประมาทของตัวเอง ศัตรูสองคนเบื้องหน้าเสิ่นเวยถูกเถาฮวาฟาดจนไขสมองพุ่งทะลักออกมา

 

 

“คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บ” เถาฮวากระโดดลงจากหลังม้า เมื่อเห็นรอยเลือดบนร่างของนายสาวก็เดือดดาลขึ้นมา นางหมุนกายยกไม้พลองขึ้นกวัดแกว่ง “พวกเจ้าบังอาจรังแกคุณหนู จะตีพวกเจ้าให้ตาย ตีให้ตาย”

 

 

เดิมทีเด็กหญิงก็เป็นคนซื่อบื้ออยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นคุณหนูบาดเจ็บ เวลานี้ในหัวของนางมีเพียงความคิดเดียว…คนพวกนี้รังแกคุณหนู สมควรตาย สมควรตายทั้งหมด นางจะตีพวกมันให้ตาย ต้องตายทุกคน…

 

 

นางเหมือนกับม้าป่าที่คลุ้มคลั่ง บุกเข้าไปอยู่กลางวงล้อมของคนชุดดำโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด เห็นพวกมันสักคนก็จะฟาดให้ตาย เด็กหญิงมีพละกำลังมหาศาล ทั้งยังโจมตีโดยไม่ห่วงชีวิตของตน มีศัตรูหลายคนถูกนางจัดการได้ ความกดดันของพวกเสิ่นเวยจึงเบาบางลงมาก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset